เรือนเล็กแคบที่มีทั้งกลิ่นอับชื้น และกลิ่นเหม็นเน่าโชยอยู่ในอากาศทำเอาจ้าวเซินฝูต้องเบ้หน้า แม้ว่าชีวิตก่อนในตอนที่ยังอยู่กับตระกูลจ้าว จะเคยอยู่ที่แห่งนี้มาก่อนก็ตาม
แต่หลังจากที่ได้เข้าไปอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินแล้ว ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นราวกับพลิกฝ่ามือ อีกทั้งเมื่อได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์หลักได้แล้วก็ได้เรือนส่วนตัวที่อยู่ติดกับเรือนของท่านอาจารย์ ความเป็นอยู่นั้นดีกว่าเรือนเล็กๆนี่ไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เมื่อเคยใช้ชีวิตที่ดีมาเสียนานแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับมาใช้ชีวิตตกต่ำแบบนี้อีก ชีวิตก่อนในตอนที่ยังเล็กอาจจะไม่เข้าใจและสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องเรียกร้องอะไรเป็นเพราะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ จ้าวเซินฝูแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองก็เป็นคุณชายของบ้านเช่นกัน
และในชีวิตก่อนนั้นเอาแต่โหยหาการยอมรับจากครอบครัวที่ไม่เคยเห็นหัวกัน ดังนั้นจึงได้ไม่แคลงใจว่าสิ่งที่บิดาทำมาตั้งแต่ต้นเป็นการทิ้งขว้างรังแก
คิดมาถึงตรงนี้ก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆให้กับความโง่งมของตนเอง ทั้งๆที่ฐานะในตอนนั้นไม่ได้ด้วยไปกว่าผู้ใดใต้หล้า คนนับหมื่นแสนต่างยอมรับในความสามารถอย่างไม่มีข้อกังขา เหตุใดจึงได้โหยหาความรัก และการยอมรับจากคนเหล่านี้ด้วย
เป็นจ้าวเซินฝูในชาติก่อนที่โง่เขลา ไม่รู้ว่าตอนที่อาจารย์มาเห็นภาพศิษย์รักของตนแขวนคอตายหน้าจวนตระกูลจ้าวจะมีสภาพเป็นอย่างไร มิใช่ว่าชักดาบบั่นคอคนทั้งตระกูลทิ้งหรอกหรือ
แต่คิดไปแล้วก็เท่านั้น คราวนี้จ้าวเซินฝูหมายมาดเอาไว้ว่าจะกลับไปไต่เต้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ด้วยความสามารถเช่นเดิม
ชีวิตก่อนจ้าวเซินฝูไม่มีหน้ากลับไปที่สำนักเพราะทำผิดมหันต์ แต่ชีวิตนี้จ้าวเซินฝูมั่นใจว่าอาจารย์คงยังไม่รู้จักเขาเป็นแน่ และเรื่องต่างๆที่จ้าวเซินฝูทำเอาไว้ในชีวิตก่อนย่อมไม่ส่งผลถึงตอนนี้ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่จะมอบวิญญาณเพื่อเป็นคนของสำนักเจี๋ยเอินไปจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
อย่างไรแล้ว ชีวิตนี้จ้าวเซินฝูก็ต้องไต่เต้าขึ้นไปจนถึงตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักเช่นเดิมให้ได้...
แต่ตอนนี้ยังมีปัญหาที่ต้องจัดการอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าของฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา หากเป็นช่วงวัยประมาณนี้ คงไม่พ้นการกลั่นแกล้งกันภายในตระกูล
ปังๆๆๆ!!
"ออกมานี่เจ้าตัวโสโครก!"
เสียงเคาะประตูดังสนั่นมาพร้อมกับฝุ่นจากทั้งห้องที่ถูกทุบจนสะเทือนโปรยลงมาจากทุกจุดเป็นของประกอบฉาก ยิ่งเห็นยิ่งอนาถใจกับสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองในวัยเด็กนัก
เพราะเรือนเล็กๆนี้ไม่เคยได้รับความดูแลเลย และจ้าวเซินฝูเองก็มีไว้เพียงเพื่อซุกหัวนอนเท่านั้น
"พังเข้าไปเลยดีมั้ยขอรับคุณชายใหญ่?"
เสียงเล็กๆพูดประจบประแจงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายใหญ่ของบ้าน จ้าวเซินฝูอยากจะหัวเราะให้ตายไปเสียอีกรอบ บุตรชายของหญิงชู้ในตอนนั้น บัดนี้กลายเป็นคุณชายใหญ่ไปเสียแล้ว ส่วนคุณชายใหญ่ตัวจริงอย่างจ้าวเซินฝูกลายเป็นตัวโสโครกแทน
"พังเข้าไป"
คุณชายใหญ่ที่ทุกคนนับหน้าถือตา หรือจ้าวซินเหอ ออกคำสั่งอย่างไม่กลัวเกรง อย่างไรหากประตูเรือนเล็กๆที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญใดๆพังไป ก็คงไม่มีใครพูดถึง
ลูกสมุนคนหนึ่งตั้งท่าจะถีบประตูไม้เก่าๆให้พังลงเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดมาขวางทาง คุณชายใหญ่ของบ้านมักจะมาที่นี่เพื่อกลั่นแกล้งเจ้าตัวโสโครกนั่นเพื่อความหรรษา หลังจากที่ต้องฝึกร่างกายเพื่อรอวันได้ปลุกพลัง
แต่เมื่อออกตัวหวังจะพังประตูบานเก่าคร่ำครึนั่นลง ประตูนั่นก็ถูกเปิดออกจากคนที่อยู่ด้านในเสียก่อน แต่ว่าจะให้หยุดตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ลูกสมุนที่ขันอาสาพังประตูเพื่อเข้าไปลากตัวจ้าวเซินฝูออกมา ถลาหน้าคว่ำเข้าไปในห้องเล็กๆของจ้าวเซินฝู มือเล็กๆของเด็กหนุ่มถูกยกขึ้นมากุมจมูกอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคนที่เหมือนจะยืนค้ำหัวตนเองอยู่
"เจ้า!"
"ขออภัยน้องรองที่ออกมาต้อนรับไม่ทันใจเจ้า"
จ้าวเซินฝูไม่แม้แต่จะปรายตามองลูกสมุนหนึ่งที่นอนกุมหน้าอยู่บนพื้นด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้มาเยี่ยมเยือนกันถึงที่ก็เอ่ยทัก แม้ว่าจะได้รับคำตอบเป็นใบหน้าที่แสดงชัดถึงความรังเกียจก็ตาม
"ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าดีอย่างไรถึงเรียกคุณชายใหญ่เช่นนั้น!"
เป็นอีกครั้งที่จ้าวเซินฝูไม่แม้แต่จะให้ความสนใจ เพราะสายตาของจ้าวเซินฝูตรึงเอาไว้ที่จ้าวซินเหอตั้งแต่พบหน้า แต่มันไม่ใช่ความพิศวาสแต่อย่างใด สายตาของจ้าวเซินฝูที่ทอดมองไปยังน้องชายต่างมารดา ดูก็รู้ว่าเป็นสายตาที่มุ่งร้ายเพียงใด
"ว่าอย่างไร? มาถึงที่นี่ ต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใด?"
จ้าวซินเหอมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ โดยปกติแล้ว หากจ้าวซินเหอมาหาเรื่องจ้าวเซินฝูแบบนี้ มีหรอจะเปิดประตูมาเผชิญหน้ากันแบบนี้ แล้วท่าทีวางตัวสูงส่งทั้งๆที่แต่งกายราวกับขอทานนี่ยิ่งน่าหงุดหงิด สายตาที่มองมาราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกดหัวของจ้าวซินเหอให้รู้สึกต่ำต้อยกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้า
"อย่างเจ้าน่ะหรือจะมีปัญญาช่วยอะไรคุณชายใหญ่!"
"เป็นแค่บ่าว อย่าสอดปากเวลาเจ้านายสนทนากัน"
ลูกสมุนที่มากับจ้าวซินเหอหุบปากฉับด้วยความมึนงง ก่อนจะแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาเมื่อตีความได้ว่าคำพูดนั้นตั้งใจจะดูถูกกัน
"น้องรอง เจ้ามิได้สั่งสอนบ่าวไพรเรื่องการปฏิบัติตัวต่อหน้าเจ้านายหรือ?"
นอกจากบุคลิกที่เปลี่ยนไปจนแปลกตาแล้ว ก็มีฝีปากเนี่ยแหละที่ต่างไปจากเดิม ปกติแล้วจ้าวเซินฝูไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นมาสู้กับใครๆ ตั้งแต่จำความได้ จ้าวเซินฝูก็เป็นที่รองรับอารมณ์ของคนทั้งบ้านมาโดยตลอด แม้ว่าจะเคยไปได้ยินบ่าวไพร่พูดมาว่าจ้าวเซินฝูเป็นคุณชายใหญ่ของบ้านก็จริง แต่ว่าสภาพนี้ ใครจะไปรู้ว่าเป็นคุณชายใหญ่อะไรนั่น
จ้าวเซินฝูที่จ้าวซินเหอจำได้ ทั้งขี้ขลาด ตาขาว สงบปากสงบคำ เจียมเนื้อเจียมตัว แม้จะมียศเป็นคุณชายใหญ่ของบ้าน ดังนั้นจึงได้รังแกจ้าวเซินฝูมาโดยตลอด และนั่นก็ผิดไปจากวันนี้...
คนตรงหน้า...ใช่จ้าวเซินฝูจริงหรือ...
ก่อนที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ลูกสมุนคนแรกที่เอาหน้าไถพื้นเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นมาง้างมือเตรียมจะลอบโจมตีจากด้านหลังอย่างเงียบเชียบ จ้าวซินเหอไม่ได้พูดอะไร ส่วนจ้าวเซินฝูยังยืนมองหน้าผู้มาเยือนยิ้มๆ
จังหวะที่คนลอบโจมตีตายใจ พุ่งเข้าหาจ้าวเซินฝูที่ยืนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างรวดเร็ว หมายมั่นจะซัดให้ภาพลักษณ์ชูคอที่ทำข่มคุณชายใหญ่ของตนอยู่นั้นหายไปซะ
แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่จ้าวเซินฝูเบี่ยงตัวหลบ สถานการณ์ก็เปลี่ยนทันที จากที่คนรับหมัดควรจะเป็นจ้าวเซินฝู บัดนนี้กลายเป็นลูกสมุนคิดน้อยผู้นั้นถลาล้มเอาหน้าไถกับพื้นอีกรอบแทน
"ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สั่งสอนจริงๆสินะ..."
เท้าเปล่าเปรอะเปื้อนของจ้าวเซินฝูเหยียบลงที่กลางหลังของลูกสมุนผู้นั้น ก่อนจะกดแรงที่ส้นเท้าลงจนคนโดนกดร้องลั่น
"เช่นนั้นให้ข้าช่วยสั่งสอนดีหรือไม่?"
จ้าวเซินฝูคลายแรงกดของส้นเท้าลง และหันไปคว้าเอาไม้กวาดที่พิงกรอบประตูอยู่มาถือเอาไว้ พลิกให้ปลายด้ามของไม้กวาดกระแทกลงบนหลังมือของผู้ที่นอนกองอยู่บนพื้นอย่างแรง
"อ๊ากก!"
"หลังจากนี้ นี่จะเป็นบทลงโทษของเจ้า"
จ้าวเซินฝูง้างไม้กวาดขึ้นสูงอีกครั้ง ก่อนจะกระแทกลงบนหลังมือของลูกสมุนคนนั้นอีกครั้งเต็มแรง ก่อนจะใช้ด้ามไม้กวาดนั้นฟาดเข้าที่กลางหลังและน่องไม่หยุด
"โอ๊ย ข้าเจ็บ อ๊ากก คะ คุณชายใหญ่ อ๊ากก!"
เมื่อเห็นว่าตัวเองสู้ไม่ได้ก็เรียกให้ที่พึ่งพิงของตัวเองช่วยเหลือ แต่จ้าวซินเหอกำลังมองมาอย่างประหลาดใจ จึงไม่ได้เอ่ยปากขอให้หยุด กระทั่งลูกสมุนคนอื่นที่ยืนมองอยู่ก็ยังไม่กล้าสอดปาก เมื่อเห็นสภาพของคนที่โดนรังแกฝ่ายเดียวตอนนี้
กระทั่งพึงพอใจแล้ว จ้าวเซินฝูจึงได้หยุดมือ เงยหน้าไปยิ้มให้จ้าวซินเหอที่มองมาที่ตนเองอย่างไม่ละสายตา
"เป็นอย่างไร? ข้าคิดว่าเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว"
จ้าวเซินฝูเอ่ยถามราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร ทั้งๆที่ตอนนี้แทบเท้าของเจ้าตัวมีร่างของลูกสมุนคนหนึ่งของจ้าวซินเหอนอนโอดโอยอย่างเจ็บปวด
"ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เจ้าก็กลับไปเสียเถิด พี่ใหญ่ยังมีงานต้องทำอีกเยอะ"
จ้าวเซินฝูแสร้งพลิกไม้กวาดกลับมาในท่าทางปกติแล้วกวาดพื้นช้าๆด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้
"ดูสิ ขยะมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ชิ้นโตเชียว"
จ้าวเซินฝูกวาดเอาฝุ่นดินบริเวณนั้นใส่หน้าลูกสมุนของจ้าวซินเหออย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร อีกทั้งยังยิ้มแย้มราวกับมีความสุขนักหนา
ร่างที่นอนเป็นขยะคลุกฝุ่นหน้าเรือนเก่าๆหลังเล็กไอค่อกแค่กเพราะฝุ่นที่จ้าวเซินฝูกวาดใส่ตัวไม่หยุด พยายามจะคลานเข้าไปหาจ้าวซินเหอที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน
จ้าวซินเหอได้สติจากเสียงกวาดพื้นของจ้าวเซินฝูที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนประชดประชันกัน พลันก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา หยามบ่าวเหมือนหยามนาย อีกทั้งยังกระทำการไม่เกรงกลัวต่อหน้าเช่นนี้อีกด้วย
"เจ้า!"
จ้าวซินเหอเรียกคนที่ทำตัวไม่รู้ร้อนตรงหน้าอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะเพยิดหน้าให้บ่าวที่ยืนขนาบทั้งสองข้างพุ่งเข้าไปจัดการจ้าวเซินฝู
เมื่อบ่าวทั้งสองได้รับคำสั่งแล้วก็พุ่งตัวเข้าหาจ้าวเซินฝูทันทีแบบไม่คิดชีวิต ดาบไม้ที่ใช้ฝึกวรยุทธ์เมื่อครู่ถูกจับเอาไว้ในมือ หมายจะใช้มันลงมือกับจ้าวเซินฝู
จ้าวเซินฝูเพียงยืนนิ่งๆรอรับการโจมตี ท่าทีที่ไม่ได้ระแวดระวังอะไร ทำเอาบ่าวทั้งสองชะล่าใจ ไม่ทันนึกถึงว่าตอนนี้จ้าวเซินฝูเองก็ถือสิ่งที่เป็นอาวุธได้เช่นกัน
เพี๊ยะ เพี๊ยะ
อีกทั้งระยะของด้ามไม้กวาดนั้น ยาวกว่าดาบไม่กระจอกๆในมือของคนพวกนั้นเสียอีก
บ่าวของจ้าวซินเหอคนหนึ่งที่ออกตัวมาเร็วกว่าใครเพื่อนถูกด้ามไม้กวาดฟาดเข้าที่หน้าท้องจนตัวงอ และถูกฟาดอีกทีเข้าที่ข้อพับขาจนล้มลงคุกเข่ากับพื้น ไม่วายยกมือกุมหน้าท้องของตัวเองเพราะความเจ็บ
บ่าวอีกคนที่เห็นว่าสหายของตนโดนจัดการไปแล้วก็คิดจะเปลี่ยนกลยุทธ์ในการโจมตี ดาบไม้ถูกยื่นออกมาด้านหน้าในขณะที่เข้าโจมตี เพื่อเว้นระยะห่างไม่ให้ด้ามไม้กวาดของจ้าวเซินฝูโจมตีโดนหน้าท้องของตัวเองได้
แต่ดูเหมือนว่าบ่าวพวกนี้ยังเด็กนัก ก็เลยมีความคิดแบบเด็กๆ ไม่ทันนึกว่าด้ามไม้กวาดนั้นแท้จริงแล้วยาวกว่าดาบไม้ในมือของตัวเองเท่าไหร่
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ
ด้ามไม้กวาดตีเสยข้อมือของบ่าวผู้นั้นจนดาบไม้หลุดจากมือ ดาบไม้ที่ถูกเสยขึ้นฟ้าตกลงกระทบหัวกลมๆของบ่าวเด็กจนเจ้าตัวร้องโอดโอยไปครั้งหนึ่ง
ก่อนที่จะโดนด้ามไม้กวาดฟาดเข้าที่ท้อง และข้อพับขา ทำให้ตอนนี้สภาพของบ่าวคนที่สองก็ดูไม่ต่างจากสภาพของบ่าวคนแรกเท่าไหร่นัก
ในขณะที่บ่าวทั้งสามได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดนั้น จ้าวซินเหอก็ได้มองไปที่พี่ชายต่างมารดาด้วยความตกตะลึง
จ้าวเซินฝูปกติแล้วไม่ใช่พวกที่ชื่นชอบการทำร้ายใคร เอาจริงๆไม่แม้แต่จะจับกิ่งไม้ขึ้นสู้ด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับจัดการบ่าวทั้งสามที่พอจะเป็นมวยของจ้าวซินเหอลงได้หมดทุกคน
จ้าวซินเหอไม่อยากจะเสียหน้า แม้ว่าเหตุการณ์ที่นี่จะมีเพียงแค่คนห้าคนเท่านั้นที่รู้เห็น แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่จ้าวเซินฝูทำนั้น จะเป็นรอยแผลในใจไปจนตายหากวันนี้ไม่ได้แก้แค้น
คราวนี้เป็นจ้าวซินเหอที่จับดาบไม้ชี้ใส่หน้าพี่ชายต่างมารดา จ้าวเซินฝูทำหน้าเหมือนเห็นเรื่องตื่นเต้นยิ่งทำให้จ้าวซินเหอรู้สึกหงุดหงิด
"โอ้..."
แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็น่าหงุดหงิดยิ่งนัก
จ้าวซินเหอพุ่งเข้าหาจ้าวเซินฝูที่ดูเหมือนไม่ได้พร้อมตั้งรับการโจมตีใดๆ แต่เมื่อถึงระยะที่ดาบไม้นั่นจะสามารถสร้างความเจ็บปวดให้จ้าวเซินฝูได้นั้น ดาบไม้ของจ้าวซินเหอก็ถูกด้ามไม้กวาดของจ้าวเซินฝูปัดทิ้งเช่นกัน
จ้าวซินเหอย่อมไวกว่าบ่าวทั้งสามอยู่ก้าวหนึ่ง เมื่ออาวุธของตนเองหลุดหายไป จ้าวซินเหอก็ง้างหมัดเตรียมโจมตีอีกรอบหนึ่งทันที
แต่จ้าวเซินฝูไม่ใช่ไก่อ่อนอย่างเด็กเหล่านี้ แม้ว่าจะย้อนกลับมาอยู่ในร่างของเด็ก แต่ในชีวิตก่อนนั้น จ้าวเซินฝูอายุย่างเข้าสามสิบหนาวไปแล้ว อีกทั้งยังเก่งกาจเสียจนได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักอีกด้วย
เพียงแต่เพราะความเคยชินในตอนที่ใช้พลังธาตุเท่านั้นแหละที่จะสร้างปัญหา ไม่ใช่ว่าไม่สามารถรับหมัดเล็กๆของน้องชายต่างมารดาได้ แต่จ้าวเซินฝูเพียงทำไปตามความเคยชิน โดยที่ลืมนึกไปว่าเด็กอายุเพียงสิบสองหนาวที่ไม่เคยฝึกลมปราณหรือวรยุทธ์ ไม่มีทางที่จะใช้พลังธาตุในการส่งเสริมการต่อสู้ได้
แต่จ้าวเซินฝูทำได้ บัดนี้แขนของจ้าวซินเหอข้างที่หวังจะต่อยเข้าที่ใบหน้ามอมแมมของจ้าวเซินฝู ชูขึ้นเหนือศีรษะของเจ้าตัว โดยที่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของจ้าวซินเหอ
เมื่อครู่จ้าวเซินฝูเพียงกระดิกนิ้ว หมู่มวลลมก็หอบอุ้มเอาแขนข้างนั้นลอยไว้เหนือหัว จ้าวเซินฝูเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ และมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
นั่นแปลว่าพลังธาตุของจ้าวเซินฝูที่ถูกปลุกขึ้นในชีวิตก่อน ไม่ได้หายไปเพียงเพราะจ้าวเซินฝูย้อนกลับมาในเวลานี้
เช่นเดียวกันกับจ้าวซินเหอที่ตื่นตระหนก ยิ่งเมื่อเห็นจ้าวเซินฝูยิ้มกว้างราวกับดีใจนักหนา ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ตามคำบอกเล่าของมารดา บุตรที่ได้รับการฝึกฝน ดูแล และส่งเสียให้เล่าเรียนกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงนั้น ไม่มีจ้าวเซินฝูรวมอยู่ด้วย นั่นแปลว่าจ้าวเซินฝูได้เรียนรู้การใช้พลังเหล่านี้ด้วยตัวเอง
การใช้พลังธาตุนั้น ไม่จำเป็นต้องมีผู้ชี้แนะเสมอไป เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่สำหรับเด็กอายุเพียงสิบสองหนาวนั้น ดูแล้วจะเกินตัวไปเสียหน่อย อีกทั้งยังใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
บัดนี้รอยยิ้มของจ้าวเซินฝูเป็นเหมือนรอยยิ้มของมารที่ฉีกยิ้มอย่างสาแก่ใจส่งให้จ้าวซินเหอ
"ปล่อยข้า! เจ้า!"
จ้าวซินเหอพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมที่มองไม่เห็น จ้าวเซินฝูที่เผลอใช้พลังออกไปก็รีบปล่อย ก่อนทำท่าทางเหมือนปกติ แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ได้ตกอยู่ในสายตาของผู้มาเยือนทั้งสี่คนแล้ว
"วะ วิชามาร...!"
บ่าวคนหนึ่งพลั้งปากพูดออกมา ทำเอาคนที่เหลือชะงักไปตามๆกัน จ้าวซินเหอที่เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปคนแรก อีกสองคนที่หมอบอยู่ใกล้จ้าวเซินฝูก็รีบตะเกียกตะกายหนีไป แต่ก็ไม่ลืมพยุงบ่าวที่นอนกองอยู่คนแรกไปด้วย
เมื่อเหล่าผู้มาเยือนจากไปแล้ว เรือนเล็กท้ายจวนของจ้าวเซินฝูจึงได้กลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ