“ข้า ข้าเปล่า”เหอเซียงหนิงว้าวุ่นหนัก ไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นไรถึงจะดี นึกเสียใจภายหลังคิดว่าสมควรยอมแพ้ตั้งแต่ตอนที่กังวลใจ บัดนี้ชุลมุนวุ่นวายจนจบไม่ลงแล้ว“เจ้ายังพูดว่าเปล่า? พวกเขาล้วนสารภาพแล้วว่าทั้งหมดเป็นฝีมือเจ้า หากเจ้าไม่ได้ทำจริงก็สาบานต่อฟ้าสิ!”ถังหงจี้สีหน้าปึ่งชา มีตัวอย่างดั่งเช่นพวกอวิ๋นจู๋สองคน ขอเพียงโยนความผิดทั้งหมดให้ถังเสวี่ยหนิงก็เพียงพอแล้ว“ข้า ข้า...” เหอเซียงหนิงรีบหันมองทางฉินซวงซวง หวังให้นางช่วยตนคิดหาวิธีก่อนหน้านี้ทั้งๆ ที่เป็นนางรับปากว่าจะจัดการทั้งหมดอย่างดี ไม่มีวันเกิดข้อผิดพลาด!จากนั้น ฉินซวงซวงเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปไม่เหมือนที่คาดการณ์ไว้ ถูกเปิดโปงอย่างว่องไวก็ตกตะลึงเหม่อไป รีบหลบเข้ากลุ่มคน ต้องการลอบออกจากที่นี่นางจะปล่อยให้เรื่องนี้เข้ามาพัวพันกับตนเองไม่ได้อีก หาไม่แล้วจะต้องซวยไปด้วยกัน!เพียงเหอเซียงหนิงมองไปก็เห็นฉินซวงซวงเตรียมพาหลินจือเยว่หนีไป ไฉนเลยจะยอมปล่อยให้นางไปเช่นนี้ได้?“เป็นฉินซวงซวง! เป็นนางบงการให้ข้าทำเช่นนี้!”ทุกคนล้วนหันมองตามมือของเหอเซียงหนิงไป ก็ได้เห็นใบหน้าร้อนตัวของฉินซวงซวง ท่าทางคือกำลังต้องการหนีไ
เหอเซียงหนิงตัวไร้ประโยชน์คนนี้ถึงขั้นคิดดึงนางมารับเคราะห์ไปด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พูดว่าไม่อยากดึงนางออกมาถังเสวี่ยหนิงก็ยืนอยู่ทางฝั่งนาง สกุลถังเป็นตระกูลแนวหน้าของเมืองหลวง เดิมทีก็ไม่กลัวสกุลซ่ง ตัวโง่งมคนนี้ใช้ประโยชน์จากสกุลถังเป็นโล่กำบัง ต้องการโยนความผิดมาที่ตน!“หากไม่ใช่เจ้า ข้าจะตกลำบากถึงขั้นนี้ได้เยี่ยงไร?”เหอเซียงหนิงไม่ใส่ใจความสัมพันธ์อะไรอีกแล้ว นางย่อมรู้ว่าสกุลถังยอดเยี่ยมกว่าสกุลฉิน ไฉนเลยนางจะกล้าป้ายความผิดให้สกุลถัง?ต่อให้ทำสำเร็จ ตนเองก็ถูกตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว ล่วงเกินสกุลถังยังมีผลดีอะไรกันเล่า?“เจ้าเกลียดซ่งรั่วเจินมาโดยตลอด เก็บข้าไว้ก็เพื่อใช้เป็นหมากตัวหนึ่งเท่านั้น”“เดิมทีก็ไม่ต้องตกลำบากถึงขั้นนี้ มุ่งร้ายต่อซ่งรั่วเจินมีอะไรดีต่อข้าเล่า? อย่างไรเสียคุณชายสวีก็ไม่ชอบข้า ปาไข่กระทบหินเช่นนี้ข้ายังไม่กลายเป็นตัวโง่งมอีกหรือ?”“ทั้งๆ ที่เป็นฝีมือของเจ้า ข้าไม่รู้เรื่องด้วยเลย ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าข้าหวังดีรับเจ้าไว้ เจ้าจะเนรคุณปรักปรำข้า!” ฉินซวงซวงพูดอย่างโมโหซ่งรั่วเจินมองสองคนตรงหน้าทะเลาะกัน ก่อนหน้านี้รู้สึกแปลกใจที่ฉินซวงซวงเก็บเหอ
คิดไม่ถึงเลยว่าซ่งรั่วเจินเองก็เป็นคนมีจิตใจล้ำลึก ตนเองไม่พูดอะไร ปล่อยให้คนรอบข้างพูดแทนนาง จะได้แสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าฉู่อ๋อง!ฉู่จวินถิงได้เห็นทั้งหมดก็เข้าใจแล้ว หลังเลื่อนสายตามองทางฮองเฮา ท่าทีที่แสดงออกชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นคือกำลังพูดว่า ‘นี่คือแม่นางที่เสด็จแม่ถูกใจหรือ?’เดิมทีฮองเฮาคิดว่าความชุลมุนวุ่นวายนี้ ระหว่างซ่งรั่วเจินและถังเสวี่ยหนิง กลับเชื่อถังเสวี่ยหนิงมากกว่าต่อมาอัสนีสองสายที่ผ่าสองคนตายไปนั้น ทำให้ความคิดของนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นได้เห็นว่าคำพูดโป้ปดของถังเสวี่ยหนิงถูกเปิดโปงแล้ว นางคิดว่าหน้าตาของตนหมดสิ้นแล้ว ยังเกิดโทสะอย่างบอกไม่ถูกที่ผ่านมาถังเสวี่ยหนิงเป็นเด็กดียามอยู่ต่อหน้านาง ถังฮูหยินเองก็ชื่นชมไม่ขาดปาก รับประกันว่านางล้วนดีไปทุกจุด บัดนี้มองดูแล้ว...อย่าพูดถึงเลย!“แม่นางถัง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดบังไปก็ไร้ความหมาย มิสู้พูดออกมาให้ชัดเจน”“หากยังยึดมั่นไม่ยอมพูด ก็ทำได้เพียงต้องไปพูดให้กระจ่างที่ศาลาว่าการแล้ว กระนั้นไปที่ศาลาว่าการจะสอบสวนเยี่ยงไร คาดว่าเจ้าเองก็รู้ดี” ฉู่จวินถิงเอ่ยปากถังเสวี่ยหนิงตกตะลึงพรึงเพริด ไม่กล
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักถังเสวี่ยหนิง เพียงได้ยินเรื่องที่นางประสบก็เกิดรู้สึกสงสาร”“สาเหตุที่รับปาก ก็เพราะเจียวเจียวยืนยันกับข้าว่าเป็นเรื่องจริง ข้าถูกหลอกแล้ว!”ถังหงจี้รีบพูด “ใช่ น้องหญิงของข้าแค่หลงเชื่อเถียนเจียวเจียวผิดไปเท่านั้น ไม่มีวันสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา”ชั่วขณะเถียนเจียวเจียวถูกถังเสวี่ยหนิงซัดทอด รู้สึกหนักอึ้งภายในใจ ครู่ต่อมาหันมองบิดาตนคิดไม่ถึงเลยว่า เพิ่งหันหน้าไปก็จะถูกตบหนึ่งฉาดใต้เท้าเถียนโมโหหนัก “ทั้งวันเอาแต่ก่อเรื่องวุ่นวายไปหมด! เหตุใดข้าถึงให้กำเนิดลูกสาวอย่างเจ้าออกมาได้?”“เจ้าจัดการเรื่องยุ่งๆ นี้ให้เรียบร้อยเองก็แล้วกัน หากขวัญกล้าทำให้ครอบครัวเดือดร้อน อย่าโทษข้าไร้เยื่อใย!”เถียนเจียวเจียวปิดหน้าที่ถูกตบ ขอบตาแดงก่ำ กลับไม่กล้าตอบโต้แม้คำเดียวท่านพ่อลงมือไม่เบา ก่อนหน้านี้หน้าก็บวมไปแล้ว คราวนี้คิดว่าใบหน้าครึ่งซีกล้วนถูกตีจนไร้ความรู้สึกไปแล้วทั้งๆ ที่นางเพียงแค่ปล่อยข่าวลือเท่านั้น ลงท้ายเป็นถังเสวี่ยหนิงตัดสินใจเอง เกี่ยวอันใดกับนางด้วยเล่า?บัดนี้ถึงขั้นโทษนางทั้งหมด!ถังเสวี่ยหนิงสังเกตเห็นสายตาโกรธขึ้งของเถียนเจียวเจียวแล้ว เกิ
“ซวงซวงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน แต่เป็นเหอเซียงหนิงผูกใจแค้นจึงวางแผนทำร้ายซ่งรั่วเจินต่างหาก”“บัดนี้เรื่องราวถูกเปิดโปง นางอยากหาแพะรับบาปจึงดึงฉินซวงซวงเข้ามาเกี่ยวข้อง น้องสาวข้าเลี้ยงคนเนรคุณเอาไว้จริงๆ!”ฉินเซี่ยงเหิงย่อมไม่อาจมองดูฉินซวงซวงเคราะห์ร้ายโดยไม่ทำอันใดอยู่แล้ว ยามนี้เขาได้รับความสำคัญจากตระกูลเซียวจึงยิ่งเชื่อในความสามารถของฉินซวงซวงมากกว่าเดิมตราบใดที่มีความสามารถในการหยั่งรู้ล่วงหน้านี้อยู่ วันหน้าเขาจะต้องมีอนาคตไกล การงานราบรื่นเป็นแน่แท้!กัวเยว่หลินเห็นดังนั้นก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว เดิมเหอเซียงหนิงก็เป็นคนจิตใจชั่วร้าย ตอนอยู่ในตระกูลฉินก็เป็นเหมือนโจรร้ายกระนั้น”“จากที่ข้าเห็น เห็นได้ชัดว่านางริษยาซวงซวงจึงคิดจะทำให้ซวงซวงเคราะห์ร้ายไปด้วย!”เดิมฉินจื้อหย่วนไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เห็นภรรยาของตนเองเอ่ยปากแล้ว ในใจเขาก็ยิ่งสับสนก่อนหน้านี้เขาเคยบอกท่านพ่อไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้วว่าฉินซวงซวงเป็นตัวซวย ทำให้ตระกูลหลินตกต่ำอยู่ในสภาพนั้น ดีที่สุดคือไล่นางออกไปจะได้ไม่มาทำให้ตระกูลฉินพลอยเดือดร้อนไปด้วยแต่ท่านพ่อกลับไม่เห็นด้วย ยามนี้ดีนัก
“ข้าไม่เข้าใจเลย ถึงจะรับอนุภรรยาจริง อย่างน้อยก็เลือกคนที่สะอาดสะอ้านสักหน่อยก็ได้กระมัง?”“ก่อนหน้านี้เหอเซียงหนิงมั่วสุมกับขอทานมากมายขนาดนั้น ถึงจะไม่ใช่โสเภณี แต่ก็ต่างกันไม่มากนักหรอก ฐานะตระกูลกัวก็ไม่แย่นี่นา แต่กลับยินดีปรนนิบัติสามีร่วมกับผู้หญิงแบบนี้เนี่ยนะ?”“ถ้าเป็นครอบครัวพวกข้าไม่มีทางยอมรับได้อย่างแน่นอน”เมิ่งชิ่นส่ายหน้าน้อยๆ น้ำเสียงแฝงความเย่อหยิ่งหลายส่วน นางอดกลั้นต่อเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้หรอกเดิมทีกัวเยว่หลินไม่เข้าใจว่าวาจานั้นหมายความว่าอย่างไร จนกระทั่งได้ยินคำพูดทั้งหมดแล้ว ทั้งตัวคนก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาดนางยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มองไปทางฉินจื้อหย่วนที่อยู่ข้างกายอย่างเหลือเชื่อ หัวสมองขาวโพลนนางได้ยินอะไรงั้นหรือ?ฉินจื้อหย่วนเบิกตาโพลง มองไปทางพวกซ่งรั่วเจินอย่างตะลึงพรึงเพริด เรื่องนี้เป็นความลับที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ตลอดมา แม้แต่คนในครอบครัวก็ยังไม่รู้เขายังเตือนเหอเซียงหนิงเป็นพิเศษว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด เหตุใดพวกซ่งรั่วเจินจึงรู้เรื่องนี้ได้?“ซ่งรั่วเจิน พวกเจ้าพูดเหลวไหลอะไร เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”ฉินซวงซวงเห็นพวกซ่งรั่วเจินพูดรับส่งกันเป็นท
ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังกัวเยว่หลินกลับมาแล้ว เหอเซียงหนิงถึงเพิ่งรู้ว่าฉินจื้อหย่วนเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว หวาดกลัวกัวเยว่หลินขนาดนั้น ถึงขั้นไม่กล้ามีสัมพันธ์กับนางในช่วงหลายวันที่ผ่านมาอย่างไรเสียถ้าวันนี้ไม่สามารถเอาตัวรอดไปได้ นางก็จบสิ้นแล้ว ย่อมไม่กลัวว่าจะต้องสู้จนตายตกไปทั้งสองฝ่าย!“เจ้าบอกว่าเจ้ามีสัมพันธ์กับจื้อหย่วน เจ้ามีหลักฐานอันใด?”กัวเยว่หลินสีหน้าปั้นยากถึงที่สุด แต่ก็ยังแข็งใจคาดคั้น ไม่แน่ว่าพวกซ่งรั่วเจินอาจจงใจหลอกลวงพวกตนเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกตนก็เป็นได้“ก่อนหน้านี้ฉินจื้อหย่วนเคยมอบชาดของหออวิ๋นเยว่ให้ข้า ตอนข้าไปยังจงใจทิ้งไว้ในห้องของพวกเจ้า”“ไม่เพียงเท่านี้ ข้ายังทิ้งกระโปรงสีเหลืองขนเป็ดอีกตัวหนึ่งไว้ในตู้เสื้อผ้าของพวกเจ้า”ก่อนหน้านี้เหอเซียงหนิงก็ไม่ยินดีที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวกับคนอื่นจึงจงใจทิ้งสิ่งของเหล่านี้ไว้เพื่อให้ความจริงเปิดเผย จะได้เป็นอนุภรรยาของฉินจื้อหย่วนอย่างถูกต้องชอบธรรมผู้ใดจะคิดว่ากัวเยว่หลินกลับสมองช้าถึงปานนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังจับไม่ได้!ตอนกัวเยว่หลินได้ยินคำว่าชาดจากหออวิ๋นเยว่ ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสีวันนั้นตอนเห็นชาด
“จื้อหย่วน ถึงท่านไม่ต้องการข้าก็ไม่อาจไม่ต้องการลูกของพวกเรานะ!” เหอเซียงหนิงกุมท้องน้อยด้วยสีหน้าช้ำใจสุดแสนฉินจื้อหย่วนตะลึงลานเหอเซียงหนิงตั้งครรภ์ลูกของเขา?เขาแต่งงานกับกัวเยว่หลินมาสามปีแล้วแต่กลับไม่มีลูกเสียที ความจริงเขาก็ร้อนใจเหมือนกัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็เคยไปหาหมอ แต่หมอบอกว่าวาสนายังมาไม่ถึงผู้ใดจะคาดว่ากัวเยว่หลินไม่ตั้งครรภ์มาตลอด เหอเซียงหนิงกลับตั้งครรภ์ลูกของเขาไวขนาดนี้?“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง?” ฉินจื้อหย่วนอดถามไม่ได้เหอเซียงหนิงพยักหน้าติดต่อกัน “ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ข้าจะโกหกท่านได้อย่างไร? ข้าตั้งครรภ์ลูกของท่าน ท่านจะไม่สนใจพวกข้าแม่ลูกไม่ได้นะ!”ในเวลาเดียวกัน ฉู่จวินถิงมองไปทางหมอหลวงในกลุ่มคนแล้วเอ่ยว่า “หมอหลวงสวี ท่านมาดูหน่อย”เดิมหมอหลวงสวีถวายการรักษาให้องค์ชายทั้งสอง ยามนี้องค์ชายทั้งสองอาการคงที่แล้ว เขาเพิ่งออกมาก็เห็นฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้พอดี“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”ยามนั้น หลังจากบรรดาหมอหลวงออกมา องค์ชาย เกากุ้ยเฟยรวมถึงจงเฟยก็ออกมาจากกระโจมเช่นกัน เห็นว่าข้างนอกนั้นทุกคนล้อมวงเข้าหากัน ท่าทางคึกคักยิ่งนัก ไม่รู้
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง