สายฝนโปรยปรายลงมาในยามเย็น คราคร่ำด้วยผู้คนที่เพิ่งเลิกงานกำลังเดินทางกลับบ้าน บ้างก็ยืนรอใต้ตึกอาคารระหว่างรอให้ฝนหยุดตกก่อน บางคนก็วิ่งฝ่าฝนหรือกางร่มเดินอย่างไม่รีบร้อน
ธารตะวันเป่าลมร้อนผ่านริมฝีปาก นั่งทำงานมาทั้งวันฝนก็ไม่มีวี่แววว่าจะตก แต่พอจะกลับบ้านเท่านั้นแหละ เทกระจาดจนนึกว่าฟ้ารั่ว
“วิ่งฝ่าออกไปเลยดีไหมนะ...”
เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง แม้จะยังมีเมฆครึ้มเกาะกลุ่มกระจายตัวอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหลุบตามองพื้นด้านล่างที่เฉอะแฉะ
สายฝนเริ่มซาลงเยอะแล้ว จนเธอคิดว่าถ้าวิ่งฝ่าไปถึงร้าน อาจจะไม่ค่อยเปียกเท่าไหร่ ยืนรอให้หยุดก็ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่อีก
สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจจะฝ่าฝนไปร้านปิ้งย่างที่หัวมุม ทว่าระหว่างที่เธอตัดสินใจจะวิ่งฝ่าไป กลับมีใครสักคนรั้งแขนเธอเอาไว้ พร้อมกับเงาดำที่ทาบทับลงมาบนลำตัวและร่มคันใหญ่ที่กางให้เธอ
“คุณธันย์” เธอเรียกชื่อคนที่ดึงแขนและเอียงร่มให้
วินาทีที่สบตา โลกก็พลันหยุดหมุน ตามด้วยหัวใจที่สั่นระรัวในอก
“จะไปไหน”
“เอ่อ... จะไปร้านปิ้งย่างหัวมุมนี่เองค่ะ”
พูดจบเธอก็ชี้ไปที่หัวมุมตรงแยกไฟแดง ก่อนจะดันร่มให้เอียงไปทางเขาคืนบ้าง หลังได้เห็นเม็ดฝนตกกระทบบนไหล่กว้างอยู่
“ผมก็จะไปเหมือนกัน” เขาตอบเสียงนิ่งเรียบ ใบหน้าเรียบเฉยดูไร้อารมณ์ร่วมแต่หล่อเหมือนเดิม
“คุณธันย์ก็จะไปร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ”
“ใช่ อยู่ใกล้แค่นี้แต่ไม่เคยลองกินเลย”
สิ้นประโยคนั้น ธารตะวันก็ยิ้มกว้างทันที สาเหตุที่เธอยอมเลี้ยงข้าวเจตกวินคืน เพราะรู้ว่าเขาอาจใช้เหตุผลนี้มาเข้าใกล้เธออีก เธอก็เลยตัดจบด้วยการไม่ต้องมีบุญคุณต่อกันซะเลย
เลี้ยงข้าวให้จบ จะได้ไม่ต้องมาทวงบุญคุณกันดีหลัง และก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกด้วย
“รังเกียจที่จะร่วมโต๊ะเดียวกับผมมั้ย”
“รังเกียจอะไรล่ะคะ ฉันจะรังเกียจคุณได้ยังไง”
เธอรีบโบกมือปฏิเสธรัวๆ พร้อมกับสั่นหัวประกอบอย่างจริงจัง จะรังเกียจเขาได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยซะขนาดนี้
“ถ้างั้นสนใจมานั่งร่วมโต๊ะกับฉันไหมคะ แต่ว่ามีเพื่อนฉันมาด้วยอีกคนนึงนะ นั่งกินกันหลายคนบรรยากาศจะได้ไม่อ่อมเกินค่ะ”
“อ่อมเกินเหรอ”
“แบบว่า... บรรยากาศไม่ครื้นเครงน่ะค่ะ”
ประธานธันย์พยักหน้ารับช้าๆ ก่อนทั้งคู่จะเดินกางร่มคู่กันไปที่ร้านปิ้งย่างหัวมุม
ใช้เวลาไม่นานในการเดินมาถึงหน้าร้าน พอมาถึงเธอก็พบว่าเจตกวินมายืนอยู่ก่อนแล้ว เขาหันมายิ้มให้เธอ ก่อนหุบยิ้มลงนิดๆ ที่ได้เห็นว่ามีชายหนุ่มหน้านิ่งเดินขนาบข้างมาด้วย
“อ้าว คุณธันย์ก็มาด้วยเหรอครับ” เจตกวินหันไปทักทายคนที่ยืนข้างเธออยู่
ธันย์ธารายกยิ้มมุมปาก พลางเก็บร่มที่เปียกฝนเสียบไว้หน้าร้าน
“สวัสดีครับคุณเจตกวิน”
“สวัสดีครับคุณธันย์ธารา”
คนกลางอย่างธารตะวันมองคนตัวสูงทั้งสองสลับกันไปมา ก่อนจะรีบพาทั้งคู่เข้าไปในร้านก่อนที่คนจะเยอะ
ช่วงเวลานี้ฝนตกก็พลอยทำให้รถติด ผู้คนก็ทยอยกันเข้ามานั่งหาอะไรทานกันจนแน่นเต็มร้าน ธารตะวันสั่งเซตหมูสามชั้นมานั่งย่างให้ทั้งสองหนุ่ม
เธอตัดชิ้นพอดีคำอย่างคล่องแคล่ว ย่างให้สุกจนสีกำลังสวย จนธันย์ธาราที่นั่งข้างเธอจ้องมองไม่ละสายตา
“มา เดี๋ยวพี่ตัดให้ครับน้องตะวัน” เจตกวินยื่นมือไปแย่งกรรไกรกับที่คีบในมือเธอ แต่ธารตะวันปฏิเสธเพราะชอบบริการอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรตะวันทำได้ค่ะพี่เจต”
“มันร้อนนะ... พี่ทำให้ดีกว่า”
“ไม่เป็นไร แค่ตัดหมูเองค่ะ”
“เอามาเถอะครับ มือเราจะร้อนเอานะ”
ทั้งคู่ยื้อแย่งกันไปมา โดยมีสายตาคู่คมของประธานธันย์จ้องทั้งคู่สลับกันซ้ายขวา ก่อนจะพูดโพล่งออกไป แล้วแย่งกรรไกรกับที่คีบในมือเธอมาถือไว้เอง
“ผมทำเอง”
“คะ”
“ครับ...”
ทั้งเจตกวินและธารตะวัน ต่างก็หันขวับมองไปที่เขา ชายหนุ่มมาดเจ้าชายเย็นชาอย่างธันย์ธารานี่เหรอจะย่างหมู ทว่าพอเขาดุผ่านสายตามา เธอก็จำยอมต้องส่งอุปกรณ์ให้เจ้าตัว โดยไม่กล้าขัดใจอะไร
จากประธานบริษัท สู่บทบาทบริกรหนุ่มหน้าหล่อ นั่งตัดหมูสามชั้นบนเตาปิ้งย่างจนแทบไม่ได้กินเอง ส่วนเธอนั่งตัวลีบติดเกรงใจเขาอยู่ดี
“ปกติวันหยุดเราไปเที่ยวไหนมั้ย” เจตกวินชวนคุย แต่เธออดไม่ได้ที่จะคอยระวังความร้อนให้เจ้านาย
“ยังไม่มีที่เที่ยวในใจนะคะ”
“กลุ่มพี่มีทริปไปเที่ยวทะเลวันหยุดกัน น้องตะวันสนใจไปเที่ยวผ่อนคลายด้วยกันมั้ย”
“ทะเลเหรอคะ...”
เธอเอียงคอมองใบหน้าเจตกวิน เขาส่งยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นอ่อนละมุนจนสาวๆ หลายคนอาจจะหลงกล แต่คงไม่ใช่กับธารตะวันคนนี้
“ใช่ครับ มีขี่เจ๊ตสกีแล้วก็ล่องเรือไปดำน้ำกัน”
“พี่เจตเที่ยวกับเพื่อนให้สนุกเถอะ ตะวันนอนตีพุงอยู่ที่ห้องดีกว่า”
“น่าเสียดายจัง เอาไว้ไปด้วยกัน 2 คนดีมั้ย”
คำว่าไว้ไปด้วยกันสองคน ทำเอาเธอยิ้มเหยเก ก่อนจะรีบเก็บสีหน้าแล้วระบายยิ้มเจื่อน แม้สิ่งที่เขาชวนจะฟังดูน่าสนุกมากก็ตาม
“เผื่อเราเกร็งกับเพื่อนพี่ไง”
“เกรงใจมากกว่าเดิมอีกค่ะ”
ว่าแล้วก็หัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน พลางส่ายตาหาตัวช่วยเพราะเจตกวินกำลังจะอ้าปากตามตื้อเธอ ก่อนจะหันไปเห็นประธานหนุ่มกำลังนั่งหน้าเครียดหน้าเตาพอดี
“คุณธันย์ยังไม่ค่อยได้กินเลย ถ้างั้นเดี๋ยวฉันทำแทนดีกว่า”
“ไม่เป็นไร”
“คุณจะได้กินบ้างค่ะ”
“ไม่เป็นไร”
เขาตอบซ้ำคำเดิม ราวกับหุ่นยนต์ที่ตั้งค่าให้ปฏิเสธการช่วยเหลือ
“งั้นฉันขอป้อนได้แทนนะคะ” เธอพูดติดเกรงใจเขา ก่อนจะจัดการห่อหมูสามชั้นกับใบงา เติมเครื่องเคียงให้พอดีคำแล้วจ่อไปที่ปากเขา
ธันย์ธาราผงะใบหน้าเล็กน้อย เขาจับกรรไกรกับที่คีบตัดหมูอยู่ พอโดนจ่อป้อนที่ปากก็เลยชักสีหน้าไปต่อไม่ถูก
“อ้า... อ้าม~”
ธารตะวันส่งเสียงเหมือนหลอกล่อให้เด็กกินข้าว แต่ที่น่าแปลกกว่าก็คือท่านประธานอ้าปากแล้วกินอย่างว่าง่าย ก่อนเขาจะขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่เข้าใจที่อ้าปากให้เธอป้อนจริงๆ
เธอสังเกตเห็นเขาเคี้ยวหมดปากก็จัดคำต่อไปให้ ก่อนยื่นหน้าเข้าไปถามว่ารับเครื่องเคียงเพิ่มไหม โดยที่มีสายตาของเจตกวินจับจ้องมองทั้งคู่นิ่งๆ พลันลอบถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่
“ใส่อันนี้เพิ่มไหมคะ”
“อืม”
“อ้า”
ตอนนี้กลายเป็นว่าประธานธันย์ย่างหมู ส่วนธารตะวันรับหน้าที่คอยป้อนให้เขาเรื่อยๆ จนเจตกวินที่นั่งไม่มีบทกระดกโซจูขึ้นดื่มไม่พัก
ใบหน้าหล่อคมที่นั่งตัดหมูหน้าเตาปิ้งย่าง แต่ยังหล่อเหลาจนหลายคนเหลียวมอง ชำเลืองหางตามองใบหน้ารุ่นพี่ของธารตะวัน ก่อนเขาจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วหันไปคุยกับเธอแทน
“ขออีกคำสิ”
“ได้ค่ะ”
“ขอบคุณ”
“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา“แล้วถามทำไมอ่า”ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละแพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริ
ห้างสรรพสินค้าหลังจากพาน้องกรมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า จัดรถบังคับชุดใหญ่ให้แบบเต็มเหนี่ยว ธันย์ธาราก็พาเด็กน้อยมาเล่นบ้านลม ส่วนเขานั่งเฝ้ากับคุณผู้ช่วยที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้ธารตะวันยิ้มเอ็นดูน้องกรมากๆ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งไปถึงดวงตาเธอให้เป็นรูปสระอิ ส่งเสียงหัวเราะปนยิ้มจังหวะที่น้องกรหันมาโบกมือให้“น่ารักจัง...” เธอชมออกเสียงแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจแต่ขณะที่เธอมองเด็กน้อย เจ้าของดวงตาคู่คมก็จับจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ในแววตาที่สบมองมีประกายรอยยิ้มเจือจางอยู่ด้วยหากทว่าจู่ๆ ร่างบางก็นิ่งงันไป รอยยิ้มที่ปรากฏค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด เมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดเศร้าจากนิยายที่เคยอ่าน จนนอนร้องไห้จมกองน้ำตาขี้มูกโป่งพูดจาสะอึกสะอื้นมาแล้ว“คุณคิดอะไรอยู่”“คะ”“เห็นอยู่ดีๆ คุณก็เหม่อ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต ในมุมเงียบๆ ของคนไม่ค่อยพูดแอบมองเธออยู่ก่อนแล้วร่างบางลอบถอนลมหายใจอย่างปลงปลด ก่อนจะลดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพน้องกรลง นัยน์ตาหม่นแสงขึ้นมาในฉับพลันเธอก็เป็นแค่นักอ่านจอมเพ้อ ชอบอินกับบทบาทของตัวละครเกินไปหน่อย พอได้เห็น
เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุดถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันทีทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันทีทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที
เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมาแต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน“รังเกียจพี่เหรอ...”“คะ”“เราคุยกับพี่ตาม
“ญี่ปุ่นต้องสนุกมากแน่เลยใช่มั้ยคะป้าขา... ฮือ”ร่างบางยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็คิดถึงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำจะแย่ ถึงขั้นเบะปากจะร้องไห้มาร่อมมาร่ออยู่แล้วญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้คงมีหิมะให้เล่นสนุกแน่เลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิด ตัวเธอไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เที่ยวเมืองนอกเลย แค่เดินทางในประเทศยังเป็นไปได้ยากชีวิตที่ต้องก้มหน้าหาเงินงกๆ หนึ่งวันก็เก้าชั่วโมง ไม่รวมเดินทางไปกลับที่ต้องเผชิญอุปสรรคแต่ละวันต่างกันออกไปอีก“รีบกลับมาไวๆ น้าคุณป้าขา” เธอได้แต่มองรถเข็นของป้าที่คลุมผ้าใบไว้ตาละห้อยทว่าวินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงของเจตกวินดันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอชะงักตัวมองอีกฝ่ายที่ยิ้มหวานให้แต่เช้า“พี่เจต...”เจตกวินมุ่นคิ้วเข้าหากัน พลางชะเง้อตัวมองไปด้านหลังเธอ แล้วทำหน้าเสียดายที่เห็นป้ายกระดาษติดประกาศว่าหยุด แต่เขาก็แค่เล่นละครตบตาเพราะมาดักรอธารตะวันแต่แรกแล้ว“อ้าว พี่เพิ่งรู้ว่าร้านป้าเขาปิด” เจตกวินยิ้มหวานให้หญิงสาว อันที่จริงเมื่อวานเขาขับผ่านทางนี้แล้วเห็นธารตะวันขึ้นรถเมล์พ
ซ่าเสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลยกระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”“ไหวครับ”“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”“รอบนห้องคุณเหรอ”ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆสุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่มร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห