จ้าวเซินฝู บุตรชายคนโตของตระกูลจ้าว ที่ได้เรียกว่าเกิดมาเพื่อไม่เป็นที่ต้องการของผู้เป็นบิดา หากพูดถึงคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวแล้ว ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจ้าวซินเหอ คือคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าว
แม้ว่าจ้าวเซินฝูจะเกิดจากฮูหยินเอกของประมุขตระกูลจ้าว แต่ก็เป็นฮูหยินที่ได้ตบแต่งกันเพราะความต้องการของผู้เป็นประมุขตระกูลในตอนนั้น หรือปู่ของจ้าวเซินฝูนั่นเอง
แต่ก่อนที่จ้าวเซินฝูจะเกิด ปู่ของจ้าวเซินฝูที่เดินทางไปค้าขายต่างเมืองก็โดนโจรป่าปล้นกลางทาง มันไม่เพียงแต่ปล้นทรัพย์สินไปเท่านั้น แต่ยังปล้นเอาชีวิตของประมุขตระกูลจ้าวในขณะนั้นไปด้วย
รถม้าของตระกูลจ้าววิ่งกลับมาที่ตระกูลเองได้อย่างน่าประหลาด ภายในรถม้าที่โอ่อ่าแต่เปรอะเปื้อนไปด้วยร่องรอยของความโหดร้ายในนั้น บรรจุศพไร้ศีรษะของประมุขตระกูลจ้าว และฮูหยินตระกูลจ้าวเอาไว้ด้วย
ในขณะนั้น กระทั่งจ้าวจวิ้นซานผู้เป็นบุตรชายยังแทบจะล้มทั้งยืน ไม่ต้องพูดถึงมารดาของจ้าวเซินฝูที่กำลังท้องกำลังไส้ เรียกได้ว่าเป็นลมล้มพับไปทั้งอย่างนั้น ไม่ทันได้ระวังว่าตนเองตั้งครรภ์แก่แล้ว
เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว จ้าวเซินฝูจึงต้องคลอดก่อนกำหนดเกือบเดือน ในคืนนั้นจวนตระกูลจ้าวเรียกได้ว่าลุกเป็นไฟ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ประมุขของตระกูล พร้อมทั้งฮูหยินได้ถูกสังหาร หรือเรื่องที่จ้าวจวิ้นซานต้องขึ้นเป็นประมุขตระกูลจ้าวคนต่อไปอย่างเร่งด่วน และเรื่องที่ต้องทำคลอดจ้าวเซินฝูก่อนกำหนด
ในตอนนั้นมีเพียงจ้าวจวิ้นซานเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองนั้นปราถนาแรงกล้าเพียงใด...
ความปราถนาอันแรงกล้าที่จะจัดงานอัปมงคลทีเดียวถึงสามคน...
ไม่สิ... สี่คน...
จ้าวจวิ้นซานปราถนาที่จะหลุดพ้นจากบ่วงที่บิดามารดาจัดการเอาไว้ให้ แต่ในตอนนี้บ่วงที่มัดคอเอาไว้คลายออกไปแล้ว เหลืออีกเพียงบ่วงเดียวเท่านั้น คือสองแม่ลูกนั่น ที่เป็นหนามทิ่มแทงใจมาโดยตลอด
แม้ว่าความปราถนานั้นจะไม่เป็นจริงก็ตาม...
จ้าวเซินฝูได้เกิดมาเป็นมารหัวขนของจ้าวจวิ้นซาน กระทั่งชื่อยังไม่ได้เป็นผู้ตั้งให้เอง
แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยในความคิดของจ้าวจวิ้นซาน เพราะเมื่อจ้าวเซินฝูต้องคลอดก่อนกำหนด ร่างกายของมารดาก็อ่อนแอลง เรียกได้ว่าแทบจะเดินเหินไม่ได้
จ้าวจวิ้นซานออกจะพึงพอใจไม่น้อยเมื่อไม่ได้เห็นหน้าของจ้าวเซินฝูและมารดา
จนกระทั่งวันที่จ้าวจวิ้นซานรอคอยมาถึง...
เมื่อจ้าวเซินฝูอายุได้สามหนาว มารดาก็จากไปเพราะร่างกายไม่แข็งแรง จากนั้นบิดาก็ให้จ้าวเซินฝูไปอยู่เรือนเล็กหลังจวน ใกล้กับแปลงผัก พร้อมกับสาวใช้นางหนึ่ง
และหลังจากที่ฝังมารดาของจ้าวเซินฝูได้สามวัน จ้าวจวิ้นซานก็แต่งตั้งฮูหยินคนใหม่ทันที พร้อมทั้งประกาศข่าวดี อย่างเรื่องมงคลที่ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อยู่
เรียกได้ว่านี่คือความสุขที่จ้าวจวิ้นซานรอคอยอย่างแท้จริง
แต่นั่นเรียกได้ว่าเป็นนรกของจ้าวเซินฝูเลยทีเดียว
สาวใช้ที่บิดาให้มาไม่ได้ดูแลจ้าวเซินฝูดีอย่างที่ควร วันๆนางก็เอาแต่นั่งๆนอนๆ ข้าวที่จ้าวเซินฝูจะได้กินก็คือหนึ่งมื้อต่อวัน อีกทั้งไม่ได้มากพอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาได้อย่างดี
กระทั่งจ้าวเซินฝูอายุได้เจ็ดหนาว สาวใช้นางนั้นก็ถูกเรียกกลับไปทำงานที่บ้านใหญ่ เพราะจ้าวจวิ้นซานสั่งมา บอกว่าจ้าวเซินฝูโตมากพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว
แม้ว่าเรื่องนั้นจ้าวเซินฝูจะทำได้มาตั้งนานแล้วก็ตาม เพราะสาวใช้ที่จ้าวจวิ้นซานให้ติดตามมานั้น ไม่ได้ทำอะไรเลย
จ้าวเซินฝูกลายเป็นเจ้านายคนเดียวในบ้านที่ไม่มีบ่าวรับใช้ประจำตัว สภาพความเป็นอยู่ไม่สมกับเป็นเจ้านายคนหนึ่งของบ้าน
จ้าวเซินฝูเติบโตมากับการกลั่นแกล้งของบุตรฮูหยินอื่นๆในจวน เมื่อคนอื่นๆโตพอที่จะรู้อะไรต่ออะไรแล้ว จ้าวเซินฝูก็กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเหล่าพี่น้องคนอื่น
เมื่ออายุย่างเข้าเจ็ดหนาวแล้ว บุตรคนอื่นๆในจวนต่างก็ได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆที่จำเป็น โดยที่บิดาอย่างจ้าวจวิ้นซานเป็นคนหามา ยกเว้นเสียแต่จ้าวเซินฝู
เมื่ออายุย่างเข้าเจ็ดหนาวแล้ว บุตรคนอื่นๆต่างได้รับการปลุกพลังธาตุในร่างกาย จ้าวจวิ้นซานเฟ้นหายาเสริมพลังธาตุที่ดีที่สุดมาให้ เพื่อหวังว่าบุตรของตนจะเป็นผู้ที่ได้ปลุกพลังและเป็นผู้มีความสามารถ แม้ว่าจะล้มเหลวก็ตาม แต่อย่างไรแล้วก็ยังมีโอกาสจนกว่าจะอายุครบสิบห้าหนาว แต่แน่นอนว่าเรื่องนั้น ยกเว้นเสียแต่จ้าวเซินฝู
ทุกๆอย่างที่จ้าวจวิ้นซานมอบให้บุตรของตน ล้วนแล้วไม่มีสำหรับจ้าวเซินฝู
แต่อาจจะเป็นเพราะฟ้าลิขิตให้คนที่ตระกูลไม่ต้องการอย่างจ้าวเซินฝูได้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีจากบิดา แต่คนอย่างจ้าวเซินฝูก็ได้ปลุกพลังโดยที่ไม่ต้องกินยาเสริมธาตุ หรือยาปลุกพลังใดๆ
จ้าวเซินฝูในวัยสิบห้าหนาว ได้เข้ารับการปลุกพลังเพราะแอบออกจากจวนไปหลังจากได้ยินสาวใช้ในจวนพูดถึงประจำ อีกทั้งในวันที่ได้มีการปลุกพลังนั้น จ้าวเซินฝูยังเป็นที่ถูกตาต้องใจของอาจารย์สำนักดังอย่าง'โจวหมิง'แห่งเจี๋ยเอินอีกต่างหาก
จ้าวเซินฝูจำได้ว่าหลังจากวันนั้นที่เขาได้ปลุกพลังสำเร็จ และถูกทาบทามจากสำนักใหญ่ วันนั้นเป็นวันแรกที่จ้าวเซินฝูได้เห็นหน้าบิดาของตัวเองอย่างชัดๆ และยังเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมทานอาหารกับคนอื่นๆที่บ้านใหญ่
และของชิ้นแรกในชีวิตที่บิดามอบให้คือปิ่นหยกเรียบๆหนึ่งอัน แต่นั่นเป็นปิ่นที่จ้าวเซินฝูปักไว้จวบจนวันที่จากโลกนี้ไป
ใช่... จนถึงวันที่จากโลกใบนี้ไป
นั่นเป็นสิ่งที่จ้าวเซินฝูคิดเอาไว้ ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เจออยู่ตอนนี้
จ้าวเซินฝูจำได้ว่าได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่น่าทำลงไปแล้วอย่างแน่นอน...
"นี่มัน..."
มือเรียวระหงของเด็กหนุ่มยกขึ้นจับลำคอของตัวเองช้าๆ ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องจริง
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่จ้าวเซินฝูรู้สึกอาลัยอาวรณ์ หรือรับไม่ได้ที่ตนเองได้ตัดสินใจลงไปแบบนั้น
แม้ว่าจ้าวเซินฝูจะไม่ได้เห็นตอนที่ตัดสินใจทำเรื่องสิ้นคิดลงไป แต่เขามั่นใจได้ว่าตัวเองในตอนนั้นต้องกลายเป็นภาพติดตาชวนขวัญผวาของผู้ที่เข้ามาพบเห็นแน่นอน
เรียกว่าเข้ามาพบเห็นก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะจ้าวเซินฝูตัดสินใจแขวนคอพร้อมกรีดเลือดเขียนความแค้นไว้เต็มผนังจวนตระกูลจ้าว
ไม่ใช่แค่เพียงตระกูลจ้าวเท่านั้นที่โดนทำเรื่องเช่นนี้ แม้แต่กำแพงวังหลวงที่งดงาม บัดนี้ก็ยังเต็มไปด้วยความแค้นที่สั่งสมไว้ของจ้าวเซินฝู
"เหอะ นี่มันเรื่องน่าขันอันใดกัน..."
ไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่การที่จ้าวเซินฝูได้ตื่นขึ้นมาในห้องเล็กแคบเช่นนี้ กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนแบบที่ทั้งชีวิตนี้ไม่มีวันลืม
นั่นเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่านี่ย่อมเป็นเรือนเล็กใกล้แปลงผักที่จ้าวเซินฝูเคยอยู่ก่อนที่จะได้รับการปลุกพลังอย่างแน่นอน
แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไรที่ทำให้จ้าวเซินฝูได้กลับมาในตอนนี้ อาจจะเป็นเพราะแรงปราถนาที่ต้องการจะแค้นคนที่ทำเรื่องชั่วๆกับตัวเองเมื่อชาติก่อนอย่างสุดหัวใจ หรือสวรรค์เห็นใจชีวิตอาภัพของจ้าวเซินฝูหรืออะไรก็ตามแต่
"ครั้งนี้จะต้องไม่เหมือนเดิม..."
แววตามุ่งมั่นที่จะแก้แค้นฉายขึ้นในดวงตาของจ้าวเซินฝู ในหัวไล่เรียงรายชื่อหนี้แค้นของแต่ละคนออกมาได้อย่างแม่นยำ
ไม่ว่าจะเป็นคนตระกูลจ้าว สหายสนิทที่เคยไว้ใจเมื่อกาลก่อน หรือแม้กระทั่งราชวงศ์เจิ้ง ครั้งนี้ในเมื่อได้มีโอกาสกลับมาแก้แค้นแล้ว จ้าวเซินฝูได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกมันรอดไปแม้แต่คนเดียว
ครั้งนี้ผู้ที่มีจุดจบน่าอนาถจะต้องไม่ใช่ตน
ชีวิตก่อนจ้าวเซินฝูจำได้ว่าตนเองเป็นผู้ที่สามารถปลุกพลังธาตุได้ถึงสองธาตุ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลเก่งกาจราวกับฟ้าประทานที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นเมื่อจ้าวเซินฝูได้รับพลังธาตุที่สองมาแล้ว ตระกูลจ้าวได้ใช้ชื่อเสียงของจ้าวเซินฝูแผ่ขยายอำนาจของตระกูลไปกว้างไกล
กระทั่งได้รับความไว้วางใจจากราชวงศ์ กอบโกยทรัพย์สินมหาศาลเข้าตระกูลโดยใช้บารมีของบุตรชายที่ไม่เป็นที่ต้องการ
ในชีวิตก่อนนั้น กว่าจ้าวเซินฝูจะตาสว่างรับรู้ว่าไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ต่างรุมหลอกใช้ แอบอ้างชื่อเสียงของตนกระทำการไม่ชอบต่างๆนานา ก็ถึงคราวตายของตนเองเสียแล้ว
ตระกูลจ้าวที่ใช้บารมีชื่อเสียงของจ้าวเซินฝูผูกขาดอำนาจการเป็นพ่อค้ารายใหญ่ของแคว้น บีบบังคับให้พ่อค้าทั้งในและต่างพื้นที่เข้าร่วมกับสมาคมการค้า และตั้งเงื่อนไขอย่างไม่เป็นธรรม หากมีใครไม่ทำตาม ก็จะแอบอ้างอำนาจที่ได้รับการไว้วางใจจากราชวงศ์ขึ้นมาข่ม
สหายสนิทเพียงคนเดียวก็หวังเพียงจะแย่งชิงคนรัก ชี้นำจ้าวเซินฝูที่ในตอนนั้นทั้งโง่งมและดวงตามืดบอดไปในทางเลวร้าย เรียกว่าในบั้นปลายของชีวิตนั้นชื่อเสียงของจ้าวเซินฝูฉาวโฉ่จนคนทั้งยุทธภพต้องเบือนหน้าหนี
คนรักของจ้าวเซินฝูเองก็หลอกใช้จ้าวเซินฝูเพื่อตำแหน่งของตนเอง อีกทั้งยังแอบมีสัมพันธ์ลับๆกับน้องสาวของจ้าวเซินฝู และสหายสนิทของเขา
กาลก่อนนั้นไม่มีผู้ใดเลยที่จ้าวเซินฝูสามารถพึ่งพิงได้ กระทั่งตอนตายยังต้องแขวนคอตายที่หน้าประตูจวนตระกูลจ้าว
หรือหากพูดถึงสำนักเจี๋ยเอิน และอาจารย์ของจ้าวเซินฝูนั้น เจ้าตัวก็ไม่กล้ากลับไปสู้หน้าเพราะสิ่งที่ทำลงไปก่อนตายเรียกได้ว่าเป็นการทรยศต่อสำนัก เพียงเพราะอยากทำเพื่อตระกูล และคนรักที่ไม่เคยต้องการตน จ้าวเซินฝูถึงกับยอมทรยศที่พึ่งพิงสุดท้ายของตน
แต่นั่นเป็นเพียงอดีตไปแล้ว
ในตอนนี้จ้าวเซินฝูได้กลับมาอีกครั้ง เพื่อแก้ไขเรื่องที่เคยทำผิดพลาด
นับว่าสวรรค์ยังเมตตาให้จ้าวเซินฝูได้มีชีวิตอีกครั้ง และนี่จะไม่ใช่เพียงการแก้ไขเพื่อทำให้ชีวิตของจ้าวเซินฝูดีขึ้นกว่าเดิม
แต่นี่เป็นการแก้แค้นด้วยเช่นกัน...
ไม่ว่าใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้จ้าวเซินฝูต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถในชีวิตก่อน คราวนี้ถึงเวลาของพวกมันบ้างแล้ว
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ