เข้าสู่ระบบเฟยเฟิ่งย้ายมาบริเวณที่ถูกจัดเป็นครัวนอกบ้าน ตอกไข่ใส่ถ้วยแล้วแยกไข่ขาวและไข่แดงไว้ ถ้วยที่มีไข่ขาวใส่น้ำตาลลงไปและใช้ตะเกียบตีแทนตะกร้อตีไข่ ปากก็พลางสั่งให้ซูลี่ผสมแป้งตามคำสั่ง
“แป้งข้าวเจ้าหกช้อน แป้งข้าวโพดกับแป้งสาลีอย่างละหนึ่ง ไข่หนึ่งฟองระวังอย่าให้เปลือกตกลงไปนะ”
ซีซูลี่ผสมตามอย่างตั้งใจ เมื่อส่วนผสมครบก็ค่อยๆ เพิ่มน้ำลงไป ยื่นให้เฟยเฟิ่งตรวจเป็นระยะ “ใช้ได้ไหมคะ”
“ได้แล้ว ของน้าก็แค่บีบส้มจี๊ดลงไปนิดหน่อยก็ได้แล้ว” เฟยเฟิ่งต้องการให้ครีมที่ตีขึ้นมามีความคงตัว แต่ไม่สามารถหามะนาวหรือเลม่อนได้ จึงคิดว่าส้มจี๊ดอาจจะพอทดแทนได้
“ทำอะไรต่อคะ” ซูลี่ถามอย่างตื่นเต้น เด็กน้อยที่ทำเป็นแต่โจ๊กและน้ำแกงมีแววตาเป็นประกาย
“เมื่อกี้เราจะไว้ทำขนม เรามาเตรียมทำอาหารกันจริงๆ ต่อดีกว่า” เฟยเฟิ่งหยิบชามผสมออกมาตักแป้ง ไข่แดงที่ไม่ได้ใช้ น้ำมันและเกลือลงไปอีกเล็กน้อย นวดจนเนื้อเนียน ส่วนซูลี่มีหน้าที่ล้างมะเขือเทศ และหัวหอมที่ซื้อจากแผงผักอื่น
เมื่อซูลี่ล้างผักเสร็จเฟยเฟิ่งก็กำลังใช้ด้ามของตะหลิวมารีดแป้งให้แบนพอดี เมื่อหั่นเสร็จก็ออกมาเป็นเส้นพาสต้าที่ขนาดไม่เท่ากันนัก จึงชวนซูลี่มาปั่นให้จานเส้นแบนเป็นเส้นกลมแทน ไม่นานนักก็เป็นอันเสร็จ
“ป้ามาจุดไฟให้หน่อยค่ะ ฉันจุดไม่เป็น” เฟยเฟิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากแม่สามีที่นั่งว่างอยู่
“เรื่องอะไรที่คนแก่อย่างฉันต้องทำ ถ้าแค่นี้ไม่มีปัญญาก็ออกไปจากบ้านซี”
“จื่อซวาน!” เฟยเฟิ่งไม่ต่อปากต่อคำ
ไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วย
เธอเลือกที่จะเรียกจื่อซวานให้มาจุดไฟแทน แต่ระหว่างที่กำลังรอไฟติดเธอกลับเห็นบางอย่างแว็บไปไวๆ ที่หางตาแต่เมื่อหันไปมองกลับเห็นว่าไม่มีอะไรตรงนั้น
“ไฟติดแล้ว ไปหาช่างหูก่อนนะครับ”
“ไปเถอะ สนุกล่ะสิ”
เมื่อจื่อซวานไปแล้วเฟยเฟิ่งจึงไม่สนใจอีกและคิดว่าตนเองคงจะตาพร่าไปเอง กลับมาตั้งใจการทำอาหารตรงหน้าเตาหนึ่งตั้งน้ำเปล่า อีกเตาวางกระทะและใช้ช้อนวนแป้งลงไปเป็นแผ่นกลมระหว่างรอ หยิบมะเขือเทศที่ซูลี่ตั้งใจล้างจนชายกางเกงเปียกไปหมดมาสอนเด็กน้อย
“เราจะไม่ใช้เปลือก แต่ถ้าให้มานั่งปอกเนี่ยจะเละเทะ เพราะฉะนั้นเราจะต้องกรีดเป็นสี่แฉกแบบนี้”
“ซูลี่ขอทำบ้าง”
“น้ายังไม่ให้หนูใช้มีด แต่น้าจะให้หนูเป็นคนปอกดีไหม” เฟยเฟิ่งพูดพลางกรีดมะเขือเทศใส่ลงหม้อจนครบทุกลูก จากนั้นก็ไปป้ายครีมและพับทันทีโดยไม่ใส่ไส้คาวหรือหวาน เพราะเฟยเฟิ่งไม่อาจทำไส้ขนมเบื้องได้ทันเวลาอาหารเย็น
“ไปตักน้ำใส่ถ้วยมาเร็ว”
เมื่อซูลี่ตักน้ำมาแล้วเฟยเฟิ่งก็เริ่มช้อนมะเขือเทศมาแช่ไว้ครู่หนึ่ง “พอต้มแล้วตรงเปลือกจะแยกจากเนื้อ เราก็จะดึงออกได้แบบนี้เลย”
“ง่ายจริงด้วย ซูลี่ทำได้” เด็กหญิงที่หยิบขึ้นมาแล้วลองดึงบ้างก็ยิ้มกว้างออกมาเมื่อลอกเปลือกสำเร็จ
หม้ออีกใบถูกนำออกมาใส่น้ำมันผัดหัวหอมจนเหลืองสวย ตามด้วยกระเทียม หมูสับ จากนั้นเฟยเฟิ่งก็ใส่มะเขือเทศ เริ่มบี้จนละเอียด ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ยกลงพักไว้
บนเตาอาหารคาวเปลี่ยนเป็นหม้อน้ำเปล่ามาต้มพาสต้าเส้นสด เมื่อต้มจนได้ที่แล้วก็สลับหม้อซอสมาขึ้นเตา ซูลี่เป็นคนคอยคน ส่วนเฟยเฟิ่งก็หันมาตั้งใจทำขนมเบื้องที่มีแค่ครีมต่อ
เมื่อทุกอย่างในหม้อซอสดูดีแล้ว เฟยเฟิ่งก็ช้อนเส้นใส่ให้ซูลี่ คนให้เข้ากันก่อนตั้งแบ่งใส่จานให้คนในบ้าน และเหล่าช่างที่มาสร้างโครงบ้านผัก และรั้วให้เธอ โดยไม่ลืมแบ่งขนมไปด้วยอย่างเท่าเทียม
.
.
.
“นี่ของป้า เข่าน่ะป้าเจ็บมานานรึยัง” เฟยเฟิ่งถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” ซูเจินรับจานอาหารที่มีเส้นและน้ำข้นๆ สีแดงมามองขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ
“ลองกินดูก่อน อย่าพึ่งบ่นฉัน” เฟยเฟิ่งหมุนตัวกลับไปด้านหลัง เรียกจื่อซวานมาเอาอาหารไปให้ช่าง และส่วนของตัวเอง ส่วนตัวเธอและซูลี่นั่งกินด้วยกันอยู่ในครัว
“อร่อยไหม”
“อร่อยมาก ซูลี่อยากกินแบบนี้ทุกวันเลย” ซูลี่ว่าพลางดูดเส้นเข้าปากจนเลอะเทอะไปรอบปาก
“งั้นก็รีบกิน เดี๋ยวที่เหลือเราจะเอาไปให้บ้านจงกัน เขามาส่งซูลี่ที่บ้าน เราต้องไปขอบคุณน้าเหมยหลัน”
ว่านเฟยเฟิ่งใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากบ้าง โชคดีที่เธออยู่คนเดียวมานานจึงพอจะทำอาหารเป็นหลายอย่าง ไม่เช่นนั้นการเป็นสะใภ้ในยุคที่หน้าที่ทำอาหารดูแลบ้านเป็นของฝ่ายหญิงคงลำบากไม่น้อย แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าดีพอจะทำขายในตลาดหรือไม่ การมีคนมาทดลองชิมให้นับว่าดีไม่น้อย
แผนของเฟยเฟิ่งคือการรับฝากสั่งเนื้อสัตว์ตอนเย็น ส่วนช่วงเช้าไปขายอาหารในตลาด ซื้อเนื้อสัตว์กลับเข้ามาขายที่บ้าน เพื่อให้คนเข้ามารับของที่สั่ง แล้วคนเหล่านั้นอาจจะซื้อพวกแป้ง เครื่องปรุง ของที่ขาดไปโดยไม่ต้องเข้าตลาดอีก และแน่นอนว่าอาหารก็ต้องมีขายหน้าบ้านด้วยเช่นกัน
“น้าเฟิ่งคืนจานครับ” จื่อซวานวิ่งกลับมาพร้อมจานที่ซ้อนกันอยู่ โดยมีช่างหูเดินตามมาด้วย
“แม่หนูทำอาหารอร่อยใช้ได้ ลองไปขายในตลาดดูสิ ในตลาดมีแค่ร้านบะหมี่น้ำใส เส้นราดน้ำมะเขือเทศแบบนี้ยังไม่มี แล้วขนมนี้ตัวสีขาวหวานอร่อยจริงๆ ถ้าชิ้นละไม่เกินสองเหมาคงซื้อทุกวัน”
“ลุงช่างว่าจะขายได้จริงเหรอคะ” เฟยเฟิ่งถาม
“ได้สิ ผมกับคนงานเลียจานกันเลย อร่อยมากครับ น้าอยู่มานานเพิ่งเคยเห็นว่าทำอาหารก็วันนี้แหละ” จื่อซวานเป็นฝ่ายที่ตอบขึ้นมาแทน
“เอา ขายก็ขาย แต่ถ้าวันไหนไม่มีมะเขือเทศคงต้องเปลี่ยนสูตรกันหน่อย” ว่านเฟยเฟิ่งเริ่มคิดคำนวณว่าควรจะมีอาหารคาวสอง และหวานสองให้คนเลือกซื้อ หากเพาะผักได้เมื่อไหร่ก็คงจะยิ่งสมบูรณ์ขึ้น
“ดีจริงๆ เจ้าจื่อซวานคนนี้หัวเร็วเหมือนพ่อไม่มีผิด ต่อไปบ้านซีคงสบาย ไม่ว่าใครก็มีความสามารถ”
เฟยเฟิ่งที่รับคำชมมาดิบดี เมื่อหันตัวกลับมาเห็นซูลี่ก็เกือบจะหลุดหัวเราะ เพราะเด็กน้อยมีซอสเลอะไปจนถึงหน้าผากเสียแล้ว
“มาล้างหน้าเร็ว เราจะไปบ้านจงกันแล้ว”
.
.
.
การไปบ้านจงนั้นราบรื่นไร้ปัญหา เหมยหลันเพียงแค่นำหม้อมาเปลี่ยนถ่ายอาหารออกไป ส่วนขนมเบื้องก็หยิบแค่พอจำนวนคนในบ้าน ทั้งยังให้ไข่ตอบแทนแลกมาสี่ฟอง แต่ปัญหานั้นมาเกิดเมื่อเฟยเฟิ่ง และซูลี่มาถึงบ้านซี
“มาได้แล้วเหรอนังสะใภ้คนใหม่ ไหนล่ะส่วนแบ่งของบ้านอัน” อันผิงเจินคนเดียวกับที่ตีเด็กๆ เมื่อเช้ารออยู่ในบ้าน
“ส่วนแบ่งอะไรของป้าอีก ฉันต้องแต่งกับซีจื่อหาน ไม่ใช่อันจื่อหาน ขอเถอะอย่ามารบกวนฉันเลย วันนี้ฉันมีงานการต้องทำอีกเยอะ” เฟยเฟิ่งยื่นหม้อแล้วบอกให้ซูลี่ไปล้างจานหลังบ้าน ด้วยระแวงว่าคนตรงหน้าจะคว้าเด็กไปทำร้ายอีก
บทที่ 39 เอาอาหารไปส่งสามีสองสัปดาห์ผ่านไปแปลงผักในพื้นที่หลังบ้านเริ่มที่จะเข้าที่แล้ว ช่วงแรกแม้จะทดลองปลูกกันไปแล้ว แต่การจัดสรรพื้นที่ยังไม่ลงตัวจึงทำให้ต้องลดปริมาณผักที่เก็บไปส่งให้ป้าจูด้วย แต่เมื่อตกลงกันกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว เฟยเฟิ่งก็ให้เด็กทั้งสองเดินหน้าเต็มกำลังหลังบ้านซีไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ พื้นที่จุดที่ได้รับเฉพาะแดดเช้าลงผักที่ไม่ต้องการแดดมาก ในโรงเรือนมีเห็ดหลากชนิดให้หมุนเวียนตัดไปกินและขาย เหนือพื้นดินด้านนอกมีราวไม้สำหรับแขวนกระถางปลูกผักเพิ่ม อีกแถวไว้ปลูกกล้วยไม้สวยงามจากในมิติที่เฟยเฟิ่งอ้างว่าพบเจอบนภูเขา หากขยายพันธุ์ให้ดีก็สามารถทำเงินได้ ด้วยผู้คนยังนิยมให้กันเป็นของขวัญนอกจากนั้นแล้วยังมีไก่ที่ซีจื่อซวาน
บทที่ 38 หาวิธีคุยกับผีในบ้านว่านเฟยเฟิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้สามีกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งให้เป็นทุกข์นาน หยิบเห็ดหลินจือที่ทดลองเพาะอย่างลับๆ ออกมาให้จื่อหานดู พร้อมกับถุงใส่สปอร์เห็ดที่เก็บสำเร็จมาแล้วรอบหนึ่งออกมาไว้ข้างกัน“น่ะนี่มัน…?”“เห็ดหลินจือน่ะสิคะ” เฟยเฟิ่งที่เข้าไปปลูกในมิติเมื่อรู้ว่าทำได้ก็คิดจะเอามาขยายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เธอเองก็รู้ตัวว่าคงทำเองไม่ไหว จึงคิดจะสอนจื่อหานแล้วยกให้เขาลงแรงไปเสีย“คุณไปเอามาจากไหน”“มีเทพเอามาให้ค่ะ ล้อเล่นค่ะ ก็เก็บมาสิคุณ ฉันตัดใจไม่ขายเพราะจะเอามาทดลองปลูกเลยนะว่าเราเพาะได้ไหม และคำตอบก็คือได้ แต่ว่าฉัน
บทที่ 37 ปู่ว่านมาถึงบ้าน“อาเฟิ่งคิดอะไรแบบนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก ทุกครั้งที่มีคนหายไปเป็นช่วงที่อาเล็กไปทำงานในเมืองทั้งนั้น อีกอย่างผู้หญิงจะหายไปแค่ช่วงฤดูหนาว ช่วงนี้ทุกคนยังปลอดภัยค่ะ”“หายแค่ฤดูหนาวเท่านั้นเหรอ”เฟยเฟิ่งพึมพำกับตัวเองไม่ได้ฟังพวกผู้ชายถกเถียงกันเรื่องนี้อีก นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เฟยเฟิ่งรู้มานั้นไม่ถูกต้อง ฆาตกรคนนั้นเริ่มลงมือแล้ว แต่เมื่อพ้นฤดูหนาวมาแล้วแปลว่าเธอยังคงปลอดภัย นั่นย่อมหมายความว่าก่อนที่ฤดูหนาวถัดไปจะมาถึง เธอจำเป็นจะต้องซื้อบ้านในเมืองให้ได้เพื่อความอยู่รอด!...&nbs
บทที่ 36 ฉันแต่งงานกับใครกันแน่!ทุกฤดูเพาะปลูกหมู่บ้านจะจัดการประชุมใหญ่ขึ้น เพราะต้องการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันทุกครัวเรือน ยิ่งปีนี้ปรับมาทำนาแบบบ้านใครบ้านมันแล้ว ยิ่งต้องคุยให้ชัดเจน แม้จะแจ้งและแบ่งที่ไว้แล้วก็ต้องย้ำอีกครั้งว่านเฟยเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นดวงจิตเดิมหรือดวงจิตใหม่ต่างก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ประชุมหมู่บ้านจึงรู้สึกตื่นเต้น ทั้งยังพิถีพิถันเลือกชุดเสมือนว่าจะไปประกวดนางงาม เด็กน้อยทั้งสองก็ถูกเธอจับขัดตัวทำผมให้ดูเหมือนลูกคนมีเงิน จะติดก็แต่เสื้อผ้าที่ดูซีดไปเสียหน่อย“น้าละเลยเรื่องเสื้อผ้าพวกเธอเกินไปแล้วจริงๆ หน้าตาก็ดูดีมีสกุล แต่สีเสื้อซีดยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ได้การ”“เอาไว้จะย้อมสีให้ใหม่ ไ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ
บทที่ 34 อ่อนแอเกินไป“ที่ระบายอารมณ์เนี่ยนะ คุณจะบ้ารึไงคะ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตแบบนั้นนะ ปล่อยข้อมือฉันก่อน”“ก็คุณไง รับไม่ได้ที่ต้องมาชนบทเลยมาลงที่ลูกผม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ทำจนชินมือเลยล่ะสิ คล่องจริงนะกับการตีลูกคนอื่น”“ตบๆ สองทีแบบนี้มันเจ็บรึไง ตั้งสติก่อนไหมคะ ไหนเรื่องอื่นยังรอฟังได้ ทำไมครั้งนี้ไม่รอถามความจริงจากฉันบ้างเลยคะ” ว่านเฟยเฟิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความผิดนี้ไม่ใช่เธอก่อ แต่จะพูดอย่างไรว่าวิญญาณในร่างเป็นคนละดวง ใครที่ไหนจะเชื่อเธอกันมือเล็กทั้งสองถูกยกขึ้นปิดหน้าในตอนที่เธอปล่อยโฮออกมา เฟยเฟิ่งพยายามคิดหาเหตุผลว่าควรจะแก้ตัวอย่างไรให้เหมาะสม ซีจื่อหานเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้สติ เขาใช้มือหยาบกร้านลูบไปบนหัวเธอ







