LOGINบ่ายวันนั้นเฟยเฟิ่งเก็บเงินค่าเนื้อสัตว์ และคอยจดรายการฝากซื้อของวันถัดไปเพิ่มอีก หลายบ้านที่มารับเนื้อหมูและเนื้อไก่ ซื้อของที่เฟยเฟิ่งมาตั้งขายกลับไปด้วยเช่นกัน ร้านบ้านซีได้รับเสียงชื่นชมถึงความสะดวก แต่ก็มีคำบ่นเช่นกันว่ายังขาดผักอยู่ หากวันใดเฟยเฟิ่งนำผักมาขายคงครบครันกว่านี้
“ไม่เป็นไร ช่วงนี้ก็อาศัยผักในป่า ผักที่ปลูกกันเองไปก่อน ผักดองก็ยังมี”
“ไว้พร้อมแล้วจะมีผักมาตั้งขายด้วยแน่นอนจ้ะ” เฟยเฟิ่งเข้าใจดีว่าจะอาศัยแต่แปลงผักบ้านตนเองก็คงเบื่อเสียก่อน เพราะมีแต่ชนิดเดิมๆ ที่ปลูกไว้เอง การมีผักอื่นมาสับเปลี่ยนบ้างก็เป็นเรื่องดีไม่น้อย
.
.
.
“สะใภ้ว่าน ไปตามน้าซูเจินออกมา” ชายสองคนเดินเข้ามาวางท่านักเลงโตอยู่หน้าบ้านซี
“อาเหยียน อาส่ง ไม่ได้รับจ้างในเมืองเหรอครับ” จื่อซวานเป็นคนเอ่ยถามออกมา
“มีธุระอะไรกับป้าอันล่ะ ฉันจะบอกให้”
“บอกว่าหลานชายมา” ตัวแทนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ว่านเฟยเฟิ่งเห็นว่าลูกค้ากลับกันแล้ว เลยตกลงเข้าไปตามว่าที่แม่สามีในบ้านให้คนแปลกหน้าสองคนนี้ “ป้ามีคนมาหาหน้าบ้านแหนะ เขาว่าเป็นหลานชาย อาซวานเรียกเขาว่าอาเหยียนกับอาส่ง”
ในมือของหญิงชราที่กำลังนำห่อผ้าประคบออกเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับทำของร่วงหลุดมือ แต่เฟยเฟิ่งนั้นไม่ทันได้สังเกตอาการคิดว่าคนแก่เพียงมือไม้อ่อนไปตามวัย ก้มลงหยิบให้อันซูเจิน
“หายอุ่นแล้วนี่นา ไว้ฉันไปอุ่นให้ประคบนะป้า ไปเถอะเขาคงจะรอ” เฟยเฟิ่งที่ไม่ได้คิดสิ่งประคองตัวของซูเจินขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่ยังไม่ทันจะตั้งท่าเดินก็ได้ยินเสียงโวยวายเสียก่อน
“ไม่ได้นะ ของขายเป็นเงินสินเดิมน้าเฟิ่งจะมาเอาไปแบบนี้ไม่ได้” จื่อซวานประกาศกร้าว
“แม่เดินได้ไหม ฉันออกไปดูก่อน” เฟยเฟิ่งรอจนซูเจินพยักหน้าแล้วจึงปล่อยตัวหญิงชรา เร่งเท้าออกไปหน้าบ้าน ได้เห็นภาพว่าชายทั้งสองกำลังตักข้าวขาวซึ่งมีราคาสูงไม่น้อยในยุคนี้ไป
“หยุดนะ! พวกคุณกำลังทำอะไร” ว่านเฟยเฟิ่งตะคอกอย่างไม่เกรงใจ
“บ้านซีมีกินมีใช้ซื้อของมากักตุนไว้ขายได้เป็นตั้งๆ ไม่คิดจะแบ่งปันบ้านเดิมของแม่สามีเลยหรือยังไง” อันเหยียนเค่อผู้เป็นพี่เอ่ยออกมา
“หนังหน้าหรือหนังควาย พูดมาได้ไม่อายปาก ตั้งแต่มาอยู่ไม่เคยเห็นคนบ้านเดิมของป้าเอาอะไรมาให้ มีแต่คิดจะมาเอาจากบ้านซี” เฟยเฟิ่งด่ากราดไม่สนใจว่าชาวบ้านจะเอาไปนินทาว่าเธอเป็นผู้หญิงพูดจาร้ายกาจ
“เป็นผู้หญิงประสาอะไรพูดจาน่าเกลียดจริง” อันส่งจื่อเริ่มด่ากลับบ้าง
“เอาคืนมาของพูดนี้เป็นของซื้อขาย ไม่ได้เอามาแจกให้ใคร เงินซื้อก็สินเดิมฉัน มีอะไรไปเกี่ยวข้องกับบ้านอันไม่ทราบ” เฟยเฟิ่งอาศัยจังหวะเผลอคว้าถุงที่ตักขาวไปแล้วกลับคืนมา
“น้าของพวกฉันกตัญญูส่งของกลับบ้านเดิม แกเป็นแค่สะใภ้จะขัดความตั้งใจของแม่สามีงั้นเหรอ เอาคืนมา คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะไม่ถูกตีตายใช่ไหม”
“หยุดได้แล้ว ขอร้องเถอะ บ้านซีมีอะไรก็แบ่งปันอยู่แล้ว แต่กำลังจะหนาวจัดแบบนี้เข้าใจกันบ้างเถอะ” อันซูเจินพูดแกมขอร้อง
ระหว่างนี้เองเฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองช่วยขนของที่เอาออกมาขายเข้าไปเก็บในห้องเธอ โชคยังดีที่เป็นเพียงการตักแบบมาเพื่อขาย ของด้านหน้าก็เป็นเพียงการแสดงให้ลูกค้าเห็นเท่านั้นว่ามีสิ่งใดมาขายบ้าง เพราะเฟยเฟิ่งคิดว่าตนเองคงไม่อาจยกเข้าออกทุกวันได้ มีเพียงข้าวเท่านั้นที่ยกออกมาหมด เพราะเป็นของที่คนซื้อมากที่สุด
“งั้นน้าก็เอามาสักสามสิบหยวน ไอ้จื่อหานมันฝากเงินกลับมาแล้วใช้ไหม ส่งมาเร็วเข้า น้าติดค้างเราทุกคนจำไว้ด้วย”
ติดค้าง ติดค้าง ไปติดค้างอะไรกัน ทำไมมันต้องชดใช้ไม่จบสิ้นแบบนี้
“ฝากมาแล้ว แต่ฉันมีแค่หยวนเดียวเท่านั้นแหละ จื่อหานให้เงินสะใภ้ ไม่ได้ให้เงินฉันเหมือนก่อน” อันซูเจินเปล่งน้ำเสียงน้อยใจออกมา ทำให้สองพี่น้องบ้านอันเชื่อสนิทใจ
“งั้นน้องสะใภ้ก็เอาเงินมาแทน บ้านอันคนเยอะ ไม่มีอะไรเพียงพอ” เหยียนเค่อหันไปกดดันเฟยเฟิ่งที่กำลังลากกระสอบข้าว
“รอเดี๋ยว” เธอทำเหมือนกับว่าจะให้เงินพวกมัน แต่แท้จริงแล้วเพียงต้องการจะเอากระสอบข้าวสารลากไปเก็บในห้องนอนให้ได้เสียก่อน
“น้าเฟิ่ง…” จื่อซวานเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมดหวัง
“สุดท้ายก็เราที่พ่ายแพ้” ซูลี่พึมพำพร้อมมีน้ำตารื้นขึ้นมา
“สะใภ้ว่าง่ายดีนิ ไม่เหมือนเมียคนที่สองของไอ้จื่อหาน รายนั้นมีแต่ไม่ยอมท่าเดียว พวกฉันต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าจะได้เงินมาแต่ละหยวน” ส่งจื่อพูดพลางยิ้มคิดว่าบ้านซียามนี้มีแต่ลูกพลับนิ่มให้บีบเล่น
“ใครบอกว่าฉันว่าง่าย จื่อซวาน ซูลี่ ไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมา”
สิ้นคำสั่งเด็กน้อยเริ่มมีแววตาเปี่ยมความหวัง สองขาเล็กๆ วิ่งสับออกไปอย่างมุ่งมั่น สองคนบ้านอันที่มาวุ่นวายคิดจะจับตัวห้ามไว้ก็จับไว้ไม่ทัน เพราะเด็กทั้งสองมุดหนีได้ว่องไวปานสายฟ้า
“ต่อให้ตามมาแล้วยังไง พวกเราแค่มาทวงความกตัญญูที่น้าซูเจินต้องมีกับบ้านอัน” อันคนพี่กอดอกไม่เกรงกลัว
“ไปกันใหญ่แล้วพ่อแม่ของป้าอันตายจนไปเกิดใหม่หมดแล้ว จะให้กตัญญูกับใครในบ้านอันอีก เป็นบ้ารึไง” เฟยเฟิ่งที่จำได้ว่าป้าอีกคนที่เคยมาหาเรื่องพูดเรื่องทวดตายก็คงหมายถึงพ่อแม่ของตนเอง แต่เรื่องตามที่เด็กๆ รุ่นล่าสุดจะเรียกขานกัน
“นั่นสิหน้าที่ดูแลพ่อแม่ก็เป็นหน้าที่ลูกชาย ผู้หญิงเป็นน้ำที่สาดออกมาแล้ว มีแต่หน้าที่จะดูแลบ้านสามีนั่นแหละ ถ้ามีลูกสาวคนเดียวก็ว่าไปอย่าง นี่ใช่ที่ไหนกัน” เย่เหมยหลันที่รู้เรื่องจากซูลี่ก็รีบวิ่งมาที่บ้านซีทันที
คนบ้านอันมักจะมาช่วงเก็บเกี่ยวรีดไถข้าวเอาไป แต่เพราะจื่อหานอยู่ก็ยังพอจะคุยกันรู้เรื่องบ้าง แม้จื่อหานจะไม่อยากให้ แต่เมื่อแม่ขอร้องก็ต้องจำใจแบ่งไป แต่เข้าหนาวทีไร คนบ้านอันจะอาศัยช่วงที่ซีจื่อหานไม่อยู่มาไถเงินไป ถ้าครั้งไหนไม่ได้เงินก็ต้องได้เป็นของ
“สะใภ้ที่แต่งเข้ามามีแต่คนปากเสียรึไง โถ่เว้ย” ส่งจื่อก่นด่า
“อย่าทำแบบนั้น พูดกันดีๆ” ซูเจินยืนเกาะขอบกำแพงร้องห้าม
“หนาวที่แล้วบ้านอันมาเอาไก่ที่บ้านซีเลี้ยงไว้ไปจนหมด จนจื่อหานไม่กล้าเอาไก่มาเลี้ยงเพราะกลัวพวกแกมาแอบเอาไปตอนเขาไม่อยู่อีก” เหมยหลันว่า
“ที่แท้เด็กๆ ก็ไม่ได้ขโมย แค่ไปเอาของที่ตัวเองควรได้กลับมา สารเลวจริงๆ ทำเด็กแบบนี้ได้ยังไงกัน”
เฟยเฟิ่งย้อนนึกก็เจ็บใจ เด็กสองคนแทนที่จะมีไข่กินทุกวันเพราะพ่อซื้อไก่ไว้ กลับต้องเสียไปเพราะพ่อเองก็ไม่สามารถอยู่ปกป้องได้ตลอด ต้องยอมให้คนทุบตีเพื่อไข่หนึ่งฟอง เธอคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกโมโหสุดขีดคว้ามีสับหมูที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นมาอย่างเหลืออด
“จากมีดที่จะสับหมูไปขายของพรุ่งนี้ ฉันไม่สับแล้ว ฉันจะสับพวกแกให้ไม่มีทายาทมันซะเลย!!”
ว่านเฟยเฟิ่งเลือดขึ้นหน้า ในมือมีมีดเล่มใหญ่ง้างอยู่กลางอากาศท่ามกลางเสียงร้องห้ามมากมาย อันส่งจื่อวิ่งหนีออกไปทิ้งพี่ชายให้เผชิญหน้ากับเฟยเฟิ่งผู้ที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่เพียงผู้เดียว แต่ก่อนที่เฟยเฟิ่งจะสับมีดลงไปกลางหน้าของเหยียนเค่อได้ ก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพลิกข้อมือเปลี่ยนให้เป็นด้านสัน และช่วยเธอฟาดชายสกุลอันผู้นี้ไปเต็มแรง
“อ๊าก!!!!”
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ







