เข้าสู่ระบบภายในเรือนพักอันเงียบงัน แสงแดดยามสายสาดผ่านบานหน้าต่างทาบเงาลวดลายลงบนพื้นไม้ กลิ่นสมุนไพรต้มผสมกลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยคลุ้ง ร่างของแม่ทัพหลานซือเหยียนเอนพิงหมอน ผิวซีด เส้นเลือดที่ขมับเต้นบ่งบอกถึงความเจ็บปวด แต่ในแววตายังฝืนเก็บประกายแข็งกร้าวไว้
เสียงบานประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ กรอบไม้ครูดกับรางดังแผ่ว เงาร่างสตรีผู้หนึ่งทอดยาวเข้ามาในห้อง หลานเยว่บุตรสาวของเขา ก้าวมาอย่างไร้เสียง สายตาของนางเย็นเยียบราวคมดาบ ปากยกยิ้มจางแต่เต็มไปด้วยความร้ายกาจ นางหยุดที่ปลายเตียง มองบิดาราวกับกำลังพิจารณาเครื่องบรรณาการที่บอบช้ำ“หลี่เถี่ยนกวง…” เสียงนางเอ่ยเรียบช้า “มันผู้นั้นเป็นคนแรกที่ทำให้ท่าน…ตกอยู่ในสภาพนี้ได้” นางก้าวเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนแทบสัมผัสผิวแก้มของเขา ก่อนที่ริมฝีปากจะเอื้อนคำชั่วร้าย“บางที…ข้าสมควรจะจับท่านไปเป็นบุรุษอุ่นเตียงให้มัน” คำพูดนั้นเหมือนเหล็กร้อนจี้ลงกลางใจ ความทรงจำเก่าโหมกระหน่ำวันที่เขาเคยโยนนางให้เป็นสตรีอุ่นเตียงแก่ลูกน้องเพียงเพื่อแลกผลประโยชน์ ความเย็นชาของนางในตอนนี้จึงเป็นเหมือนการคืนดาบที่เขาเคยปักลงในหัวใจผู้อื่น กลับมาทิ่มแทงเขาเอง หลานซือเหยียนกัดฟันจนกรามขึ้นสัน เสียงเปล่งออกมาแหบพร่า“เจ้า…อย่าทำกับข้าเช่นนั้นเลย หากต้องตกเป็นของเจ้าขันทีเฒ่า…ข้าขอตายเสียดีกว่า” ดวงตาของเขาจับจ้องลูกสาวราวกับอ่านไม่ออกว่าคำขู่ของนางเป็นเพียงลมปาก หรือเป็นคำประกาศเจตนาที่พร้อมจะทำให้เป็นจริงในทันที…
จากสิ่งที่หลานเยว่ รู้มาขันทีเฒ่าหลี่เถี่ยนกวง คือผู้ที่ผู้คนในวังหลวงขนานนามว่า เทพผู้ประทานพร แต่พรของเขามิได้หลั่งมาด้วยความเมตตา หากแต่แลกมาด้วยเนื้อหนังและเกียรติที่ต้องยอมเผาผลาญให้สิ้น ว่ากันว่าภายในเรือนหลังซึ่งเป็นที่พำนักของเขา มิได้ต่างอะไรจากวิหารลับ ขุนนางหนุ่ม ผู้มีใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ หรือแม้แต่บุตรหลานตระกูลผู้ดี ล้วนถูกส่งเข้ามาเป็น เครื่องบูชายัญ ให้ความปรารถนาของเขาอิ่มเอม เปลวไฟแห่งตัณหาที่เขาก่อไว้ไม่เคยดับมีเพียงผู้ที่คอยหล่อเลี้ยงเท่านั้นจึงจะได้รับสายลมแห่งเมตตาพัดผ่านแต่เมื่อใดที่ความโปรดปรานจางหาย เมื่อนั้นโชคชะตาของผู้ถวายกายก็มอดดับลงพร้อมเปลวไฟในดวงตา
ยามราตรีคลี่คลุมเหนือเมืองหลวง แสงโคมแดงเรียงรายตามตรอกคดเคี้ยว กลิ่นกำยานเจือกลิ่นดอกเหมยโชยตามลม หลานเยว่ยืนอยู่บนหลังคาเงียบงัน สายตาจับจ้องไปยังเรือนหลังอันกว้างใหญ่ของขันทีเฒ่าหลี่เถี่ยนกวง
“เจ้าขันทีเฒ่าผู้นี้…ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง แววตาเป็นประกายเย็นจัด “สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น”
นางลอบลงจากหลังคาอย่างไร้เสียง แทรกกายผ่านเงามืดของกำแพงเรือน จนมาพบชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง เขาสวมชุดนายกองแต่ผ้าคลุมกลับใหม่เอี่ยมราวไม่เคยผ่านศึก ใบหน้าคมสันยิ้มละไม แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
หลานเยว่ซ่อนตัวตามมาห่าง ๆ และได้ยินบทสนทนาที่เขากระซิบกับเพื่อนสนิท“ข้าจะเป็นแม่ทัพให้ได้ก่อนอายุสามสิบ…แม้ฝีมือจะสู้ใครไม่ได้ แต่หน้าตานี้ก็พอจะซื้อทางขึ้นสวรรค์ได้”
เพื่อนสนิทหัวเราะแผ่ว “แล้วว่าที่ภรรยาของเจ้า…?”เขายกมุมปาก “ครอบครัวของนางเป็นขุนนางใหญ่ในวัง ขันทีเฒ่าเป็นคนจัดการให้ ข้าต้องทำทุกทางเพื่อก้าวให้สูง”
ไม่นาน ชายหนุ่มทั้งสองก็ลับหายเข้าไปในเรือนของขันทีเฒ่าหลานเยว่เคลื่อนกายตามไปเงียบงัน อาศัยเงาเรือนและพุ่มไม้เป็นกำบังเพียงก้าวเข้าใกล้ กลิ่นกำยานข้นคลุ้งก็ลอยมากระทบปลายจมูก อบอวลด้วยความร้อนระอุเกินกว่ากลิ่นเครื่องหอมจะกลบได้ เสียงลมหายใจกระเส่าและถ้อยคำพร่ำเพ้อดังลอดออกมาอย่างไม่ปิดบัง เงาร่างบนฉากผ้าสะท้อนภาพการเคลื่อนไหวราวระบำต้องมนตร์นุ่มนวลแต่เร่าร้อนยากจะเชื่อว่า บุรุษหนุ่มผู้มีรูปโฉมสง่างามและท่วงท่าผู้ดี จะลดตัวลงเป็นเพียงสิ่งเล่นแก้เบื่อในอุ้งมือของผู้ชรา ดวงตาของพวกเขามิได้ฉายแววขัดขืน มีเพียงประกายมุ่งหวังตำแหน่ง อำนาจ และเส้นทางสู่บัลลังก์ที่ต้องแลกด้วยเนื้อหนังตนเอง
หลานเยว่ายังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างไม่คลาดสายตาหนึ่งในชายหนุ่มที่นางจับตามอง กำลังเข้าสู่พิธีเรือนหออย่างเอิกเกริก ขุนนางน้อยใหญ่ต่างแต่งกายโอ่อ่า พากันมาร่วมงานอย่างสมเกียรติ เสียงดนตรีพิณขับเคลื่อนบรรยากาศ ท่ามกลางโคมแดงและแพรผืนชาดที่ปลิวไหวในลมราตรี
แต่สิ่งที่รออยู่เบื้องหลังบานประตูห้องหอกลับน่าขันเสียยิ่งกว่าละครราคาถูก กลางห้องหอมิใช่เจ้าสาวในชุดวิวาห์ หากเป็นขันทีเฒ่า หลี่เถี่ยนกวง ผู้ครองรอยยิ้มละมุนแต่ซ่อนคมพิษในดวงตา เจ้าบ่าวชะงักเพียงครู่ ก่อนคุกเข่าอย่างยอมจำนน ราวกับเข้าใจบทบาทของตนในทันทีหลี่เถี่ยนกวงยกถ้วยสุราขึ้นช้า ๆ เสียงของเขานุ่มลึก เจือด้วยอำนาจและคำล่อลวง
“เจ้ารู้หรือไม่…คืนนี้มิใช่เพียงคืนวิวาห์ แต่คือคืนที่เจ้าจะก้าวขึ้นจากคนธรรมดา สู่ผู้ที่คนทั้งแผ่นดินต้องก้มหัว”เขายกยิ้มบาง วางสายตาอย่างผู้ครองชะตาคน“ตำแหน่ง ชื่อเสียง เกียรติยศที่ยืนเหนือผู้คนข้าจะมอบให้เจ้าได้ทั้งหมด”
เขาเว้นจังหวะ ราวกับให้คำพูดซึมลึกในจิตใจอีกฝ่าย “ครอบครัวเจ้าสาว…รู้อยู่แล้วว่าผู้ที่รออยู่ในห้องนี้ไม่ใช่นาง และพวกเขาก็ยินดี เพราะพวกเขาเองก็ปรารถนาที่จะเดินบนเส้นทางเดียวกับเจ้าเส้นทางแห่งอำนาจที่ไม่มีวันหวนกลับ”
เพียงเท่านั้น แววตาของชายหนุ่มก็แปรเปลี่ยน เปลวไฟแห่งความทะเยอทะยานค่อย ๆ ลุกโชนขึ้น ขันทีเฒ่ายื่นมือเหี่ยวย่นแตะปลายคางเขา แววตาเปี่ยมด้วยความเป็นเจ้าของ
“จำไว้…ความรักนั้นเป็นเพียงเงา แต่ความยิ่งใหญ่คือสิ่งที่จะทำให้เจ้ามีค่าจนกว่าลมหายใจสุดท้าย” ภายในห้องหอ กลิ่นกำยานผสมไอร้อนของกายคนอบอวลหนาแน่นจนแทบหายใจไม่ทั่วท้องร่างของบุรุษหนุ่มและขันทีเฒ่าแนบชิดราวกับจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จังหวะการเคลื่อนไหวเร่าร้อนเกินกว่าจะเป็นเพียงการปลอบประโลมมันคือการครอบครองอย่างโจ่งแจ้งหลานเยว่ยืนซ่อนอยู่ในเงามืด สายตาเฉียบคมจับภาพทุกอากัปกิริยาเพียงชั่วครู่ นางเบือนหน้าไปทางอื่น ริมฝีปากเม้มแน่น แววตาเย็นชาไม่ใช่เพราะความเขินอาย หากเพราะความสมเพชที่เอ่อท้นในอกช่างน่าสังเวช…ที่มีคนยอมเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเอง เพียงเพื่อแลกเศษเสี้ยวโอกาสก้าวขึ้นบันไดอำนาจ
ในห้วงเวลานี้ ราชสำนักเสื่อมถอยถึงที่สุด กลิ่นอำนาจปนกลิ่นเน่าเฟะของศีลธรรมอบอวลไปทั่วโถงวัง ผู้ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงส่ง หาได้อาศัยความสามารถ ฝีมือ หรือคุณธรรม หากแต่แลกมาด้วยเรือนร่างและใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ถูกคัดสรรดุจของล้ำค่า
เหล่าบุรุษหนุ่มผู้รูปงามกลายเป็นสินค้าในตลาดอำนาจ ถูกประเมินคุณค่าไม่ต่างจากหยกหรือทองคำดี เมื่อรูปลักษณ์เพียงพอและท่วงท่าถูกใจ ก็สามารถเหยียบหัวคนมีฝีมือขึ้นสู่แท่นบังคับบัญชาได้ในชั่วคืนและในบรรยากาศอันป่วยไข้เช่นนี้ ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิกลับกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยมีไว้ก็เพียงเพื่อขายให้กับผู้ที่พร้อมจ่ายด้วยตำแหน่งและอภิสิทธิ์หลานเยว่ที่เฝ้ามองทุกสิ่งจากเงามืด ยิ่งตระหนักว่าราชสำนักเวลานี้…มิใช่เวทีของผู้กล้า หากเป็นโรงละครของคนขายวิญญาณ
“เห็นทีข้าคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว”เสียงของหลานเยว่ดังก้องอยู่ในความเงียบของราตรี ไม่ดังนัก แต่หนักแน่นพอจะกรีดความเย็นเยียบลงกลางอากาศ แววตาคมกริบราวคมมีดสาดประกายในเงามืด บ่งบอกถึงความตั้งใจที่ไม่อาจหวนกลับริมฝีปากนางยกเพียงน้อย คล้ายรอยยิ้มแต่ไร้ความอบอุ่นมันคือประกาศิตเงียบงัน ว่าใครก็ตามที่เป็นต้นตอของความเสื่อมทรามนี้…กำลังถูกหมายหัวแล้ว
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







