"ฮูหยิน?"
"นางคงหมายถึงเมิ่งหรูซี"
ติงมี่เซียนเองออกจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในเรื่องที่ได้รับฟัง แต่ว่าสภาพของจ้าวจวิ้นซานนั้น ทำให้นางมองว่าเป็นเรื่องโกหกไม่ได้เลย
"เช่นนั้นท่านพี่จะทำอย่างไรเจ้าคะ"
จ้าวจวิ้นซานเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร ในตอนแรกนั้นจ้าวจวิ้นซานหวังจะใช้จ้าวเซินฝูให้เป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ
แต่ในตอนนี้ จ้าวเซินฝูนอกจะทำประโยชน์ไม่ได้แล้วยังให้โทษอีกด้วย
"เจ้าพอจะรู้จักไต้ซือที่เก่งกาจบ้างหรือไม่"
หากเป็นเรื่องภูติผี ก็ต้องยกให้ไต้ซือที่เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดการ และต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ในตอนนี้นั้นสถานการณ์ในจวนตระกูลจ้าวไม่สู้ดีแล้ว
นอกจากจะมีปัญหาภายในจวน เรื่องพวกนี้ยังหลุดออกไปถึงนอกจวน จนตอนนี้ผู้คนต่างเล่าลือกันไปไกล แต่งเติมเสียจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
กลายเป็นว่าตอนนี้ ตระกูลจ้าวไม่มีผู้ใดอยากคบค้าด้วย เพราะเล่าลือกันว่าเป็นตระกูลต้องสาปไปเสียแล้ว
"ท่านพี่หมายถึง..."
"ให้ไต้ซือลองมาจัดการหน่อยเถอะ ปล่อยเอาไว้นานกว่านี้มีแต่จะสร้างเรื่องไม่จบสิ้น"
ติงมี่เซียนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตกปากรับคำ นางรีบไปจัดการเรื่องที่สามีมอบหมายให้ทันที ติงมี่เซียนนั่งรถม้าออกจากจวนทั้งๆที่เพิ่งกลับถึงจวนยังไม่ครบชั่วยาม
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนนั้น เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะมานั่งคอยเวลาเฉยๆ
แต่แผนการทั้งหมดที่จ้าวจวิ้นซานและติงมี่เซียนพูดกันเอาไว้นั้น จ้าวเซินฝูเองก็ได้ยินชัดเต็มสองหู
จ้าวเซินฝูได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แม้ว่าจะพากี่ร้อยไต้ซือมาก็ไม่มีทางจัดการได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนนี้เป็นฝีมือของจ้าวเซินฝู ไม่ใช่ผีสางอย่างที่เข้าใจกัน
หลังจากที่ติงมี่เซียนปลีกตัวออกไป จ้าวเซินฝูเองก็ต้องกลับไปที่เรือนเล็กนั่นด้วยเช่นกัน จ้าวเซินฝูใช้ฝ่าเท้าเจ้าเวหาเคลื่อนตัวกลับไปยังเรือนเล็ก แต่ไม่วายแอบใช้สายลมปัดพู่กันหยกในมือของจ้าจวิ้นซานให้คนได้ตกใจเล่นๆ
จ้าวเซินฝูไม่อยู่รั้งดูผลงานของตัวเอง รีบกลับเรือนเล็กเพื่อวางแผนต่อไป
จ้าวเซินฝูรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้กลั่นแกล้งจ้าวจวิ้นซานอย่างเต็มที่ เพราะเพียงแค่หยอกนิดๆหน่อยๆ จ้าวจวิ้นซานก็หนีไปนอนที่อื่นเสียอย่างนั้น
หลังจากเหตุการณ์ของจ้าวจวิ้นซาน จ้าวเซินฝูก็ได้หาที่ลงใหม่ เป้าหมายถัดจากจ้าวจวิ้นซานคือพ่อบ้านหยาง
แต่นั่นก็ทำให้จ้าวเซินฝูรู้สึกผิดหวัง เพราะนอกจากพ่อบ้านหยางไม่ได้หวาดกลัวเหมือนคนอื่นๆในจวนแล้ว หลังจากสังเหตเห็นสิ่งนั้นที่จ้าวเซินฝูใช้กลั่นแกล้งคนในจวน พ่อบ้านพยางก็เอาแค่คุกเข่าก้มหน้าพร่ำพูดขอโทษไม่หยุด
เพราะพ่อบ้านหยางได้ยินได้ฟังมาจากหลายคน โดยเฉพาะแม่ครัวใหญ่ และตัวของจ้าวจวิ้นซานเอง ทั้งคู่บอกว่าเป็นอดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซี
ดังนั้นเมื่อพ่อบ้านหยางสังเกตเห็นแล้ว จึงไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ท่วมท้นอยู่ในจิตใจ
พ่อบ้านหยางจำได้เป็นอย่างดีว่าคำขอก่อนสิ้นใจของเมิ่งหรูซี มีเพียงการฝากฝังบุตรชายของนางเท่านั้น แต่พ่อบ้านหยางกลับละเลย อีกทั้งยังคิดกล่าวโทษว่าเป็นเพราะจ้าวเซินฝูทำให้เมิ่งหรูซีต้องจากไป
เมิ่งหรูซีเป็นนายหญิงที่พ่อบ้านหยางเคารพมาตั้งแต่สมัยอยู่จวนตระกูลเมิ่ง การกระทำของพ่อบ้านถือได้ว่าเป็นการไม่รักษาสัญญา
แต่จ้าวเซินฝูไม่ได้สนใจ เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านหยางไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเหมือนกับคนอื่นๆก็หมดความสนใจ
จ้าวเซินฝูตั้งใจว่าคืนนี้จะต้องออกไปเฟ้นหาตัวช่วยจากนอกจวนเสียแล้ว...
ที่ผ่านมาจ้าวเซินฝูพอจะมีเงินทองเก็บเอาไว้บ้าง รวบรวมมาจากพ่อบ้านหยางที่แวะเวียนเอามาให้
หลังจากเหตุการณ์นั้น มีเพียงพ่อบ้านหยางที่กล้ามาที่เรือนเล็กแห่งนี้ อีกทั้งยังกล้าเรียกให้คุณชายเปิดประตูให้อีกด้วย แม้ว่าจะไม่เคยเข้าไปก็ตาม
ทุกครั้งที่มาพ่อบ้านหยางจะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับจ้าวเซินฝูก่อนจะจากไป
วันนี้เงินจำนวนนั้นจะได้สร้างประโยชน์ใหกับจ้าวเซินฝูแล้ว...
หากต้องการออกไปโดนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ก็ต้องเป็นยามวิกาล แต่หากเป็นยามวิกาลไม่รู้ว่าจะสามารถหาคนที่เข้าตาได้บ้างหรือไม่
แท้จริงแล้วจ้าวเซินฝูนั้นแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เล็กกระทั่งได้ออกจากจวนไปร่ำเรียนอยู่สำนักเจี๋ยเอิน แทบจะไม่ได้เดินเที่ยวชมในเมืองเหมือนคนอื่นๆ
กลับมาเยี่ยมบิดาในชาติก่อนก็เพียงแค่มาแล้วกลับ เหมือนไม่ใช่คนเมืองนี้ด้วยซ้ำ
"ข้าควรเริ่มจากที่ไหนดี..."
.
.
.
ไม่กี่วันถัดมา ไต้ซือที่ติงมี่เซียนไปเฟ้นหามาก็มาถึงจวนตระกูลจ้าว ผู้คนในตระกูลจ้าวเห็นอย่างนั้นก็พากันก้มกราบร้องขอความช่วยเหลือระงม
ไต้ซือผู้นี้เป็นไต้ซือที่อยู่ในเมือง คอยจัดการเรื่องทุกข์ร้อนของชาวบ้านด้วยการปราบวิญญาณ ขับไล่ภูติผี เรียกได้ว่าเป็นไต้ซือที่มีชื่อเสียงในด้านนี้ผู้หนึ่ง
ติงมี่เซียนเองก็เชิญไต้ซือท่านนี้มาหวังจะช่วยในสถานการณ์ในจวนนั้นดีขึ้น โดยที่ไม่รู้ว่าไต้ซือที่ตนเองเชิญมานั้นเป็นพวกต้มตุ๋น
ไต้ซือผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจอะไร เพียงแต่ที่ผ่านๆมาไต้ซือและพรรคพวกนั้นทำเรื่องเหล่านี้เป็นขบวนการ พรรคพวกจะเลือกจวนที่ดูพอมีฐานะเพื่อจัดฉากกลั่นแกล้งว่ามีวิญญาณในบ้าน และไต้ซือผู้นี้จะเป็นผู้มาปราบวิญญาณเหล่านั้น
จ้าวจวิ้นซานกล่าวว่าจะยอมจ่ายเท่าที่ไต้ซือต้องการ เพียงแค่ขอให้ไต้ซือช่วยจัดการเรื่องน่าปวดหัวในจวนตระกูลจ้าวนี้ที
"นายท่านจ้าวไม่ต้องกังวล อาตมาจะจัดการให้เอง"
ไต้ซือผู้นั้นพูดด้วยความมั่นใจ พร้อมทั้งทำทีเป็นเดินสำรวจรอบจวนตระกูลจ้าว กระทั่งมาถึงเรือนเล็กของจ้าวซิ่วเทียน เสียงของบ่าวอื้ออึงทำให้รู้ได้ทันทีว่า เรือนเจ้าปัญหานั้นคงเป็นเรือนเล็กนี้อย่างแน่นอน
ไต้ซือแกล้งทำท่าเพ่งพินิจอย่างตั้งใจ ได้ยินเสียงจากบ่าวรอบด้านพูดกันว่าไต้ซือช่างเก่งกาจ เพียงแค่มองก็รู้ว่าที่ไหนมีพลังงานชั่วร้ายแฝงอยู่
"เรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ที่นายท่านจ้าวเป็นกังวล"
"เรียนไต้ซือ เป็นเรือนเล็กท้ายจวนหลังนี้เจ้าค่ะ"
ติงมี่เซียนเอ่ยตอบ ไต้ซือพยักหน้ารับ บรรยากาศรอบตัวเรือนดูอึมครึมสมกับเป็นเรือนเจ้าปัญหา สภาพของมันดูไม่น่าจะอยู่อาศัยได้แล้วด้วยซ้ำ
เสียงพูดคุยเอะอะทำให้จ้าวซิ่วเทียนที่รวบรวมพลังปราณอยู่ต้องมุ่นคิ้วอย่างไม่พอใจ
จ้าวเซินฝูลืมตาขึ้น ก่อนจะเดินไปดูเหตุการณ์ภายนอกตรงหน้าต่าง เมื่อจ้าวเซินฝูออกไปยืนตรงนั้น เหล่าบ่าวไพร่ต่างรีบหาที่ซุกตัวด้วยความหวาดกลัว
ไต้ซือมองมาที่จ้าวเซินฝูด้วยความสงสัย
โดยปกติแล้วพรรคพวกที่คอยจัดฉากจะไม่เลือกบ้านที่มีคนอาศัยอยู่ อาจจะเลือกเป็นเรือนเล็กๆที่ใช้เก็บของ หรืออยู่ห่างไกลจากเรือนหลักเสียหน่อย
"เด็กคนนั้น..."
"เด็กคนนั้น.. เป็นต้นเหตุเจ้าค่ะ"
ไต้ซือหันกลับมาสบตากับจ้าวเซินฝูที่ยืนมองออกมาจากในเรือน สายตาของจ้าวเซินฝูไม่ได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
สายตาของจ้าวเซินฝูที่มองมา ทำให้ไต้ซือนั้นรู้สึกว่าเด็กคนนั้นกำลังเหยียดหยามตน ไม่เพียงเท่านั้นยังดูถูกเหล่าคนที่รุมล้อมกันอยู่ตรงนี้อีกด้วย
แต่ด้วยความที่เป็นไต้ซือนั้นต้องสำรวมกริยาต่อหน้าผู้อื่น แม้ว่าในใจจะเดือดดาลมากแค่ไหนก็ตาม
"เรื่องนั้นอาตมาจะจัดการคืนนี้ นายท่านจ้าวพอจะมีที่พักหรือไม่"
"ข้าให้คนเตรียมที่พักให้ไต้ซือแล้ว เชิญทางนี้"
พ่อบ้านหยางเป็นคนผายมือเชิญให้ไต้ซือผู้นั้นเดินไปยังเรือนรับรอง เมื่ไต้ซือจากไป เหล่าบ่าวไพร่ที่มามุงกันเมื่อครู่ก็พากันสลายตัวไปด้วยความหวาดกลัว
จ้าวเซินฝูรู้ว่าที่ผ่านมานั้นตนเองเล่นงานคนตระกูลจ้าวหนักหน่วงมากแค่ไหน แต่ในคราแรกก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเชิญไต้ซือมาเอง
แต่แน่นอนว่าไต้ซือเพียงผู้เดียวนั้นไม่ได้คณามือแม้แต่น้อย
หากไต้ซือผู้นั้นกล่าวว่าจะจัดการในคืนนี้ เช่นนั้นจ้าวเซินฝูก็จะคอยดู...
ฝั่งของจ้าวจวิ้นซาน เมื่อติงมี่เซียนได้เชิญไต้ซือมาจัดการปัญหาในจวนแล้ว ก็สบายใจขึ้นมาหน่อย แม้ว่าจะยังไม่ได้เริ่มปัญหาก็ตาม แต่ความรู้สึกของคนในตระกูลจ้าวตอนนี้ ก็ราวกับมีที่พึ่งพิง
จ้าวจวิ้นซานเองครึ่งหนึ่งก็คาดหวังว่าไต้ซือที่ติงมี่เซียนเชิญมาน่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง แต่หากอีกใจนึงก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าไต้ซือนั้นจะทำอะไรได้
ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลจ้าวตลอดหลายวันที่ผ่านมานั้นจะเป็นฝีมือของจ้าวเซินฝูหรือไม่ก็ตาม แต่หากไต้ซือนั้นไม่เก่งกาจพอ เกรงว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้
คนในจวนตระกูลจ้าวย่อมรู้ดีว่าที่ผ่านมานั้นพวกตนโดนมาหนักมากแค่ไหน...
หากไต้ซือนั้นศักดิ์สิทธิ์จริง เรื่องแย่ๆของจวนตระกูลจ้าวนั้นคงจะจบลงภายในคืนนี้ แต่หากว่าไต้ซือนั้นไม่สามารถจัดการปัญหาที่ตระกูลจ้าวเจออยู่ได้นั้น ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการสุมไฟโทสะให้กับอีกฝ่ายหรือไม่
"ท่านพี่..."
ติงมี่เซียนเห็นผู้เป็นสามีนั่งเหม่อก็เรียกสติ ติงมี่เซียนรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนและพยายามช่วยหาวิธีแก้ปัญหาอย่างสุดกำลัง โดยที่นางไม่ได้รู้ตัวว่าแท้จริงแล้ว นางนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ
แผนการนี้เกิดขึ้นได้เพราะว่าจ้าวเซินฝูต้องการสมบัติที่ติงมี่เซียนยึดไป ทั้งเบี้ยรายเดือนของตำแหน่งคุณชายใหญ่ของบ้าน ทั้งสมบัติของมารดา และสินสอดของมารดาที่ได้จากตระกูลจ้าว
"ไต้ซือต้องช่วยเราได้แน่เจ้าค่ะ"
"ข้าก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น"
แม้จะพูดแบบนั้นแต่ว่าจ้าวจวิ้นซานยังไม่อาจวางใจได้
"จะเป็นเมิ่งหรูซีจริงหรือ..."
ติงมี่เซียนไม่ตอบอะไร ทำเพียงรินชาใส่ถ้วยให้จ้าวจวิ้นซานเงียบๆ ชื่อเมิ่งหรูซีก็เป็นดั่งเสี้ยนหนามตำใจนางเช่นกัน คงไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าวันที่เมิ่งหรูซีจากโลกนี้ไปนางสะใจมากเพียงใด
หลังจากที่เมิ่งหรูซีจากโลกนี้ไป ติงมี่เซียนก็ได้แต่งเข้าตระกูลจ้าวในฐานะฮูหยินใหญ่ แม้ว่าจะได้รับเสียงคัดค้านจากผู้อาวุโสตระกูลจ้าวก็ตาม
วันที่เมิ่งหรูซีแต่งเข้าจวนตระกูลจ้าว แม้ว่าจ้าวจวิ้นซานจะไม่ได้แสดงสีหน้ายินดี แต่ตระกูลจ้าวนั้นอ้าแขนต้อนรับ ปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี ผิดกับนางที่ได้รับทุกอย่างตรงกันข้าม
ติงมี่เซียนแต่งเข้าตระกูลจ้าวหลังจากที่เมิ่งหรูซีตายไปได้ไม่กี่วัน ท่ามกลางเสียงคัดค้าน เสียงติฉินนินทาของคนภายนอกเพราะไม่เป็นที่ยอมรับของเหล่าผู้อาวุโส
แต่แล้วอย่างไรเล่า ในตอนนี้ติงมี่เซียนได้เป็นฮูหยินเอก ได้เป็นคนดูแลสมบัติของตระกูลจ้าว กระทั่งสมบัติของเมิ่งหรูซี แม้แต่ไข่มุกแต่ละเม็ดนางก็เก็บมาไม่ให้ขาด
จ้าวเซินฝูเสียมารดาไปตอนยังเล็ก เรื่องสมบัติของมารดาคงไม่มีใครพูดถึง แน่นอนว่าติงมี่เซียนเองก็ไม่คิดจะพูดในตนเองเสียผลประโยชน์ ในสายตาของติงมี่เซียนนั้น จ้าวเซินฝูเป็นเพียงตัวโง่งมที่ไม่มีปากมีเสียงจะเรียกร้องสิทธิ์ใดๆของตน
กระทั่งตำแหน่งคุณชายใหญ่ของตระกูลยังไม่อาจรั้งไว้ได้เลยด้วยซ้ำ...
แต่เป็นเพราะวันนั้น...
อยู่ๆจ้าวเซินฝูก็เปลี่ยนไปตามคำบอกเล่าของจ้าวซินเหอ จ้าวเซินฝูไม่ยอมเป็นคนที่ถูกรังแกอีกต่อไป ทั้งยังเอาคืนบุตรชายของนางได้อย่างเจ็บแสบ
จ้าวซินเหอขวัญหนีดีฝ่อกระทั่งต้องไปไหว้พระปัดรังควานถึงบนเขา และเมื่อกลับมาก็ต้องมาพบว่าเรื่องราวที่เจอก่อนที่จะขึ้นเขาไปนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น...
ตอนนี้ไม่เพียงแค่จ้าวเซินฝูที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
แต่ยังมีเรื่องของเมิ่งหรูซีเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
ติงมี่เซียนยังไม่ปักใจเชื่อว่าวิญญาณที่คอยหลอกหลอนผู้คนในจวนจนไม่เป็นอันกินอันนอนจะเป็นเมิ่งหรูซี
อย่างน้อยในตอนที่นางมีชีวิตอยู่ นางก็ไม่ใช่คนเลวร้าย จะบอกว่าเมื่อตายไปแล้วนางกลับกลายเป็นวิญญาณร้ายอย่างนั้นหรือ
แล้วนี่ผ่านมาเป็นสิบๆปี ทำไมเพิ่งจะมาแสดงฤทธิ์เดชเอาตอนนี้ ไม่คิดว่ามันสายไปแล้วบ้างหรือ...
"อาจจะไม่ใช่นางก็ได้นะเจ้าคะ..."
แม้ว่าติงมี่เซียนจะเกลียดชังเมิ่งหรูซีมากเพียงใด แต่นางยังไม่ปักใจว่าเป็นเมิ่งหรูซีจริงๆ อย่างหนึ่งก็เพราะเหตุผลข้างต้น แต่อีกอย่างคือนางไม่อยากสร้างความวิตกกังวลให้กับคนในจวน
เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นนาง ดังนั้นหากคิดว่าเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่มาจากที่อื่น คนในจวนจะได้ไม่ต้องคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความแค้นของอดีตฮูหยิน
และอีกเหตุผล... คือนางกำลังหลอกตัวเอง
เมิ่งหรูซีตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน เพราะอย่างนั้นวิญญาณที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าว จะต้องไม่ใช่เมิ่งหรูซีอย่างแน่นอน
ไม่มีทางที่จะเป็นนาง...
หรือหากเป็นนาง ติงมี่เซียนย่อมไม่ลังเลที่จะหาวิธีกำจัดมัน ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม...
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ