ซ่า
เสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลย
กระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ
“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”
“ไหวครับ”
“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”
เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี
“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”
“รอบนห้องคุณเหรอ”
ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่
“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆ
สุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่ม
ร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห้องคุณผู้ช่วยอยู่ริมสุดของชั้น ก่อนจะเดินตามเข้าไปในห้องแล้วทิ้งตัวนั่งที่โซฟา ไม่กล้าขยับตัวไปไหนไกลแค่รอให้ฝนซาเท่านั้นพอ
“คุณธันย์นั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันเอาผ้ามาให้ค่ะ” เธอพูดแล้วรีบเดินไปหาผ้าในตู้ ก่อนจะส่งให้เขาได้เช็ดเนื้อเช็ดตัว
“ขอบคุณครับ” เขาพูดขอบคุณแล้วรับผ้าไปเช็ดเส้นผม
ระหว่างนั่งเช็ดน้ำฝนที่เปียกตามตัว เจ้าของห้องที่เริ่มหิวรอบดึกก็เดินเข้ามาถามอีกฝ่าย เพื่อหาแนวร่วมกินมื้อดึกด้วยกัน
“คุณธันย์อยากทานมื้อดึกด้วยกันไหมคะ...”
“มื้อดึกเหรอครับ”
ใบหน้าหล่อเหลามุ่นคิ้ว มองเธอที่พยักหน้าหงึกหงัก เชิญชวนให้เขาเดินตามเข้าไปในมุมห้องครัวด้านหลัง จนสุดท้ายก็จบลงที่ทั้งคู่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนละถ้วย นั่งทานกันบนโต๊ะญี่ปุ่นสุดเรียบง่าย
บรรยากาศหนาวเย็นจากสายฝน แล้วได้นั่งทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปร้อนๆ ทำเอาเธออิ่มแปล้จนทิ้งตัวพิงโซฟาด้านหลัง
ใบหน้าขาวแดงก่ำจากโซจูที่กระดกดื่ม พอเดินไปเปิดตู้เย็นเจอก็เลยหยิบเอามานั่งดื่มด้วยซะเลย ทีแรกก็คิดว่าไม่แรงแต่เหมือนต้องคิดใหม่
ไม่เมาแต่เธอรู้สึกไม่เหมือนเดิม...
“คุณธันย์คะ” ธารตะวันเรียกชื่อคนข้างๆ พลางยกขาขึ้นมานั่งกอดเข่า เอนซบใบหน้าลงบนท่อนแขนขณะหันมองเขา ในดวงตาหวานหยาดเยิ้มแต่แฝงความอ่อนไหวอยู่ข้างใน
ธันย์ธารานั่งพิงโซฟาเพราะอิ่มมากเช่นกัน แต่เขาแตะโซจูของเธอไปเพียงแค่สองแก้วเป๊ก นอกนั้นเจ้าของห้องซัดรวดเดียวแทบหมด
“คุณคงจะใช้ชีวิตลำบากน่าดูเลยใช่มั้ย”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
“ฉันอดคิดไม่ได้นี่นา ก็คุณความจำเสื่อมเพราะโดนลอบทำร้ายไม่พอ... คนร้ายก็ยังจับตัวไม่ได้ แล้วไหนจะโดนตามล่าอีกด้วย”
พอเริ่มเมาเธอก็พูดพร่ำเพ้อไปเรื่อยเปื่อย สีหน้าดูเศร้าสร้อยจนเขาต้องรีบห้ามปรามไม่ให้บรรยากาศมันมัวหม่น แต่ธารตะวันก็อดที่จะเศร้าใจไม่ได้ การเป็นผู้ป่วยความจำเสื่อมคงไม่สนุกเหมือนในนิยาย
“การจำคนอื่นไม่ได้เลยมันแย่ไหมคะ”
“ก็แย่มั้ง...”
เขาไหวไหล่ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ผิดกับเธอที่เบะปากนำจะร้องไห้มารอมมาร่ออยู่แล้ว
“คุณเมาแล้วธารตะวัน”
“ไม่เมาสักหน่อย...”
“หน้าคุณแดง”
“แอลกอฮอล์ยังไม่ซึมเข้าสู่เส้นเลือดฉันเลย อึก จะเมาได้ไง”
เธอสะอึกในลำคอ แต่ก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเมาอยู่ดี แค่หน้าแดงและเสียงเริ่มจะยานครางขึ้นเท่านั้นเอง
“แต่คุณก็ดูปกติดี... หรือเพราะไม่มีความทรงจำที่เจ็บปวดกันนะ”
แก้มนุ่มนิ่มราวกับซาลาเปา แนบไปกับท่อนแขนเธอที่กอดเข่า แต่สายตาสบมองกับประธานธันย์ไม่ละไปไหน
“ไม่รู้สิ แต่มันคงเป็นข้อดีของคนความจำเสื่อมมั้ง” เขาว่า แล้วนั่งกอดเข่ามองเธอกลับเช่นกัน
“นั่นสิคะ แต่คนรอบข้างน่าจะเจ็บปวด”
“ทำไมล่ะ”
“ก็คนที่เรารัก จำเราไม่ได้ไงคะ”
เธอลอบถอนหายใจอย่างเศร้าใจ นัยน์ตาคู่สวยหม่นแสงลง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงดูสิ้นหวัง หากสักวันหนึ่งมีคนที่เธอรักกลายเป็นผู้ป่วยความจำเสื่อม และจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้เลย
มันคงจะเศร้าใจน่าดู...
“ถ้าสักวันนึงคนที่ฉันรัก จำฉันไม่ได้ขึ้นมา... ฉันคงเจ็บปวดใจน่าดู”
“ก็อาจจะนะครับ”
“เพราะงั้นคุณธันย์ห้ามลืมฉันเด็ดขาดเลยนะคะ”
ใบหน้าจิ้มลิ้มหันขวับแล้วทำหน้าเครียดใส่ เรียวคิ้วงุ้มงอก่อนเม้มปากแบบจริงจังขั้นสุด จนธันย์ธาราปรับอารมณ์ตามเธอไม่ทันแล้ว
“ไม่ลืมหรอก...”
“จริงนะ”
“ก็นั่งจำอยู่นี่ไง”
สิ้นประโยคนั้น ธันย์ธาราก็เลื่อนสายตาสบมองกับเธอ ในห้วงวินาทีที่เธอจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่คม คุณผู้ช่วยก็ถูกกับดักความหล่อที่สวรรค์ประทานมาตกเข้าอย่างจัง
ดวงตากลมโตไล่มองไปทั่วโครงหน้าสมมาตร ก่อนจะขยับลงมาที่ริมฝีปากอมชมพูดูสุขภาพดีของเขา พร้อมกับเสียงในหัวที่ดันดังจนปากเธอขยับพูดออกไป
“ทำไมปากถึง... น่าจุ๊บจัง”
“อะไรนะ”
“เกินไปมากเลย”
เธอผงกหัวจากท่อนแขนขึ้นมองเขา น้ำเมาเริ่มทำพิษกำลังทำให้เธอขาดสติ ถือวิสาสะใช้สองมือประคองใบหน้าของประธานธันย์ ก่อนจะจับพลิกไปมาราวกับหาจุดบกพร่องบนใบหน้า
“มุมนั้นก็ดี มุมนี้ก็ใช่... มุมไหนก็โดนใจ”
“คุณโอเคไหมเนี่ย”
ธันย์ธารากลอกตาล่อกแล่กไปมา คุณผู้ช่วยคงเมาจนสติหลุดไปแล้ว
“ยินดีด้วยนะคะ คุณได้เป็นพระเอกของเรื่องนี้แน่นอนค่ะ” เธอย้ำเสียงจริงจัง ในแววตามุ่งมั่นแน่วแน่ว่ามองคนไม่ผิด
ฟันธงว่ายังไงคนนี้ก็ต้องพระเอก...
“ธารตะวันคุณเมามากแล้ว”
“บอกแล้วไงว่ายังไม่ซึมเส้นเลือดเลยอ่า”
เธอทำเสียงกระเง้ากระงอดแล้วมุ่ยปากงอแงใส่เขา ทำเอาธันย์ธาราหลุดยิ้มอย่างลืมตัว แต่ธารตะวันกลับเห็นรอยยิ้มนั่นชัดเจน
“คุณยิ้มเหรอ...”
“เปล่า”
“ตอนยิ้มหล่อกว่าเดิมอีก”
“จริงเหรอ”
“อื้อ... หล่อระดับยอดพีระมิด เต็มสิบให้ร้อยเพราะเกินต้านสุดๆ ไปเลยค่ะ คิก”
ท่านประธานแอบกลั้นยิ้มเพราะโดนชมจนแบบเต็มพิกัด นี่ถ้าเธอไม่จับหน้าเขาไว้ อาจจะลอยทะลุเพดานห้องออกไปแล้วก็ได้ เขาไม่เคยได้ยินคนชมว่าหล่อระดับยอดพีระมิดมาก่อนเลย
ทว่า ระหว่างที่เขากำลังหลงเคลิ้มกับคำชม ธารตะวันกลับตาพร่าเบลอมองคนตรงหน้าเป็นแมวเจ้าของหอพักจากโลกเดิมซะงั้น
จุ๊บ
เธอยื่นหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากเบาๆ ในความคิดที่นึกว่าเป็นแมว แต่ความจริงที่จูบไปเมื่อสักครู่คือปากของเจ้านายตัวเองเต็มๆ
“บุญรอดน่ารักที่สุด... อ้า อย่าไปทำแมวตัวอื่นท้องล่ะรู้ม้ายนี่” เธอยิ้มหวานแล้วหลับตาลง หลังจากฝืนทนอาการมึนเมาไว้ไม่ไหวแล้ว
ธันย์ธาราตัวค้างแข็งเหมือนโดนสาปเป็นหิน หลุบตามองร่างบางที่ทิ้งตัวนอนลงบนพื้น ราวกับเป็นของเหลวที่ไหลแบบไร้รูปทรง ส่วนเขายังดึงสติกลับมาไม่ครบทั้งหมดเลย
คนที่ขโมยจูบแรกของเขา เมาจนสลบไสลไปแล้วเรียบร้อย
“วันนี้ม่ายมีเปียกแมว... อื้อ”
“ธาร...”
“อึก”
“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา“แล้วถามทำไมอ่า”ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละแพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริ
ห้างสรรพสินค้าหลังจากพาน้องกรมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า จัดรถบังคับชุดใหญ่ให้แบบเต็มเหนี่ยว ธันย์ธาราก็พาเด็กน้อยมาเล่นบ้านลม ส่วนเขานั่งเฝ้ากับคุณผู้ช่วยที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้ธารตะวันยิ้มเอ็นดูน้องกรมากๆ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งไปถึงดวงตาเธอให้เป็นรูปสระอิ ส่งเสียงหัวเราะปนยิ้มจังหวะที่น้องกรหันมาโบกมือให้“น่ารักจัง...” เธอชมออกเสียงแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจแต่ขณะที่เธอมองเด็กน้อย เจ้าของดวงตาคู่คมก็จับจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ในแววตาที่สบมองมีประกายรอยยิ้มเจือจางอยู่ด้วยหากทว่าจู่ๆ ร่างบางก็นิ่งงันไป รอยยิ้มที่ปรากฏค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด เมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดเศร้าจากนิยายที่เคยอ่าน จนนอนร้องไห้จมกองน้ำตาขี้มูกโป่งพูดจาสะอึกสะอื้นมาแล้ว“คุณคิดอะไรอยู่”“คะ”“เห็นอยู่ดีๆ คุณก็เหม่อ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต ในมุมเงียบๆ ของคนไม่ค่อยพูดแอบมองเธออยู่ก่อนแล้วร่างบางลอบถอนลมหายใจอย่างปลงปลด ก่อนจะลดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพน้องกรลง นัยน์ตาหม่นแสงขึ้นมาในฉับพลันเธอก็เป็นแค่นักอ่านจอมเพ้อ ชอบอินกับบทบาทของตัวละครเกินไปหน่อย พอได้เห็น
เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุดถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันทีทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันทีทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที
เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมาแต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน“รังเกียจพี่เหรอ...”“คะ”“เราคุยกับพี่ตาม
“ญี่ปุ่นต้องสนุกมากแน่เลยใช่มั้ยคะป้าขา... ฮือ”ร่างบางยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็คิดถึงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำจะแย่ ถึงขั้นเบะปากจะร้องไห้มาร่อมมาร่ออยู่แล้วญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้คงมีหิมะให้เล่นสนุกแน่เลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิด ตัวเธอไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เที่ยวเมืองนอกเลย แค่เดินทางในประเทศยังเป็นไปได้ยากชีวิตที่ต้องก้มหน้าหาเงินงกๆ หนึ่งวันก็เก้าชั่วโมง ไม่รวมเดินทางไปกลับที่ต้องเผชิญอุปสรรคแต่ละวันต่างกันออกไปอีก“รีบกลับมาไวๆ น้าคุณป้าขา” เธอได้แต่มองรถเข็นของป้าที่คลุมผ้าใบไว้ตาละห้อยทว่าวินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงของเจตกวินดันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอชะงักตัวมองอีกฝ่ายที่ยิ้มหวานให้แต่เช้า“พี่เจต...”เจตกวินมุ่นคิ้วเข้าหากัน พลางชะเง้อตัวมองไปด้านหลังเธอ แล้วทำหน้าเสียดายที่เห็นป้ายกระดาษติดประกาศว่าหยุด แต่เขาก็แค่เล่นละครตบตาเพราะมาดักรอธารตะวันแต่แรกแล้ว“อ้าว พี่เพิ่งรู้ว่าร้านป้าเขาปิด” เจตกวินยิ้มหวานให้หญิงสาว อันที่จริงเมื่อวานเขาขับผ่านทางนี้แล้วเห็นธารตะวันขึ้นรถเมล์พ
ซ่าเสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลยกระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”“ไหวครับ”“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”“รอบนห้องคุณเหรอ”ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆสุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่มร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห