LOGINชายชราพาหลี่เถี่ยนกวงมาถึงบ้านไม้เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ปลายหมู่บ้าน สภาพภายนอกเก่าทรุดโทรม ฝาไม้เป็นรอยแตก หลังคาฟางเอียงและบางเสียจนเห็นช่องว่างให้แสงลอด บ้านทั้งหลังดูเหมือนสร้างไว้เพียงกันแดดกันฝน ไม่ได้มีความโอ่อ่าแม้แต่น้อยแต่สำหรับขันทีเฒ่า สภาพเช่นนี้ไม่ใช่อุปสรรคตรงกันข้าม กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรง เพราะนี่คือที่ซ่อนตัวของบุรุษที่เขาหมายตา
“หนุ่มน้อยผู้นั้น… อยู่ในนี้งั้นหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาวาววับราวกับกำลังนึกภาพบ้านหลังนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นรังรักชั่วคราว
“ขอรับนายท่าน” ชายชราตอบพลางโค้งตัวอย่างนอบน้อม ก่อนจะทำท่าจะนำทางเข้าไป หลี่เถี่ยนกวงยกมือขึ้นห้าม
“ไม่ต้อง ข้าจะเข้าไปเอง ข้าอยากอยู่กับเขา… สองต่อสอง” ชายชราพยักหน้า สีหน้ายังแฝงความเคารพ แต่ในหางตากลับมีประกายลึกลับวาบขึ้นเพียงชั่ววินาทีทันทีที่ขันทีเฒ่าก้าวลับเข้าไปในบ้าน เสียง “กึก” ก็ดังขึ้นกลอนประตูถูกปิดแน่นจากด้านนอกชายชราที่เคยดูนอบน้อม แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความชั่วร้าย รอยยิ้มเย็นเยียบผุดขึ้นบนริมฝีปาก
“แกทำอะไรของแก!” เสียงตะโกนดังลั่นจากลูกน้องของขันทีเฒ่าที่รออยู่ภายนอก เต็มไปด้วยความเดือดดาลและความไม่เข้าใจแต่ยังไม่ทันให้เสียงนั้นดับลง คมมีดก็แล่นผ่านคอของพวกมันอย่างรวดเร็ว เลือดพุ่งกระเซ็นเป็นเส้นในอากาศ ร่างของคนคุ้มกันล้มลงทีละคน
ในขณะที่หลี่เถี่ยนกวงกำลังปล่อยตัวปล่อยใจล่องลอยไปกับความปรารถนา เขาไม่รู้เลยว่า ณ เวลานั้น คนคุ้มกันทั้งหมดของตนได้สิ้นชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงเขาผู้เดียวติดอยู่ในเรือนเล็กที่เงียบสงัดด้านในห้อง แสงรำไรจากรอยแตกของฝาไม้สาดลงบนฝุ่นผงที่ลอยละล่องในอากาศ กลิ่นอับชื้นคลุ้งปนกลิ่นไม้เก่าที่เหมือนเก็บความลับดำมืดไว้หลายปีสายตาของเขาจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างของบุรุษผู้หนึ่งร่างสูงใหญ่สมส่วน ดั่งภาพวาดที่เคยเผาไหม้ในหัวใจเขามานาน
ชายหนุ่มยืนหันหลังให้ กำลังง่วนอยู่กับสิ่งใดสักอย่างอย่างไม่รู้ตัวว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาหลี่เถี่ยนกวงค่อย ๆ ก้าวเข้าใกล้ จิตใจเต้นแรง ความตื่นเต้นหลั่งเข้าสู่หัวใจดุจน้ำหลาก เขายกแขนโอบรัดจากด้านหลัง ลมหายใจร้อนเป่ารดต้นคอเหยื่อ
“หนุ่มน้อย… ยอมตกเป็นของข้าเสียดี ๆ หากว่าง่าย ข้าจะมอบทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น เต็มไปด้วยความมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือชายหนุ่มหยุดนิ่งชั่วครู่ ก่อนค่อย ๆ หันหน้ามาช้า ๆ ทุกเสี้ยววินาทีที่ใบหน้าค่อยเผยสู่สายตา เป็นดังมีดคมค่อย ๆ เฉือนความหลงใหลในหัวใจของขันทีเฒ่าออกทีละชั้น
และแล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบไม่ใช่ความงามดั่งเทพสรรค์ แต่เป็นใบหน้าที่ปกคลุมด้วยฝีหนองปูดบวม แผลแตกมีหนองไหลซึม เนื้อหนังแดงคล้ำราวถูกโรคร้ายกลืนกินจนใกล้สิ้นชีวิตหลี่เถี่ยนกวงเบิกตาโพลง เสียงกรีดร้องหลุดออกมาจากลำคออย่างสิ้นการควบคุมความสยดสยองถาโถมจนเขาทรุดฮวบ ร่างล้มกระแทกพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
เสียงคำรามของหลี่เถี่ยนกวงดังสะท้อนทั่วเรือนราวพายุโหม“ใคร… ใครมันบังอาจมาเล่นตลกกับข้า! หากข้ากลับถึงเมืองหลวงเมื่อใด ข้าจะฆ่ามันให้สิ้น!”โทสะพลุ่งพล่านผสมกับความตกใจ เขาไม่เคยเชื่อว่ามีผู้ใดกล้าทำเรื่องเช่นนี้กับตนเขากระชากตัวลุกขึ้น เดินตรงไปยังประตูไม้ มือคว้ากลอนแล้วดึงอย่างแรง แต่บานประตูไม่ขยับแม้แต่น้อย เสียงทุบ ปัง! ปัง! ดังลั่น“ใครก็ได้! เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ทว่ามีเพียงความเงียบงันตอบกลับ ไม่มีฝีเท้าหรือเสียงใดลอดเข้ามา จู่ ๆ เงาร่างสูงใหญ่ก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง แขนแข็งแรงโอบกระชับรอบลำตัวเขาแน่น กลิ่นกายร้อนจัดแผ่ซ่านปะทะผิว“นายท่านของกระผม… ท่านจะรีบไปไหนหรือ” เสียงทุ้มแผ่วดังข้างหู แฝงความเร่าร้อนและเจตนาครอบครองใบหน้าของชายร่างสูงค่อย ๆ โน้มลง แนบชิดแก้มของเขาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน
“ไม่… ไม่! อย่าเข้ามาใกล้ข้า!” ร่างของหลี่เถี่ยนกวงถูกชายร่างใหญ่โอบกระชับแน่นจนแทบขยับไม่ได้ กล้ามเนื้อแข็งราวเหล็กบีบรัดเหมือนจะบดร่างให้แหลก ใบหน้าของชายผู้นั้นบิดเบี้ยว อัปลักษณ์เกินบรรยาย เต็มไปด้วยฝีหนองและร่องรอยโรคร้ายที่ลามไปทั่วผิว เหมือนคำเตือนเงียบ ๆ ว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้ ย่อมพบจุดจบที่น่าสยดสยอง
เพียงเสี้ยววินาทีที่สบตา ความเย็นเฉียบแล่นวาบขึ้นสันหลัง ขันทีเฒ่ารู้ทันทีหากวันนี้เขาต้องตกอยู่ในอ้อมกอดนี้ ผลลัพธ์จะไม่ใช่เพียงความอับอาย แต่คือโรคร้ายที่จะกัดกินชีวิตจนไม่เหลือซาก
“ข้าขอร้อง… อย่าทำข้า”น้ำเสียงของเขาสั่นไหวและเต็มไปด้วยการวิงวอน เสียงนั้นไม่เหลือเค้าความเย่อหยิ่งของผู้กุมอำนาจ ในอดีตเขาเคยชื่นชอบรสสัมผัสของเนื้อหนัง แต่ครั้งนี้… มันไม่ใช่รสที่เขาเคยปรารถนาแม้แต่น้อยชายร่างใหญ่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดแก้ม เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างแช่มช้า “นายท่านขอรับ… เดี๋ยวกระผมจะสอนให้ท่านรู้เอง ว่าสวรรค์ที่แท้จริง… เป็นเช่นไร”
คำพูดนั้นเหมือนตอกตรึงโซ่ล่ามใจ ทุกแรงขัดขืนถูกกดทับจนหมดสิ้น และในห้วงขณะนั้น หลี่เถี่ยนกวงก็ได้ลิ้มรสความจริงรสของการถูกบังคับฝืนใจ ที่เจ็บลึกทั้งกายและจิต
เรือนหลังน้อยที่หลี่เถี่ยนกวงเคยวาดฝันว่าจะเป็นรังรัก กลับพลิกผันกลายเป็นนรกบนดินในชั่วพริบตาทุกแรงกระทำที่โหมกระหน่ำราวพายุ ทำให้ผนังไม้เก่าโยกคลอน เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังก้องไปทั่วราวกับบ้านทั้งหลังจะพังทลาย ความร้อนแรงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่เขาโหยหา บัดนี้กลับกลายเป็นโซ่ตรวนแห่งความทรมาน
น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่อาจห้าม เสียงร้องขอเมตตาหลุดออกมาจากปากโดยไร้การยั้งคิดคำที่เขาไม่เคยยอมเอ่ยต่อผู้ใดในชีวิต กลับพรั่งพรูออกมาราวสายน้ำ ทุกสัมผัสไม่ใช่ความรัญจวน หากแต่เป็นการประทับตราว่าอำนาจที่เขาภูมิใจนักหนากำลังร่วงโรยและเสื่อมถอยลงทุกขณะ
ในห้วงเวลาที่หลี่เถี่ยนกวงกำลังจมดิ่งอยู่ในความสิ้นหวัง เสียง แอ๊ด… ของบานประตูไม้ที่ถูกปิดตายมานานก็ดังขึ้นช้า ๆ แสงรำไรลอดเข้ามาราวกับเส้นด้ายแห่งความรอดที่เขาเฝ้ารอ
“ช่วยข้าด้วย!”เสียงของเขาดังลั่นแทบพร้อมกับที่หัวใจเต้นแรง ความหวังเล็ก ๆ พุ่งขึ้นมาทันทีบางที นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะรอดพ้นจากนรกบนดินนี้แต่เพียงก้าวแรกที่ปรากฏในกรอบประตู ความหวังก็เริ่มสั่นคลอนคนแรกก้าวเข้ามา ตามด้วยคนที่สอง… จนครบเจ็ดร่าง เงาดำทาบลงบนพื้นห้องยาวเหยียดเหมือนเงามัจจุราช และเมื่อพวกมันก้าวพ้นแสงสลัวเข้ามาในห้องภาพที่เห็นทำให้เลือดในกายเขาเย็นเฉียบทุกคนล้วนมีใบหน้าอัปลักษณ์ผิดมนุษย์ ฝีหนองปูดโปน แผลเน่าเปิดอ้า เนื้อหนังบิดเบี้ยวราวถูกมือปีศาจปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อข่มขวัญผู้มอง สายตาทุกคู่จ้องเขาราวกับเหยื่อที่พร้อมถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ
เสียงหัวเราะต่ำกระเส่าเล็ดลอดจากชายร่างใหญ่ที่สุดในกลุ่ม “เจ้าเสร็จหรือยัง… ต่อไปตาข้าบ้าง”
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







