แผนการที่กู่ซิงอีคิดไว้คือให้ฉีหย่าได้พบกับคุณชายว่านก่อน ดังนั้นเมื่อครู่พอเห็นนางขึ้นรถม้าไปก็เบาใจ แต่ไหนเลยจะคิดว่ารถม้ากลับตรงไปแทนที่จะเลี้ยวเข้าร้านว่าน ทำให้การที่ฉีหย่าจะได้เจอคุณชายว่านนั้นน้อยลงไปยิ่งกว่าเดิม
รถม้าของตระกูลว่านยังคงเคลื่อนที่ช้ามากนักแม้จะเลยจุดที่ผู้คนเนืองแน่นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ดีเพราะเหตุนี้ทั้งสองคนถึงได้เดินตามมาได้ทัน ในตอนนั้นก็ได้ยินแม่นางฉีหย่าส่งเสียงพูดไม่หยุด
“คุณชาย รบกวนท่านแล้ว บ่าวไม่เป็นไรมากเจ้าค่ะ พักสักนิดก็หาย ไม่จำเป็นต้องพาบ่าวไปถึงโรงหมอหรอกเจ้าค่ะ” ฉีหย่าพยายามกล่าวเสียงดังให้คนด้านในได้ยิน แม้กระทั่งคำเรียกขานตนเองนางก็เปลี่ยนให้ตนดูต้อยต่ำลง “เป็นบ่าวที่ผิดเอง เพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันจึงหน้ามืดเดินไม่ดูทาง”
แม้ว่าน้ำเสียงของนางทั้งนุ่มนวลและอ้อยอิ่งใครได้ยินจำต้องอยากสนทนาด้วยอีกสักหน่อย แต่กลับไร้เสียงตอบกลับมาจากด้านในอย่างที่ควร
“แม่นางรอพบหมอก่อนเถิด ข้าจะมอบเงินค่าเสียหายให้แน่นอน เจ้าจะได้มีเงินไว้ซื้อข้าวกิน” ประโยคนี้เป็นหลี่เซียวที่นั่งข้างกันเป็นคนกล่าวแทน
“ท่านมอบเงินให้บ่าวก็เหมือนมอบปลาให้ข้าหนึ่งตัว แต่ไม่ได้สอนข้าหาปลา...มิสู้ให้บ่าวทำงานที่จวนท่านไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ บ่าวพอที่จะทำงานบ้านเป็นอยู่บ้าง ขอแค่มีข้าวกิน มีที่พักอาศัย บ่าวไม่เรื่องมากเจ้าค่ะ”
กู่ซิงอีพยักหน้าน้อย ๆ ให้กับความฉลาดพูดของนาง แต่ก็พบว่าคนในรถม้าไม่ได้ใจอ่อนเลยสักนิด คนด้านหน้าเองก็เช่นกัน สองนายบ่าวราวกับออกมาจากไข่ใบเดียวกัน
ช่วงเวลานั้นฉีหย่ายังพูดอีกหลายประโยค ทว่าก็ยังไม่ได้ผลเหมือนเคย จนกระทั่งมาถึงโรงหมอในที่สุด นางก็แกล้งเป็นลมสลบไปพิงหลี่เซียวไว้ก่อนจะได้ลงรถม้า
นี่เป็นความเสี่ยงมากกว่าการพูดให้อีกฝ่ายเห็นใจเสียอีก แต่อาจได้ผลนางจึงลองเสี่ยงดู เพราะถ้าเป็นคนไร้จิตใจก็คงปล่อยนางทิ้งไว้ที่โรงหมอ มอบเงินให้แล้วจากไป แต่ถ้ามีคุณธรรมในใจอีกนิดก็จะอยู่รอจนนางฟื้นขึ้นมาเพื่อรอมอบเงินให้ถึงมือนางโดยตรง ยามเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงตอนนั้นก็คงใจอ่อนลงบ้างแล้ว และถ้านางลองขอร้องอีกรอบอาจจะได้ผลก็ได้ นางจึงลองเสี่ยงดู
ผลสุดท้ายคนด้านในก็เอ่ยปากให้พานางกลับไปที่ร้านว่านก่อน และให้หมอมาดูแผลที่ข้อเท้าให้นางด้วย
เสียก็แต่ว่านฟู่เฉิงยังคงใจแข็งปล่อยให้คนสลบนั่งไม่ได้สติอยู่ด้านหน้ารถม้าเหมือนเดิม ปล่อยให้นางพิงหลี่เซียวไว้ทั้งอย่างนั้น
ทว่ากู่ซิงอีก็คิดว่าอย่างน้อยก็ได้กลับไปที่ร้านว่านแล้วจึงหันไปยกยิ้มกับเซี่ยลู่หลินกันสองคน เมื่อทุกอย่างดูเป็นไปตามแผน ดวงตาของเขาทอประกายต่างจากเดิมที่เต็มไปด้วยความเฉยชา แล้วทั้งสองคนก็เดินหายไปจากตรงนั้น
แต่วันต่อมาแม่นางฉีหย่าก็มาขอพบพวกเขาอยู่ที่หน้าจวนตระกูลเซี่ยและเป็นช่วงที่กู่ซิงอีก็แอบย่องมาหาเซี่ยลู่หลินเช่นกัน ทั้งสามคนจึงได้พูดคุยกันพอดี
นางเล่าว่าตนได้เข้าไปทำงานกับตระกูลว่านจริง แต่ดันถูกส่งไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแทนที่จะได้เข้าไปทำงานในจวนใหญ่
“คุณชายว่านได้พบเจ้าแล้วหรือไม่” เซี่ยลู่หลินรีบถามหลังจากฉีหย่าเล่าจบแล้ว
“พบแล้วเจ้าค่ะ” ฉีหย่าหดหู่เล็กน้อย ตนใช้มารยาที่มีไปจนหมดแต่บุรุษผู้นั้นกลับมีสีหน้าเย็นชาแถมแทบจะไม่ชายตาแลนางเลยสักนิด กล่าวสองสามคำก็ให้คนไปส่งนางที่โรงเตี๊ยมของตระกูลว่าน แถมสั่งให้คนหาที่พักให้นางที่นั้นเลย
“ได้พบแล้ว!” กระต่ายน้อยลู่ตกใจยิ่งกว่าเดิมถึงกับกระโดดโหยงตบโต๊ะลุกขึ้นจากที่นั่ง
เป็นกู่ซิงอีต้องยื่นมือไปดึงนางให้นั่งลงที่เดิม สงวนท่าทีของคุณหนูสูงศักดิ์ไว้เสียหน่อย “ที่จวนตระกูลว่านไม่มีสตรีในวัยไล่เลี่ยกับพวกเราเลย มีแต่หญิงที่เลยวัยแต่งงานไปแล้วทั้งนั้น” กู่ซิงอีพบว่าคุณชายว่านผู้นี้ไม่รู้ระวังตัวเกินไปหรือไม่ชอบความวุ่นวายกันแน่ เขากล่าวเสริมเพื่อสรุปอีกครั้ง “แม่นางฉีหย่า เจ้าทำอย่างไรก็ได้ให้เข้าไปในจวนใหญ่ให้ได้ ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี” เพราะงานวันหมั้นถูกกำหนดแน่ชัดแล้ว ยังดีที่ว่าสองวันก่อนตระกูลว่านขอเลื่อนงานหมั้นออกไปไกลจากเดิมอีกสิบกว่าวัน มิเช่นนั้นอีกสามวันต่อจากนี้คงได้เห็นขบวนของหมั้นถูกส่งมาที่ตระกูลเซี่ยแล้ว แผนการของพวกเขาที่ยังเพิ่งเริ่มต้นคงไม่ทันการณ์
“เจ้าค่ะ” ฉีหย่าที่มารายงานก็รีบปลีกตัวจากไป ตอนนี้นางก็แอบหนีงานที่โรงเตี๊ยมออกมาเหมือนกันจึงรั้งอยู่นานไม่ได้
“นางงดงามขนาดนั้นยังไม่เข้าตาอีกหรือ” เซี่ยลู่หลินยกศอกเท้าโต๊ะเอามือยันแก้มไว้อย่างนึกสงสัย คิ้วขมวดมุ่น มุ่ยหน้าด้วยความไม่เข้าใจ “อาอี เจ้าเห็นว่าอย่างไร” เซี่ยลู่หลินเลิกทำหน้าบูดราวกับพบเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่า แพขนตากะพริบถี่หันมามองสหายของตนด้วยดวงตาเปล่งประกาย
อาอีสหายของนางหน้าตาดีขนาดนี้แต่ไม่เคยมองสาวคนไหนหรือพาใครมาให้รู้จักเลยสักคน ไม่รู้เพราะเอาแต่อยู่คนเดียวมากไป หรืออีกทางนางก็คิดไปแล้วว่าสหายของตัวเองอาจจะไร้ความรู้สึกด้านความรักก็เป็นได้
“เรื่องอะไร” กู่ซิงอีที่มัวแต่กังวลเรื่องของเซี่ยลู่หลินอยู่ก็ไม่ทันฟังประโยคก่อนหน้านี้ที่นางพึมพำออกมา ตอนนี้เลยไม่เข้าใจที่นางถาม
“แม่นางฉีหย่าไง เจ้าว่านางงดงามหรือไม่” เซี่ยลู่หลินใช้ไหล่น้อย ๆ ไปกะเทาะแขนของคนด้านข้าง อมยิ้มหยอกล้อรอคอยคำตอบ
“ย่อมงดงาม” มิเช่นนั้นตนเองจะเลือกนางมาทำไม แถมยังใช้เงินเก็บไปเกือบทั้งหมด เรื่องนี้คิดถึงทีไรก็ต้องถอนหายใจออกมา หัวใจบีบแน่นทุกครั้งไป
“แล้วเจ้าชอบนางหรือไม่” คราวนี้เซี่ยลู่หลินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ถามด้วยความจริงจัง ดวงตาจ้องมองกู่ซิงอีไม่วางตาแถมรอยยิ้มยังเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้นอีกเท่าตัว
“ข้าจะไปชอบนางได้อย่างไร ไม่เคยได้อยู่ด้วยกัน ไม่เคยเรียนรู้กัน และตอนแรกที่พานางมาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องส่งตัวนางไปให้ผู้อื่นจึงไม่เคยคิดเกินเลย” กู่ซิงอีแทบไม่ต้องคิดก็สามารถตอบออกไปได้ทันที มือก็ยกขึ้นดันหัวของสหายกลับไปตั้งตรงที่เดิม
“เหอะ เจ้านี้ด้านชาเสียจริง นางงดงามเช่นนั้นใครพบเจอต้องตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เอ๊ะ ! แต่ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด คุณชายว่านอาจเป็นแบบเจ้าก็ได้ เขาถึงได้ไม่สนใจนางเลยสักนิด”
กู่ซิงอีไม่ได้สนคำที่สหายบ่นตน กลับพูดออกมาแค่ว่า “ดังนั้นถึงต้องรีบให้นางเข้าไปทำงานในจวนให้ได้อย่างไรเล่า!”
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่