สามเดือนผ่านไป ศรุตยังคงตามง้องอนเมียสุดที่รักอยู่ โดยไม่มีท่าทีว่าหญิงสาวจะใจอ่อนแม้แต่น้อย ไม่ว่าเธออยากทำอะไรอยากจะได้อะไรชายหนุ่มก็ไปเสาะหามาให้เธอทุกอย่าง ช่วยเนตรแพรเลี้ยงลูกน้อยในตอนกลางคืน ส่วนกลางวันเขามักจะเอางานมาทำข้าง ๆ เมีย หากวันไหนเขามีงานที่สำคัญต้องกลับกรุงเทพฯ อย่างปัจจุบันทันด่วน โดยไม่ลืมที่จะบอกกับหญิงสาวว่าไปไหนหรือทำอะไรมักจะรายงานตลอดเวลา“วันนี้ผมมีคุยธุระสำคัญจะกลับตอนค่ำ แต่ถ้า…” และครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อเขาต้องนัดพบลูกค้าสำคัญในตัวเมืองแต่หากว่างานเสร็จเร็วกว่ากำหนดเขาก็จะรีบกลับโดยไม่ว่อกแว่กไปที่ไหนอยู่ในโอวาทของเมียเสมอ“คุณจะมาบอกฉันทำไม คุณจะไปไหนก็เรื่องของคุณ” หญิงสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจในคำพูดของเขา แต่ในใจดวงน้อย ๆ ของเธอกลับรู้สึกดีไม่น้อย ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน กำลังทำอะไร เขามักจะบอกเธอเสมอ“ไม่สนหน่อยเหรอเมียจ๋า”ใครว่าเขาจะเสียใจกับคำเมินเฉยของเมีย แต่เปล่าเลยเขากลับยิ้มสู้เสียอย่างนั้นแถมยังยียวนกวนประสาทจนเธอต้องชักสีหน้าใส่วันละหลาย ๆ หน“จะไปไหนก็ไปเลยไป”ศรุตยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจในท่าทีของเนตรแพร“นับดาวลูกดูคุณแม่สิไล่คุณพ่ออีกแล้ว ถ้าไปหนูจะ
เนตรแพรพาลูกน้อยกลับเข้ามาในบ้านตามคำขอร้องของคุณมะลิวัลย์และความคะยั้นคะยอของน้อยหน่าที่บอกว่า หากเธอพาศรุตาออกมาข้างนอกรับอากาศแปรปรวนมากเกินไปอาจทำให้ไม่สบายได้ ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวตัวน้อยจึงยอมพากันกลับมาดังเดิม หญิงสาวเล่นหน้าเล่นตาหยอกล้อลูกของตนราว ๆ ยี่สิบนาที ทุกอย่างอยู่ในสายตาของน้อยหน่าที่จ้องมองอย่างสงสัยแต่ไม่กล้าถามเรื่องส่วนตัว“มีอะไร ทำไมจ้องพี่แบบนั้น” หญิงสาวรู้สึกถึงสายตาที่จ้องเธออยู่จึงเอ่ยถามขึ้น เพราะปกติเวลาน้อยหน่ามาที่นี่มักจะคุยจ้อกับศรุตาไม่หยุด ผิดกับวันนี้โดยสิ้นเชิง“เอ่อ…” เด็กสาวไม่รู้จะเริ่มต้นถามเรื่องที่ค้างคาใจจากคำถามไหนก่อนดี“มีเรื่องอะไรถามมาเถอะ สีหน้าคาใจซะขนาดนั้น”“หนูไม่รู้ว่าจะถามพี่เนตรดีไหม ถามไปแล้วพี่เนตรจะคิดมากหรือเปล่า”“อยากถามอะไรก็ถามเถอะ”“งั้นหนูไม่เกรงใจนะคะ น้องนับดาวเป็นลูกของคุณเสือหรือเปล่า แล้วพี่กับคุณเสือเป็น…” ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะเอ่ยถามจนจบประโยคหญิงสาวเอ่ยเสียงแข็งขึ้นทันที“แค่คนรู้จักกันเท่านั้น ก็จริงอยู่เราเคยรู้จักและคุ้นเคยกันอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อทุกอย่างถึงทางตันเราก็เป็นได้แค่คนรู้จักเท่านั้น”เนตรแพรตอ
“เมื่อไหร่จะลงมาวะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงมาจากชั้นสอง เห็นเนตรแพรอุ้มลูกน้อยอย่างระมัดระวัง ทางด้านหลังของหญิงสาวมีกระเป๋าเป้สะพายเอาไว้อยู่“เธอจะไปไหน” เขารีบมาขวางทางเธอและถามออกไปอย่างร้อนรน“…”เนตรแพรไม่ยอมตอบอะไรนอกเสียจากโอบอุ้มลูกน้อยของเธอเอาไว้แน่นและเดินออกจากบ้านไป แต่ศรุตก็ยังคงไม่ยอม เดินมาดักหน้าหญิงสาวและถามคำถามเดิมอีกครั้ง“ฉันถามว่าเธอจะไปไหน”“ไปจากที่นี่ไงคะ” เนตรแพรตอบชายหนุ่มเสียงเรียบเฉย“ฉันไม่ให้เธอไป”“ในเมื่อคุณไล่ฉันก็ไปแล้ว ยังจะต้องการอะไรจากฉันอีก”“ฉันต้องการเธอกับลูก” น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความจริงใจไร้ความเสแสร้ง เขาต้องการเธอกับลูกจริง ๆ“เราสองคนไม่ต้องการคุณค่ะ”“นั่นลูกของผมนะ” ชายหนุ่มใช้สรรพนามแทนตัวเองเสียใหม่ หาหนทางรั้งเธอกับลูกเอาไว้กับเขา“เฮอะ! แน่ใจเหรอคะว่าเขาเป็นลูกของคุณ วันนั้นคุณปฏิเสธเองนะ”“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ผมต้องการคุณกับลูกจริง ๆ ตลอดเวลาที่คุณหนีมาผมไม่เคยมีความสุขเลย”“นั่นมันเรื่องของคุณค่ะ ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันขอตัวนะคะ” เนตรแพรเชิดหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึ
“ไม่! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่อง” ชายหนุ่มยังคงดื้อดึงที่จะคุยกับเธออย่างไม่ลดละ“ฉันไม่ฟังอะไรคุณทั้งนั้น” แต่เนตรแพรไม่ยอมสวนกลับเสียงดังจนลูกน้อยในอ้อมอกแผดเสียงร้องออกมา จนต้องหันไปกล่อมเจ้าตัวน้อยให้เงียบลง “โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะคะ แม่ขอโทษที่เสียงดัง”“เนตรฟังฉันสักหน่อยนะ”เนตรแพรหาฟังคำของชายหนุ่มไม่ กลับเอี้ยวตัวหันหลังให้กับเขาเดินขึ้นชั้นสองทันที ไม่สนใจคำขอร้องวิงวอนของศรุตแม้แต่น้อย“ไปจากบ้านฉัน อย่ากลับมาที่นี่อีก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบทิ้งท้ายก่อนพาศรุตาขึ้นไปนอนคนที่เจอเมียแล้วและตั้งใจอย่างสุดซึ้งที่จะงอนง้อขอเธอคืนดีให้ได้มีหรือจะกลับไป ชายหนุ่มปักหลักรอเนตรแพรที่พาลูกน้อยขึ้นไปข้างบนจนกว่าจะลงมา อีกทั้งเขายังคงถือวิสาสะเดินสำรวจภายในบ้านหลังเก่าของตนเอง ก็พบว่าความเป็นอยู่ของเธอกับลูกไร้ความสุขสบายไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแม้แต่น้อย ข้าวของที่มีก็มีแค่สิ่งจำเป็นเท่านั้น“ทำไมคุณยังไม่กลับไปอีก” เนตรแพรเดินลงมาจากชั้นสองหลังจากที่เอาศรุตาลงเปลนอนเรียบร้อย เธอหวังว่าลงมาครั้งนี้จะไม่พบเขา แต่เปล่าเลยเขายังคงอยู่ภายในบ้านของเธอ“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น
ศรุตตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะเมื่อคืนนี้เขานอนไม่หลับใจคิดถึงแต่สองแม่ลูกที่อยู่บ้านข้าง ๆ อยากจะไปหาใจจะขาด แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ เพื่อรอเวลานี้ เวลาที่จะได้เอาใบหน้าหล่อ ๆ ของตนไปให้เมียได้เห็น แต่เขากลัวเหลือเกินว่าหญิงสาวจะยังคงโกรธเขาอยู่ เหมือนวันนั้นที่งานแต่งแม้แต่หน้าของเขาเธอก็ยังไม่มอง จับต้องก็รังเกียจ“จะไปไหนแต่เช้าน่ะตาเสือ” คุณมะลิวัลย์ถามบุตรชายที่เดินลงมาจากชั้นสองด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มจนอดถามขึ้นไม่ได้“ไปเดินเล่นน่ะครับแม่”“เดินเล่น? ปกติตอนมาคราวก่อนบ่ายสองยังไม่ตื่น แต่มาวันนี้ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า หิมะจะตกเมืองไทยรึเปล่าเนี่ย”“คุณแม่ก็พูดไปนั่น…ตื่นเช้าสูดอากาศสดชื่นมันดีจะตายจริงไหม แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ดีมากด้วย ถ้าตื่นสายก็พลาดแย่เลย” ศรุตตอบมารดาด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มไม่เหมือนเมื่อวานที่มาถึงใหม่ ๆ“จริงหรือ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่หรอกนะ” นางหยอกเอินลูกชายเล็กน้อยแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือนวนิยายเล่มโปรดของนางในยามเช้า ระหว่างรออาหารก่อนออกไปทำงาน“แม่ครับ แล้ววันนี้นับดาวจะมาที่นี่อีกไหม” ศรุตกำลังจะเดินออกจากบ้าน แต่พอนึกถึงหนูน้อยหน้าตาน่ารักจึง
พูดออกมาก็ทำให้พลอยคิดถึงเนตรแพรกับลูกในท้อง ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า“แม่ของนับดาวน่ะรักมาก แต่พ่อนี่ไม่รู้ว่ารักรึเปล่า” นางตอบบุตรชายเสียงแข็งราวกับไม่ค่อยพอใจนัก“พ่อเขาทำไมเหรอครับ” ศรุตถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เหตุใดทำไมพ่อถึงไม่รัก“ไม่รู้สิ…เพราะแม่ไม่เคยเห็นพ่อของหนูนับดาวสักครั้ง นับตั้งแต่สองแม่ลูกย้ายมาที่นี่” นางเอ่ยเสียงเรียบเฉย มองบุตรชายเป็นระยะ ๆ“แล้วทำไมเขาถึงปล่อยให้เมียกับลูกมาอยู่ที่นี่กันสองคน ไม่เป็นห่วงลูกเมียบ้างรึไง” พอได้ฟังแล้วรู้สึกโกรธพ่อของหนูนับดาวไม่น้อยที่กล้าทิ้งหนูน้อยหน้าตาน่ารักแบบนี้ หากเป็นลูกของเขาละก็ เขาไม่มีทางปล่อยให้อยู่อย่างลำพังหรอกมะลิวัลย์ส่ายหน้าก่อนพูดต่อ “เท่าที่แม่ของหนูนับดาวเล่าให้ฟัง พ่อเด็กไม่รับผิดชอบเพราะคิดว่าไปท้องกับคนอื่น ยังไม่หมดนะ แถมยังจะไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่” นางพูดด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ เหลือบมองท่าทางของศรุตว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้ฟังคงไม่ใช่คนคนเดียวกันหรอกมั้งใบหน้าสงสัยขบคิดในสิ่งที่มารดาของตนเล่าให้ฟัง ทำไมมันเหมือนเรื่องของเขาอะไรปานนั้น แต่มันคงไม่บังเอิญจุดไต้ตำตอขนาดนี้หรอก