บทที่ 7 เฝ้าไข้
ฝั่งด้านเลี่ยงเฟิงมาถึงห้องอ่านตำราของท่านพ่อเขาก็ไม่ได้มีกระจิตกระใจกับการอ่านตำราสักเท่าไหร่ เพราะเขาเองก็เป็นห่วงว่าลู่เอ๋อร์อาจจะติดไข้จากหานเสี่ยว์ได้ จนเหิงเยว์สังเกตได้จึงได้จับตำราที่อยู่มือของเลี่ยงเฟิงออกมาจากตัวของเขา
“วันนี้เจ้าเป็นอันใดข้าเห็นเจ้าเอาแต่เหม่อลอยแถมอ่านตำราหน้าเดียวเป็นเวลานาน”
“คือว่าข้าเป็นห่วงลู่เอ๋อร์ขอรับท่านพ่อ”
“ลู่เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือว่าหานเสี่ยว์รังแกนางอีกแล้ว”
“มิใช่ขอรับแต่ที่ข้าเป็นห่วงเพราะกลัวว่านางจะติดไข้จากท่านแม่มากกว่า ก่อนที่ข้าจะมาหาพ่อข้าได้ไปส่งลู่เอ๋อร์ที่ห้องท่านแม่ตามที่นางสั่ง แต่เมื่อข้าไปถึงก็พบว่าท่านแม่นอนสั่นเทาอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวแถมยังมีท่านหมอมาตรวจร่างกายท่านแม่อีกด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านแม่จะฟื้นหรือยัง " เลี่ยงเฟิงได้เอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วง ทำให้เหิงเยว์ที่ครุ่นคิดนางบอกว่าจะไปหาท่านพ่อของนางเมื่อฟ้าสาง หรือนี่จะเป็นแผนของนางอีกเพราะนางไม่อยากหย่าอย่างที่นางบอก เขาจึงจะไปดูใบหน้าที่เสแสร้งของนางว่าตอนนี้นางเล่นละครตบตาคนในเรือนจนเชื่อสนิทได้อย่างไร
“เจ้าอ่านตำราอยู่ในห้องนี้ไปก่อนเดี๋ยวข้าจะออกไปทำธุระสักครู่ เรื่องของลู่เอ๋อร์เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงนางเดี๋ยวข้าจะไปดูนางเอง” เขาพูดพลางลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เลี่ยงเฟิงนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง
เหิงเยว์เดินไปห้องของหานเสี่ยว์อย่างรีบร้อนเกรงว่านางจะลงมือทำร้ายบุตรสาวตัวน้อยของตนเอง เมื่อเท้าก้าวเข้ามาในห้องกลับพบเพียงความเงียบสงบเหิงเยว์แปลกใจยิ่งนัก จึงได้เดินเข้าไปที่ห้องนอนของนาง นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่เคยเข้ามาที่นี่เลย ตั้งแต่แต่งนางเข้ามาอยู่เรือนของเขา เขาก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาอีก เหิงเยว์กวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบผู้ใดแม้กระทั่งบ่าวไพร่ก็ไม่พบสักคนเขาเหลือบตาไปพบร่างบางที่เหงื่อออกท่วมตัวนอนอยู่บนเตียงแถมยังมีลู่เอ๋อร์ที่นอนจับมือนางอยู่เคียงข้างเช่นกัน
“ลู่เอ๋อร์ ลู่เอ๋อร์” เหิงเยว์เขย่าร่างกายของลู่เอ๋อร์พร้อมเอ่ยเสียงเรียกแผ่วเบา ลู่เอ๋อร์ลืมตาสะลึมสะลือก็พบท่านพ่อของตนเองนางดีใจมากที่ท่านพ่อมาหาท่านแม่
“ท่านพ่อท่านมาหาดูอาการท่านแม่หรือเจ้าคะ แต่ท่านแม่ยังไม่ฟื้นเลย แถมเข่อซิงเองก็ไปซื้อยายังไม่กลับมา ท่านแม่จะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ตั้งแต่ท่านแม่ตกน้ำไปครานั้นท่านแม่ก็เปลี่ยนไป แถมเข่อซิงเล่าให้ข้าฟังว่าเมื่อคืนนี้ท่านแม่ไปยังสระน้ำนั่นพร้อมกระโดดลงไป ทำให้จับไข้เป็นความผิดของลูกเองท่านพ่อช่วยท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะ” ร่างเล็กอ้อนวอนท่านพ่อของตนเองให้เข้าช่วยหานเสี่ยว์ให้หายจากเจ็บไข้ครั้งนี้ เขาลูบหัวของลูกสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะบอกลูกสาวของเขาให้ออกมา
“งั้นเจ้าลุกออกมาก่อน พ่อจะดูว่านางไม่สบายจริงหรือว่านางเสแสร้งแกล้งทำ”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่สบายจริงๆ นะเจ้าคะท่านหมอได้มาตรวจอาการและฝังเข็มให้ท่านแม่แล้วแต่น่าแปลกที่ท่านแม่ยังไม่รู้สึกตัว” ลู่เอ๋อร์มองดูหานเสี่ยว์ด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใย
เหิงเยว์นั่งลงบนเตียงข้างๆ ตัวของหานเสี่ยว์ใช้มือแตะที่แขนของนางเพื่อปลุกให้นางลุกขึ้นมา
“นี่เจ้าอย่ามาเสแสร้ง ตั้งแต่ที่เจ้ามาอยู่ที่เรือนของข้า ข้าไม่เคยเห็นว่าเจ้าไม่สบายเลยสักครั้งนี่เป็นแผนของเจ้าที่ไม่อยากหย่ากับข้าใช่หรือไม่” แต่แล้วเมื่อเขาแตะกายของนางกลับพบว่านางตัวร้อนจริงๆ อย่างที่ลู่เอ๋อร์เอ่ย
ส่วนจิวฉิงนางนอนโทรมไม่รู้สึกตัว รู้แค่เพียงว่าตอนนี้เธอหนักหัวเหลือเกินเมื่อเธอได้ยินเสียงของเหิงเยว์ที่ดังอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ลืมตาปรือขึ้นมามองก็พบกับใบหน้าที่คิ้วขมวดเข้าหากัน
“ข้าหิวน้ำ แค่กๆ” จิวฉิงรู้สึกเจ็บคออย่างมากพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกเหิงเยว์ผลักหัวของนางให้นอนลงไปเช่นเดิม
“เจ้าไม่ลุกหรอก นอนอยู่เช่นนั้นเถิดลู่เอ๋อร์เจ้าไปหยิบน้ำที่โต๊ะนั้นมาให้นางที” ลู่เอ๋อร์รีบเดินไปหยิบน้ำตามที่ท่านพ่อสั่งมาให้แก่หานเสี่ยว์ ส่วนเหิงเยว์เองก็ค่อยๆ ประคองให้นางลุกกินน้ำก่อนจะให้นางนอนลงเช่นเดิม
“เจ้าไม่สบายได้อย่างไร หรือที่เจ้ากระโดดลงน้ำเป็นแผนของเจ้าที่ไม่อยากหย่ากับข้ากันแน่” คำพูดบาดจิตได้เอ่ยออกมาจากปากของเขา หากเป็นหานเสี่ยว์ตัวจริงนางคงรู้สึกเจ็บหัวใจ แต่ตอนนี้จิวฉิงกลับไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ได้ไม่อยากหย่ากับท่านแต่ที่ข้าทำเช่นนั้นเพราะข้าต้องการกลับบ้าน” จิวฉิงที่สลึมสลือก็ได้พูดความจริงออกมา
“เฮอะ! หากเจ้าอยากกลับเรือนของเจ้าจริงๆ ไม่เห็นต้องกระโดดลงน้ำเลย แค่ก้าวเท้าออกจากเรือนของข้าก็สิ้นเรื่อง ข้าเหนื่อยที่จะพูดกับเจ้านอนพักผ่อนเสียเถอะ ลู่เอ๋อร์เจ้าเองก็กลับห้องได้แล้วเดี๋ยวเจ้าจะติดไข้จากนางได้” เขาเอ่ยออกมาอย่างไร้เยื่อใย
“ไม่เอาเจ้าค่ะ ข้าจะรอจนกว่าเข่อซิงจะกลับมา ท่านพ่อทำไมต้องพูดจากับท่านแม่เช่นนี้ด้วยเจ้าคะ แล้วหย่าคืออะไรทำไมต้องหย่าเจ้าคะ”
“ลู่เอ๋อร์เจ้ายังเด็กนักยังไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่ไว้เจ้าโตขึ้นจะรู้เอง ส่วนเจ้าหากพร้อมวันใดข้าก็จะหย่าให้เจ้า” เขาพูดจบก็เดินออกไปจากห้องของหานเสี่ยว์ ลู่เอ๋อร์ก็รีบกระโดดขึ้นบนเตียงนอนของหานเสี่ยว์
“ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ดีขึ้นหรือไม่” เด็กน้อยตากลมโตได้เอ่ยถาม
“ข้ารู้สึกปวดหัว เจ้าก็กลับไปห้องของเจ้าเถิดข้าหายดีเจ้าค่อยมาหาข้า ข้าไม่อยากให้เจ้าติดไข้จากข้า” จิวฉิงลูบใบหน้าของลู่เอ๋อร์อย่างเอ็นดู และบอกให้นางกลับห้องของตนเองก่อน
“ไม่เอาเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่กับท่านแม่” นางพูดจบก็ได้หยิบผ้ามาเช็ดตัวให้หานเสี่ยว์ นางยิ่งเอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้มากกว่าเดิม ทำไมถึงได้แสนรู้เช่นนี้ แล้วทำไมหานเสี่ยว์ตัวจริงถึงได้รังเกียจเด็กน้อยน่ารักอย่างนี้ลงนะ
ไม่นานเข่อซิงก็ได้กลับมาจากตลาดนำยาไปให้สาวใช้ต้มที่โรงครัวก่อนจะกลับมาหานายหญิงของตน แต่เมื่อมาถึงก็พบว่านายหญิงกำลังนอนกอดลู่เอ๋อร์นอนหลับด้วยกันอยู่บนเตียงนอน ช่างเป็นภาพที่นางไม่คาดคิดจริงๆ สตรีที่โหดร้ายเหตุใดถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เข่อซิงเผลอตัวยิ้มออกมาอย่างสุขใจ ก่อนจะเดินไปห่มผ้าให้ทั้งสองคนและเดินออกไปด้านนอกให้ทั้งสองได้นอนหลับกันอย่างสบาย
หลายวันผ่านมาร่างกายของหานเสี่ยว์ก็ได้หายจากไข้หวัด นางก็ได้สนิทกับลู่เอ๋อร์มากขึ้น ส่วนเลี่ยงเฟิงเองก็ยังคงไม่ไว้ใจนางสักเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวนางเหมือนที่ผ่านมา
เหิงเยว์ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่เรือนสักเท่าไหร่เพราะฝ่าบาทได้เรียกเขาเข้าไปพบ เหิงเยว์ได้รับตำแหน่งขุนนางเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน เขามีหน้าที่ตรวจดูการทำงานของเหล่าเสนาบดีใต้เท้าตามท้องถิ่น ตอนนี้มีข่าวเรื่องการยักยอกอาหารที่ต้องส่งเข้าวังหลวงฝ่าบาทจึงเรียกเขาเข้าไปพบเพื่อหารือ
เรือนของเหิงเยว์
“เฮ้อ! เมื่อไหร่จะถึงฤดูใบไม้ผลินะ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้าของเหิงเยว์ผู้เย็นชานี้เลย ปานนี้คุณย่าจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ คงเป็นห่วงฉันมากสินะที่ไม่ได้ติดต่อไป ไปที่สระน้ำอีกดีมั้ยนะ” จิวฉิงนั่งจิบน้ำชาที่สวนหลังเรือนพลางคิดเรื่องจะกลับไปโลกของตนเอง
“เป็นถึงลูกสาวของใต้เท้าใหญ่โต มีสามีเป็นขุนนางทำไมถึงได้เหงาใจเช่นนี้นะ หานเสี่ยว์ฉันไม่รู้จักคุณหรอกนะแต่นับถือหัวใจของคุณมากๆ ที่สามารถอดทนมาได้ทั้งๆ ที่คุณชายเหิงเยว์อะไรนั้นไม่ได้เหลียวมองคุณแม้แต่หางตา” จิวฉิงบ่นพึมพำก่อนที่จะได้ยินเสียงเจี้ยวจ้าวของเด็กๆ ที่กำลังเดินตามหาตนเอง
“ท่านแม่ วันนี้ข้ามีอะไรให้ท่านดูด้วยเจ้าค่ะ “จิวฉิงดึงสติให้กลับมาเป็นหานเสี่ยว์หันไปยิ้มกว้างให้ลู่เอ๋อร์
“ข้าชักตื่นเต้นแล้วสิ ไหนดูสิเจ้ามีอะไรให้ข้าดู” ลู่เอ๋อร์หยิบกระดาษที่ผับเป็นนกให้แก่หานเสี่ยว์ดู นี่เป็นสิ่งที่นางสอนให้แก่ลู่เอ๋อร์ในหลายวันมานี้ นางมองดูเด็กน้อยพร้อมตบมือให้กับความเก่งของนาง
“เจ้าเก่งเสียจริงข้าสอนไปแค่ครั้งสองครั้งแต่เจ้ากลับทำมาได้สวยงามขนาดนี้ อย่างนี้ต้องมีรางวัลเอามือเจ้าออกมา” ลู่เอ๋อร์เองก็ตื่นเต้นที่ท่านแม่จะให้รางวัลแก่นาง นางหยิบลูกกวาดออกจากระเป๋าใส่มือของลู่เอ๋อร์
“ว๊าว ท่านแม่นี่มันลูกกวาดนี่น่า” ตาของลู่เอ๋อร์ส่องประกายแวววาวเมื่อเห็นลูกกวาดหลากสีที่อยู่ในอุ้งมือน้อย ๆ ของตน แต่แล้วสีหน้าของนางก็ต้องเศร้าสลดลง
“เป็นอันใด ทำไมเจ้าถึงมีสีหน้าเช่นนั้น”
“ข้ากินลูกกวาดนี่ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่อสั่งห้ามไม่ให้ข้ากิน” หานเสี่ยว์ถอนหายใจคิดว่าตนเองทำผิดอะไร ก่อนจะลูบหัวของลู่เอ๋อร์อย่างเอ็นดู
“เจ้าก็อย่าบอกท่านพ่อเจ้าสิเก็บเป็นความลับของเราสองคน ข้าไม่เอ่ย เจ้าไม่เอ่ยก็ไม่มีผู้ใดรู้” ลู่เอ๋อร์ยิ้มร่าออกมาพร้อมแกะลูกกวาดเข้าปากและหลับตารับรสชาติหอมหวานของลูกกวาด จู่ๆ เลี่ยงเฟิงก็ได้วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
บที่ 39 น้องของสองแฝด1 ปีต่อมา หลังจากวันนั้นหานเสี่ยว์ก็ได้ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันกับเหิงเยว์ใช้เวลาค่ำคืนด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งนางนั้นได้ตั้งท้องให้กับเหิงเยว์จนตอนนี้ท้องเริ่มแก่มากแล้ว แถมฤดูนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย เหิงเยว์จึงเฝ้าประคบประหงมไม่ให้หานเสี่ยว์ไปใกล้แม่น้ำนั้นอีกเลย ในตอนแรกเขาแทบสั่งให้บ่าวนำดินมากลบบ่อน้ำนั้นไปส่ะเพราะกลัวว่าหานเสี่ยว์คิดจะกลับไปอีก แต่ถูกนางขอไว้ เพราะนี่คือความทรงจำที่ดีของนางหากไม่มีบ่อน้ำนี้ก็ไม่มีนางเช่นกัน เหิงเยว์ถึงยอมตามใจฮูหยินของเขา "คุณหนูเข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะยืนนาน ๆ จะทำให้เหนื่อยเอาได้นะเจ้าคะท้องของคุณหนูก็โตมากกว่าสตรีที่อายุครรภ์เท่ากันด้วยซ้ำ หรือว่าคุณหนูจะตั้งท้องแฝดเจ้าคะ"เข่อซิงที่คอยประคองหานเสี่ยว์ได้เอ่ยขึ้นพร้อมมองไปที่ท้องของหานเสี่ยว์ "จริงหรือท่านแม่ เช่นนั้นก็ดีนะสิ" เลี่ยงเฟิงที่เดินมาจากห้องของตนเองก็ได้ยินที่เข่อซิงกล่าว "ท่านแม่จะมีน้องสองคนหรือเจ้าคะ งั้นก็เป็นเรื่องดีเสียจริงข้ากับท่านพี่จะได้ไม่ต้องแย่งกัน น้องจ๋าเจ้าจงออกมาเป็นหญิงหนึ่งบุรุษหนึ่งนะได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่" ลู่เอ๋อร์ใช้มือเล็กลู
บทที่ 38 ทำน้องให้เด็กทั้งสอง"หานเสี่ยว์เมื่อไหร่เจ้าจะฟื้นนี่ก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ข้าเฝ้ารอเจ้าอยู่ทุกวันเด็ก ๆ ทั้งสองก็อยากเข้ามาหาเจ้าแต่ข้าก็ต้องโกหกไปว่าเจ้าไม่สบาย เพราะข้าไม่อยากให้เลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ต้องเสียใจที่รู้ว่าเจ้าจากไป เจ้าอยู่ที่ใดไม่สงสารใจข้าบางหรือ ข้าทำได้เพียงเฝ้ารอเจ้าอย่างท้อใจข้ามิอาจทำเช่นใดได้เลยกับมาหาข้าเถอะนะ หานเสี่ยว์ ไม่สิซู่ซ่าน หรือว่าจิวฉิง ไม่ว่าเจ้าจะชื่อนามอันใดข้าก็รักที่เจ้าเป็นเจ้ากลับมาหาข้าเถอะนะตอนนี้หัวใจของข้าแทบสลายแล้ว อย่าจากข้าไปเลย ข้ารักเจ้า เจ้าได้ยินมั้ยว่าข้ารักเจ้าเพียงใด" น้ำเสียงโศกเศร้าใบหน้าซูบผอมของเหิงเยว์ที่คร่ำครวญอยู่ข้างร่างหานเสี่ยว์พร้อมจับมือนางแน่นไม่ยอมปล่อย "รักเพียงใดหรือเจ้าคะ" จิวฉิงที่ฟื้นขึ้นมาอยู่ในร่างของหานเสี่ยว์ก็ส่งยิ้มพร้อมเอ่ยถามบุรุษที่พร่ำรักนางอยู่ต่อหน้า"ข้ารักเจ้ามาก ชีวิตของข้าก็ให้เจ้าได้ เอ๊ะ! เดี๋ยวสินางยังไม่ฟื้นนี่น่าหรือว่าข้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว " เหิงเยว์ชะงักเมื่อจู่ ๆ เขาก็ตอบคำถามหานเสี่ยว์ จึงได้ใช้มือตบหน้าตนเองเบา ๆจนหานเสี่ยว์ต้องจับมือของเขาเอาไว้"อย่าตีตนเองเลยนี่มิใช่
บทที่ 37 อย่าทิ้งข้าไป"นี่เจ้าจะทิ้งข้า ทิ้งเลี่ยงเฟิงกับลู่เอ๋อร์ไปจริง ๆ หรือ แล้วข้าจะอยู่อย่างไรเด็กทั้งสองจะอยู่อย่างไร ไม่ข้าไม่เชื่อเจ้าต้องฟื้นสิ ท่านหมอหลอกลวงข้าเจ้าต้องฟื้น แล้วเช่นนี้ข้าจะทนได้อย่างเล่าในเมื่อตอนนี้ข้ารักเจ้าหมดทั้งหัวใจ " ความเคว้งคว้างในหัวใจของเหิงเยว์ได้ก่อตัวขึ้น เขาซบหน้าลงซบร่างกายของหานเสี่ยว์สะอึกไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ภายในห้องก็มีเพียงเสียงร้องไห้ทุกข์ระทมของทุกคน เหิงเยว์ทำอะไรมิได้ทำได้เพียงร้องไห้แม้แต่เรี่ยวแรงที่เช็ดน้ำตาของตนเขายังทำไม่ได้เสมือนโลกทั้งใบได้แตกสลายไปแล้ว ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เขาได้เสียซู่ซ่านไปมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ต่อให้เขาเรียกนางซ้ำ ๆ เท่าไร่ร่างบางที่นอนแน่นิ่งก็มิอาจตอบสนอง "ข้ามิอาจจะช่วยเหลือฮูหยินของท่านได้ ต้องขออภัยอีกครั้งร่างที่นอนไร้สติของฮูหยินไม่นานชีพจรอาจจะหยุดเต้น ถึงเวลานั้นท่านคงรู้นะขอรับ หมดหน้าที่ข้าแล้วข้าขอตัว" ท่านหมอโค้งคำนับพร้อมออกจากห้องไป ปล่อยให้เหิงเยว์จมอยู่กับความทรมานใจอยู่เช่นนั้น แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นท่านหมอ แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบเห็
บทที่ 36 ลาก่อนฝั่งด้านหานเสี่ยว์นางกินอาหารเย็นเสร็จสิ้นก็ไล่ให้เข่อซิงกลับไปพักผ่อน วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันที่นางรอคอยมาตลอด จึงอ้างกับเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ว่านางมีอาการไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้ไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย เด็กทั้งสองเห็นท่านแม่มีอาการแปลกไปจึงคิดว่าไม่สบายจริง ๆ และไม่อยากรบกวนให้ท่านแม่ได้พักผ่อน นางรอจนทุกคนเข้านอนเมื่อนางเปิดประตูดูสถานการณ์ด้านนอกเมื่อไม่เห็นผู้ใดจึงได้เดินออกมาจากห้องเพื่อไปที่สระน้ำอยู่ด้านหลังเรือน ความเงียบสงัดทำให้หานเสี่ยว์เองก็รู็สึกเงียบเหงาเหลือเกิน นางเดินไปอย่างเชื่องช้า มองรอบ ๆ เห็นภาพความทรงจำที่ผ่านมาน้ำตาใส ๆ ก็เริ่มเอ่อนอง ความผูกพันธ์กับคนที่นี่ล้วนมีความหมายกับนางเหลือเกินมันเป็นความทรงจำที่มีค่ามาก ๆ ยิ่งก้าวเท้าเดินก็ยิ่งเจ็บถึงขั่วหัวใจ รอยยิ้มแววตาของเด็กทั้งสองที่คอยยิ้มให้ก็ยิ่งทำให้นางร้องไห้มากกว่าเดิม แต่ทุกอย่างนางต้องทิ้งไว้ที่นี่ "จากนี้ข้าคงไม่ได้พบเจอพวกเจ้าอีกแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะมีความสุขในทุก ๆ วัน ลาก่อนนะเลี่ยงเฟิงลู่เอ๋อร์ " เมื่อมาถึงสะพานหานเสี่ยว์ก็ได้ก้าวเท้าขึ้นไปยังสะพานเพื่อไปอยู่ตรงกลางแม่น้ำ ก่อ
บทที่ 35 คำสอนของท่านแม่คล้ายคำกล่าวลารุ่งสางมาเยือนอีกคราหานเสี่ยว์ร้องไห้ทั้งคืนเมื่อนางตื่นเช้ามาเปลือกตาของนางก็มีอาการบวมแดง เข่อซิงได้เข้ามานำน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตาก็ต้องตกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดเพราะเป็นเรื่องของเจ้านาย"คุณหนูข้านำน้ำมาให้เจ้าค่ะ วันนี้ด้านนอกอากาศดีมากหากคุณหนูล้างหน้าเสร็จแล้วเราไปด้านนอกดีมั้ยเจ้าคะ" "ดีเช่นกัน" หานเสี่ยว์ก็ได้ล้างหน้าล้างตาเข่อซิงเองก็ช่วยแปรงผมให้ ไม่นานทั้งสองก็ได้ออกมารับลมด้านนอกต้นไม้นานาชนิดเริ่มผลิใบเขียวขจี อากาศสดชื่นยิ่งนักหานเสี่ยว์ทอดสายตามองเหล่าผีเสื้อแมลงปอต่างพากันบินวนดมเกสรดอกไม้เพื่อดำรงชีวิต "คงถึงเวลาแล้วสินะ" นางเอ่ยออกมาเมื่อถึงเวลาที่นางจะต้องไปแต่หัวใจของนางตอนนี้ช่างปวดร้าวเหลือเกิน ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนางรอคอยเวลานี้มาตลอด นางคิดว่าวันที่นางไม่อยู่เด็กทั้งสองจะเป็นเช่นไรจะคิดถึงนางหรือไม่? หรือจะร้องไห้คร่ำครวญเพราะคิดถึงนาง แต่หากนางไม่ไปก็เป็นห่วงคุณย่าที่รอคอยนางอยู่อีกโลก นางยังมีห่วงหากจะอยู่ที่นี่ต่อ หานเสี่ยว์ยังคงต้องรอวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงนางถึงจะกลับได้ นางถึงเอ่ยถามเข่อ
บทที่ 34 เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะเข่อซิงเมื่อรับรู้ว่าคุณชายเหิงเยว์ต้องการอยู่เพียงลำพังกับนายหญิงของตนนางก็ก้มหน้าเพื่อรับรู้และเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมนางเองก็อยากให้นายหญิงของตนมีความสุขเสียที เพราะอย่างไรตอนนี้คุณชายเหิงเยว์ก็ได้แสดงท่าทีว่ารักนายหญิงของนางเข้าแล้วและพร้อมจะดูแลนางตลอดไป เพียงแต่นายหญิงของนางต่างหากที่เริ่มเปลี่ยนไป "อย่าพึ่งไปอยู่ชมจันทร์กับข้าเสียก่อน ""ไม่ข้าอยากจะพัก ข้าเหนื่อย" เหิงเยว์มองใบหน้าของหานเสี่ยว์ก่อนจะตัดสินใจอุ้มนางมาอยู่ในอ้อมแขน ทำให้นางตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวและกลับตกจากอ้อมแขนของเขา"หากข้าอุ้มเจ้าอยู่เช่นนี้เจ้าคงไม่เหนื่อยใช่หรือไม่ ?""อ๊าย ! นี่ท่านทำอะไรของท่านปล่อยข้าลงไปนะ ""ทำไมล่ะ เจ้าเอ่ยเองว่าเจ้าเหนื่อยข้าก็ช่วยให้เจ้าได้พักอยู่นี่อย่างไรล่ะ ""มะ....ไม่ต้องปล่อยข้าลง ข้ายืนเองดีกว่า""ฮึ ก็ได้ " เขาปล่อยนางให้ยืนเอาเอง ตอนนี้หัวใจของหานเสี่ยว์เต้นแรงเมื่อร่างกายสัมผัสกันแถมเมื่อครู่ตอนที่เขาอุ้มนางได้กอดคอเขาแน่นเพราะกลัวตกได้ยินเสียงหัวใจของเหิงเยว์ที่เต้นไม่เป็นจังหวะทั้ง ๆ ที่นางพยายามห