เข้าสู่ระบบว่านเฟยเฟิ่งยิ้มกว้างออกมาคล้ายว่าเจอเรื่องสนุก ทีแรกเธอคิดแค่จะทำร้านขายของชำ แต่เพราะคนที่แผงผักทำให้เฟยเฟิ่งคิดออกว่าตนเองควรจะหาเงินเป็นกอบเป็นกำจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร
“จำเมล็ดพันธุ์ผักที่เราซื้อมาได้ไหม น้าจะทำบ้านให้ผักอยู่ เราจะได้ปลูกผักในช่วงที่หนาวกว่านี้ได้ แต่อย่าบอกใครเด็ดขาด ให้เราทำสำเร็จก่อนตกลงไหม”
“ครับ ไม่บอก แต่บ้านผักจะทำให้เราปลูกผักได้ยังไงกัน” ซีจื่อซวานเริ่มเดินช้าลงเพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่น
“ถ้าเอาแบบง่ายๆ แดดส่องเข้ามาได้ แต่ความร้อนข้างในออกไปข้างนอกไม่ได้ ทีนี้อากาศก็จะอุ่นกว่าข้างนอก ทำให้ต้นไม้โตได้น่ะสิ”
“ครับ” จื่อซวานระบายยิ้มกว้างออกมา “นี่ใช่ไหม ทางเลือกที่น้าหมายถึงเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย”
“ใช่แล้ว” เฟยเฟิ่งชะงักเพราะร่างที่อาศัยอยู่ตอนนี้นั้นไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย “น้าไม่ได้รู้เองหรอก น้าก็ไม่ได้เรียน คนที่เรียนเขามาบอกน้า ความรู้จะทำให้เราได้เปรียบคนอื่น เชื่อน้านะ”
“แต่เรามีเงินสร้างจริงเหรอ เงินของพ่อก็ไม่ได้เยอะ”
“น้าใช้สินเดิมของตัวเอง เพราะฉะนั้นกำไรก็จะเป็นของน้า ถ้าจื่อซวานช่วยทำ น้าก็จะแบ่งค่าแรงให้ ส่วนของที่ซื้อวันนี้ค่อยคำนวณว่าจะแบ่งเป็นของในบ้านเท่าไหร่ก็ค่อยเอาเงินพ่อมาจ่ายให้น้า แต่ค่าบะหมี่เมื่อกี้เงินพ่อพวกเธอ”
“เงินน้าคือของน้า แต่เงินพ่อเป็นของทุกคนแบบนี้เหรอครับ”
“ฟังดูไม่ยุติธรรมล่ะสิ แต่สำหรับน้ามันยุติธรรม พ่อมีหน้าที่หาเงิน น้ามีหน้าที่ดูแลพวกเธอกับย่า มีคนละหนึ่งหน้าที่ ถ้าน้าต้องหาเงินเข้าบ้านอีกแปลว่าน้ามีสองหน้าที่”
ว่านเฟยเฟิ่งไม่ได้ต้องการจะแยกแยะทุกอย่างมากมายแบบนี้ แต่เมื่อรู้ว่าตัวเธอยังไม่ทันได้แต่งเข้าบ้านอย่างเป็นทางการเสียด้วยซ้ำก็คิดว่าควรแยกไว้ ถ้าหากเขากลับมาแล้วเกิดมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถูกใจกันจะได้ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องทรัพย์สิน
“เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองเดินเงียบๆ มาอีกครู่หนึ่งก็ถึงร้านเถ้าแก่รับเหมาเป็นที่เรียบร้อย เฟยเฟิ่งสังเกตอาการของเด็กชายที่คาดว่าเขย่งมองหาบิดา เมื่อไม่เห็นท่าทีดีใจจึงสรุปได้ว่าบิดาของเด็กน้อยคงไม่อยู่ในร้าน
“อาซวานมาหาใครน่ะ” หญิงสาวท่าทางคล่องแคล่วเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ “พ่อของเธออยู่ที่ไซต์งาน ไม่ได้ค้างที่ร้านหรอก”
“ครับ น้าอยากมาหาซื้อกระจก พอจะมีช่างอยู่ร้านไหมครับ” จื่อซวานตอบรับพร้อมกับบอกความต้องการเสร็จสรรพ
“คงเป็นน้องสาวพี่จื่อหาน รอเดี๋ยวจะตามช่างมาให้”
“มะ…ไม่” จื่อซวานที่กำลังจะแก้ไขความเข้าใจผิดไม่ทันพูดอะไร ลูกสาวเถ้าแก่ก็หายลับไปเสียก่อน
“เขาจะเข้าใจแบบไหนก็ช่างเขาเถอะ เรารีบทำธุระดีกว่าซูลี่รออยู่” ว่านเฟยเฟิ่งยักไหล่ จากนั้นก็ยกยิ้มให้ช่างที่เดินเข้ามา
“อยากได้กระจกไปทำอะไรกัน หน้าต่างพังเหรอ” ช่างชายที่เข้ามาถามมีท่าทีเป็นกันเองเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนในครอบครัวของสหายคนงานด้วยกัน
“ไม่ใช่ค่ะ ที่ฉันต้องการคือบ้านที่ทำจากกระจก แต่คงไม่ต้องใหญ่ขนาดว่าเป็นบ้านหรอก มีกระดาษไหมฉันขอสักแผ่นสิ”
เฟยเฟิ่งเริ่มวาดและอธิบายให้ช่างฟังว่าสิ่งที่เธอต้องการคือบ้านที่ทำด้วยกระจกทั้งหมด และขอบจะทำจากไม้หรืออิฐก็ไม่เกี่ยง แค่ขอเลือกอันที่ถูกกว่าเท่านั้น
“แต่ตรงหลังคาไม่ต้องแหลมขึ้นหากัน แต่เปลี่ยนเป็นทรงลาดลงดีกว่า น่าจะตัดกระจกมาใส่ง่ายกว่า ตรงทางเข้าสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร ส่วนด้านหลังให้สูงสักสองร้อย หรือสองร้อยสิบก็ได้ ตามที่ช่างว่าเหมาะสม”
“ใช้กระจกแพงเกินไป เป็นพลาสติกได้ไหมล่ะ จะติดต่อคนที่โรงงานให้ แต่ถ้าเป็นสีใสไม่กลัวคนมองหรือสหาย”
“มีแล้วสินะ” เฟยเฟิ่งพึมพำ “เอาใสค่ะ ไม่ได้ให้คนอยู่ ถ้าพลาสติกทำได้ฉันก็ไม่เกี่ยง”
“อย่างนั้นจะไปขึ้นโครงไว้ให้ ได้มาแล้วค่อยเอามาติด บ้านสหายมีที่พอไหมล่ะ” ช่างถามกลับ
“ถ้าไม่พอเดี๋ยวฉันเช่าที่เพิ่ม ไปสร้างได้เมื่อไหร่คะ”
“เลิกงานแล้วจะพาคนไป ค่าแรงก็ไม่ต้องหรอก ถือว่าช่วยเหลือจื่อหาน ส่วนค่าของจะถือสาไหมล่ะถ้าเป็นไม้เก่าอิฐเก่า”
“ไม่เลยค่ะ”
“งั้นรอเดี๋ยว” ช่างพยักหน้า แล้วมุ่งตรงไปยังลูกสาวของเถ้าแก่ คุยกันครู่หนึ่งก็เดินกลับมาบอกว่านเฟยเฟิ่งว่าหากจ่ายค่าไม้และปูนที่ต้องใช้นิดหน่อยแล้ว ก็สามารถพาคนไปสร้างได้เลย ส่วนค่าพลาสติกจะมาบอกกล่าวภายหลัง
.
.
.
เฟยเฟิ่งไม่ลืมแวะซื้อถ้วยจานที่ตลาดด้วย เพราะสังเกตว่าร้านบะหมี่จะมีถ้วยเตรียมไว้ให้ลูกค้าที่มาซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านแต่เตรียมถ้วยมาไม่พอ โดยคิดค่ามัดจำถ้วยไว้ และขอแรงช่างที่จะมาด้วยกันให้ช่วยถือ
การเดินกลับหมู่บ้านครั้งนี้จึงมีจื่อซวาน เฟยเฟิ่ง และช่างกับคนงานสองคน แต่เมื่อไปถึงบ้านกลับพบว่าแบบที่เฟยเฟิ่งวาดไว้นั้นใหญ่เกินกว่าจะจะอยู่ในบริเวณบ้าน เดือดร้อนต้องไปขอเช่าที่ดินเพิ่มจนแม่สามีหน้าเสีย แต่เมื่อรู้ว่าเฟยเฟิ่งจ่ายเงินตนเองเป็นค่าเช่าล่วงหน้าไปห้าปี จึงได้สงบปากลง ด้วยคิดว่าอย่างไรสตรีในเมืองก็จะต้องหนีหายไป และที่ดินนี้ก็จะเป็นของบุตรชายตนได้ใช้ประโยชน์
“ที่หลังบ้านเลยช่างหู โชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องได้ที่ไกล”
“ขยายรั้วบ้านด้วยเลยสิ ทำไปพร้อมกัน” ช่างหูที่ช่วยวางแผนตั้งแต่ต้นเสนอ
“ฉันก็ว่าจะกั้นรั้ว แต่ให้แยกส่วนบ้านกับส่วนที่ไว้ดีกว่า” เฟยเฟิ่งออกความเห็น
“เอาแบบนั้นก็จะทำทางเข้าออกที่หลังบ้านให้”
เมื่อตกลงกันเสร็จสิ้น และเฟยเฟิ่งจ่ายค่าส่วนต่างที่เพิ่มมาแล้ว ช่างหูก็ส่งคนกลับไปเอาของที่ร้าน พร้อมกับเรียกจื่อซวานมาสอนงาน ส่วนเฟยเฟิ่งก็นั่งแยกหมวดหมู่ของที่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดนำมาส่ง โดยมีซูลี่เป็นลูกมือ คอยชั่งตวงของที่จะแบ่งเป็นของในบ้านให้ชัดเจน
“ไก่เหล็กจริงๆ แบ่งของเหมือนว่าเธอไม่ได้อาศัยหาประโยชน์จากบ้านซี” ซูเจินพูดแขวะ
“มันก็ต้องทำให้ชัดเจนจะมามั่วปะปนกันไม่ได้ แบบนั้นตอนทำบัญชีได้เส้นเลือดในสมองแตกตายพอดี”
เฟยเฟิ่งที่ในชีวิตเก่าเรียนจบบริหารธุรกิจมาเริ่มบ่น เพราะแค่ต้องเอาสินเดิมมาลงทุน แทนการกู้ธนาคารมาเริ่มธุรกิจก็ผิดอยู่แล้ว นี่ยังจะไม่แยกของส่วนตัวและส่วนค้าขาย “ฆ่ากันให้ตายไปเลยเถอะ”
“มีสะใภ้แบบนี้ ฉันนี่แหละจะตาย” ซูเจินยกชาขึ้นจิบย้อมใจไปหลายจอก แต่ก็ยังคงจ้องเฟยเฟิ่งที่สอนซูลี่ดูตาชั่งไม่วางตา
“เก่งมาก อัพท๊อป!” เฟยเฟิ่งยกมือขึ้นรอให้ซูลี่เอามือมาตีประกบกันแบบที่คุ้นชินจากพ่อแม่ของตนเองในภพก่อนเมื่อยังมีชีวิตอยู่
“น้าร้องไห้ทำไม” ซูลี่ถามออกมาเสียงเบา
“น้ากับแม่ตีมือกันแบบนี้เวลาทำอะไรได้ดี เลยคิดถึงน่ะ” เฟยเฟิ่งระบายยิ้ม ปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ
“ซูลี่จำหน้าแม่ไม่ได้สักนิด แม่จะโกรธซูลี่ไหมน้าเฟิ่ง”
“แม่ไม่โกรธหรอก ถ้าซูลี่เป็นเด็กดี รักแม่ รักย่า รักพ่อ รักอาซวาน ยังไงแม่ก็จะไม่มีวันโกรธ ไปทำข้าวเย็นกันเถอะ”
“ดี! ทำงานบ้าง ใช้เงินมาทั้งเช้าแล้ว” แม่สามีของว่านเฟยเฟิ่งกล่าวพลางนวดหัวเข่าของตนเอง
“ด่าตอนฉันจะทำอาหาร ป้าไม่กลัวฉันใส่ยาพิษให้กินรึไง!”
“แก! ออกจากบ้านฉันไปเลยนะ”
“ไม่ออก ออกแล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน ป้าดูปากฉันนะ ไม่! ไป! ไหน! ทั้ง! นั้น!”
“ค่าจ้างแต่งงานร้อยหยวนที่ได้มาไม่คุ้มจริงๆ” แม่สามีที่นวดเข่าตัวเองเมื่อครู่ลุกขึ้นมาทำท่าจะตีว่านเฟยเฟิ่ง แต่ต้องยั้งไว้เมื่อลุกขึ้นมาแล้วก้าวขาไม่ออก
“ก้าวขาออกแล้วค่อยมาตีฉันแล้วกัน” เฟยเฟิ่งส่ายหน้าคิดไม่ตกว่าจะอยู่กับแม่สามีเช่นนี้ได้อย่างไร
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ







