Share

บทที่ 4

last update Last Updated: 2024-11-18 12:21:28

อชิระเสยผมยุ่งๆ ที่หล่นมาปรกหน้าปรกตาแล้วก้าวลงจากเตียงทั้งๆ ที่ยังเปลือยเปล่าทว่าเท้ากลับเหยียบอะไรเข้า ชายหนุ่มเอื้อมมือลงไปหยิบก่อนจะพบว่ามันคือสร้อยข้อมือแบบถักที่มั่นใจว่าไม่ใช่ของเขาแน่นอน อชิระกำมันไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างที่ยังว่างคว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่กับพื้นห้องขึ้นมาสวม จัดการผูกปมหลวมๆ ตรงเอวแล้วเดินหาผู้หญิงคนเมื่อคืน

จุดแรกคือห้องน้ำ แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้คือประตูห้องน้ำแง้มอยู่เล็กน้อยรวมถึงเสียงก็เงียบผิดปกติบ่งบอกว่าเธอไม่ได้อยู่ในนั้น อชิระหมุนตัวกลับเป้าหมายต่อไปของเขาคือห้องรับแขกทว่าเมื่อออกมาแล้วเขากลับไม่เห็นเธอ จึงเลยไปที่ห้องครัวตามด้วยห้องนอนอีกห้องก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเช่นกัน 

“เสร็จงานแล้วก็ทิ้งกันไปดื้อๆ ไม่ลากันแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” อชิระเอ่ยกับตัวเอง ยอมรับว่าชีวิตผู้ชายหนุ่มโสดแบบเขาเคยผ่านประสบการณ์ซื้อกินแบบนี้มาบ้าง แต่ทุกครั้งฝ่ายหญิงจะบอกลาอย่างอ้อยอิ่งและเปิดโอกาสให้เขาสานต่อหากต้องการ ทว่าครั้งนี้กลับต่างออก 

เพราะฤทธิ์ของบรั่นดีที่อาจผสมบางสิ่งบางอย่างไว้ทำให้สติของเขาเมื่อคืนมีไม่เต็มร้อยนัก ส่งผลให้เขาจำใบหน้าของเธอได้ไม่ชัดเท่าที่ควร รู้แค่ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง รูปร่างของเธอเต็มไม้

เต็มมือ อกอวบเอวคอดสะโพกผาย กลิ่นกายหอมๆ ที่เขาสูดดมกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ 

แม้ภาพใบหน้าของเธอจะรางเลือนจนน่าหงุดหงิด แต่กลับสวนทางกับความรู้สึกวาบหวามที่แจ่มชัดจนถึงตอนนี้ ที่แค่คิดถึงบางส่วนบนร่างกายเขาก็ตื่นตัว 

ถ้าให้เขาเดา ดูเหมือนเธอคนนั้นก็อาจถูกวางยามาเช่นเดียวกัน เพราะขณะจูบเขาไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากโพรงปากหวานนุ่นนั่น แล้วถ้าเป็นอย่างที่เขาเดาป่านนี้เธอจะเป็นยังไงที่จู่ๆ ต้องมาขึ้นเตียงกับใครก็ไม่รู้แบบเขา อีกอย่างเมื่อคืนเขาไม่ได้ป้องกันเลยด้วย ถ้าเกิดเธอพลาดท้องขึ้นมาจะทำยังไง

ลูกของเขาทั้งคนคงปล่อยไว้ไม่ได้แน่ 

“ที่นี่มีกล้องวงจรปิดไม่ใช่หรือไง” อชิระกระตุกยิ้มตรงมุมปากออกมาพร้อมก้มมองสร้อยข้อมือที่ยังอยู่ในมือของเขา สร้อยเส้นนี้คือหลักฐานอีกชิ้นที่จะพาเขาไปถึงตัวผู้หญิงคนนั้น

 

สัมปันนีนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องน้ำ ปล่อยให้สายน้ำเย็นๆ จากฝักบัวที่เปิดไว้ไหลผ่านร่างกายไป ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำสลับเหม่อลอย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อคืนมันเลวร้ายจนรับมือไม่ไหว รู้สึกรังเกียจและขยะแขยงตัวเองเหลือเกิน 

มือสั่นเทาเอื้อมไปคว้ามีดปอกผลไม้มาถือไว้ ตั้งใจจะกรีดแขนตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอด ร่างกายที่เธอหวงแหนตอนนี้เต็มไปด้วยคราบสกปรกที่ไม่ว่าจะพยายามอาบน้ำขัดตัวสักเท่าไหร่ก็ลบหรือล้างให้สะอาดไม่ได้ เธอทำผิดอะไรทำไมถึงต้องมาเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ด้วยหรือเพราะความเชื่อใจไว้ใจโง่ๆ ของตัวเองที่มองความเลวร้ายของคนพวกนั้นไม่ออก 

ฮืออออ

เสียงสะอื้นไห้ของสัมปันนียังคงดังขึ้นต่อเนื่อง มันเจ็บปวดจนอยากตายไปจากโลกใบนี้เหลือเกิน ทว่าก่อนที่เธอจะกรีดมีดลงบนข้อมือ เสียงประตูที่ถูกถีบจากข้างนอกก็เปิดออกพร้อมเสียงกระแทกดังสนั่น 

ปัง

“แม่” สัมปันนีมองแม่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำทั้งน้ำตา ขณะที่เธออยู่ในท่าทางกำลังจะกรีดข้อมือตัวเอง  

“จะทำอะไรนะลูกหนู” วรรณีเข้าไปหาตัวลูกสาวอย่างตกใจพร้อมกับกระชากมีดจากมือของสัมปันนีมาถือไว้แล้วโยนออกไปนอกห้องน้ำทันที 

“แม่” น้ำเสียงของสัมปันนีสั่นเครือจนทำให้คนฟังใจคอไม่ดี ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยเห็นแววตาของลูกสาวที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหม่นหมองเท่าครั้งนี้มาก่อน 

“มีปัญหาอะไรก็คุยกันได้นี่ลูก ทำไมต้องคิดสั้นแบบนี้ด้วย”

“หนูไม่อยากอยู่แล้วแม่ หนูอยากตาย” สัมปันนีพร่ำบอกประโยคนี้ซ้ำๆ นั่นยิ่งทำให้หัวใจของคนเป็นแม่อย่างวรรณีสลายไปด้วย 

“ถ้าลูกตายแล้วแม่จะอยู่ได้ยังไง”

“ฮือ แม่ ช่วยหนูด้วย ฮือออ” เสียงร้องขอความช่วยเหลือของสัมปันนีช่างบีบหัวใจคนเป็นแม่อย่างวรรณีเหลือเกิน เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกสาวคนนี้ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด

แต่โลกใบนี้มันไม่ได้สวยงาม เพราะวันที่รู้ตัวว่ากำลังตั้งท้องเป็นวันเดียวกับที่พ่อของสัมปันนีกำลังจัดงานแต่งงานขึ้นเช่นกัน สุดท้ายคำสัญญาที่จะรักและแต่งงานกันก็สลายหายไปราวกับเศษเถ้าธุลี เพราะเขาเลือกที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางครอบครัวหามาให้แล้วทิ้งขว้างผู้หญิงอีกคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

วรรณีทนอยู่ไม่ได้จึงอุ้มท้องหนีและไม่เคยติดต่อทางนั้นอีกเลยจวบจนวันนี้วันที่สัมปันนีซึ่งเปรียบดั่งแก้วตาดวงใจของเธออายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ เด็กสาวแม้จะกำพร้าพ่อแต่ก็ไม่เคยโหยหาหรือถามถึงอีกฝ่ายให้คนเป็นแม่รู้สึกไม่ดีแม้แต่ครั้งเดียว 

สำหรับสัมปันนี อ้อมกอดของแม่ช่างอัศจรรย์เพราะมันช่วยดึงจิตใจของเธอที่กำลังดิ่งลงเหวถึงขั้นจะฆ่าตัวตายให้มีสติขึ้นมาได้ วรรณีไม่รู้ว่าลูกสาวคนเดียวไปพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายอะไรมา แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็พร้อมจะช่วยเหลือและพยุงให้สัมปันนีกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกที่ควร

สัมปันนีสวมกอดแม่และร้องไห้ออกมาอย่างหนักอีกครั้ง พร้อมทั้งพยายามบอกกับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะเสียน้ำตาให้คนเลวๆ พวกนั้น ที่ผ่านมาคิดเสียว่าเธอทำเวรทำกรรมไว้และถึงเวลาชดใช้ หลังจากนี้ขอให้ชีวิตเธอพบเจอแต่เรื่องดีๆ 

“ถ้าตอนนี้หนูยังไม่พร้อมที่จะเล่าก็ไม่ต้องฝืนใจนะลูก แม่รอให้หนูเข้มแข็งได้”

“ขอบคุณนะคะแม่” เอ่ยรับเสร็จสัมปันนีก็เพิ่มแรงกอดอีกนิด วรรณีลอบถอนหายใจออกมาหนักๆ ต่อให้หัวใจจะรู้สึกหนักอึ้งแต่เธอก็ต้องเข้มแข็ง 

นั่นเพราะเธอคือแม่ 

แม่ที่เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของสัมปันนี

 

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ท่านประทานขา อย่ารังแกหนู   บทที่ 32-จบ

    “คุณเป็นคนเก่ง” อชิระเอ่ยขึ้นในขณะที่เลขากำลังแสดงท่าทางบางอย่างออกมา“ค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของปลายฟ้าเอ่ยรับ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอตัดสินใจรับงานนี้ไม่ใช่เงินเดือนเป็นแสนหรือสวัสดิการพิเศษอะไร แต่คือประธานหนุ่มที่ชื่ออชิระที่พยายามยั่วเขามาหลายเดือนกลับไม่เคยสำเร็จ“แล้วทำไมถึงด้อยค่าตัวเองด้วยการทำตัวไม่น่ารักแบบนี้”“เอ้” ปลายฟ้าอุทานออกมาอย่างตกใจ“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร ครั้งนี้ผมแค่เตือน แต่ถ้าคุณไม่หยุดเราคงทำงานร่วมกันไม่ได้” อชิระไม่ใช่คนใสซื่อถึงตามไม่ทันมารยาหญิงและวิธีรับมือ“ทำไมถึงปฏิเสธฉันคะหรือว่าท่านประธานจะเป็นเกย์อย่างที่คนอื่นพูดๆ กัน” ปลายฟ้าเอ่ยถามนั่นเพราะทุกครั้งที่มีโอกาสเธอจะเข้าหาอชิระเสมอแต่ประธานหนุ่มกลับไม่ได้แสดงท่าทีสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย“เปล่าแต่ผมมีผู้หญิงที่อยากให้เกียรติทั้งต่อหน้าและลับหลัง”“เธอคนนั้นโชคดี

  • ท่านประทานขา อย่ารังแกหนู   บทที่ 31

    อชิระและสัมปันนีคบหากันได้หลายเดือน จู่ๆ ก็มีข่าวทลายซ่องโสเภณีที่ฮ่องกง โดยหนึ่งในเหยื่อที่ถูกหลอกให้ไปทำงานจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันที่นั่นคือพิจิกา แม้จะเบลอหน้าเหยื่อไว้แต่สัมปันนีก็มองออกว่าเป็นใคร ในขณะที่ข่าววงในจากอชิระก็ช่วยยืนยันว่าคือคนเดียวกันอีกด้วย“เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”“ค่ะ” สัมปันนีเอ่ยรับ อชิระดึงเธอเข้ามากอดเพราะอย่างน้อยเวลานี้พิจิกาก็กำลังรับกรรมที่ก่อไว้ แม้จะไม่ได้มาจากพวกเขาโดยตรงก็ตาม“เห็นว่าเธอติดโรคมาด้วย ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่”“กรรมค่ะ คนเราทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับแบบนั้น” เวลานี้สัมปันนีอโหสิกรรมให้พิจิกาแล้วหลังจากนี้ก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่“ผมมีอะไรให้ลูกหนูดู” เอ่ยบอกเสร็จอชิระก็พา สัมปันนีไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตอนนี้พวกเขาอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์ของชายหนุ่ม“อะไรคะ”“แบบบ้านครับ” เสียงทุ้มเฉลยนั่นทำให้สัมปันนีแปลกใจเป็นอย่างมาก

  • ท่านประทานขา อย่ารังแกหนู   บทที่ 30

    ทั้งอชิระและสัมปันนีก็ต่างเป็นคนสำคัญของกันและกัน เพราะไม่อยากให้กระทบกับหน้าที่การงานโดยเฉพาะอิชระ สัมปันนีจึงตั้งกฎว่าห้ามเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้คนอื่นรู้อย่างเด็ดขาดแม้จะไม่อยากรับปากแต่อชิระก็จำต้องทำตามกฎที่เธอกำหนดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นประธานหนุ่มก็มักจะหาโอกาสหรือจังหวะเหมาะๆ เพื่อให้ได้อยู่ตามลำพังกับสัมปันนีในที่ทำงานเสมอๆ ใช้ข้ออ้างเรื่องงานยุ่งเรื่องกาแฟหมดเพื่อให้เธอมาดูแลบ้าง แม้สัมปันนีจะรู้ทันแต่เธอกลับไม่ได้แย้งอะไร“กาแฟค่ะ” เสียงสดใสเอ่ยบอกพร้อมกับวางกาแฟหอมๆ ลงบนโต๊ะทำงานประธานหนุ่มที่เวลานี้เขาคือความรักของเธอเช่นกัน“ขอบคุณครับ อืม…ช่วงนี้งานยุ่งมาก ลูกหนูคิดว่าผมรับเลขาคนใหม่ดีไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามนั่นเพราะตอนนี้ชมดาวได้ลาออกไปแล้วส่งผลให้ประธานหนุ่มไม่ได้มีเลขาส่วนตัว เหตุผลเพราะมั่นใจว่าตนทำงานคนเดียวได้ทว่าพึ่งมาตระหนักว่าเขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะจัดการทุกอย่างงานเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเขาก็ต้องส่งให้เลขาช่วยจัดการแทน ไม่อย่างนั้นคิวงานเขาจะชนกันอย่างที่เป็นอยู่ แต่สมัยนี้การจะหาเลขาเก่

  • ท่านประทานขา อย่ารังแกหนู   บทที่ 29

    วันรุ่งขึ้นอชิระมาที่บ้านของสัมปันนีตั้งแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มอาสาขับรถไปส่งทั้งคู่ที่โรงพยาบาลท่ามกลางความสงสัยของสัมปันนี นั่นเพราะแม่ของเธอไม่ได้มีปฏิกิริยาตกใจหรือสงสัยที่จู่ๆ อชิระก็มารับแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคงเก็บความสงสัยเหล่านั้นเอาไว้ระยะเวลารอคิวที่โรงพยาบาลรัฐใช้เวลาครึ่งค่อนวันแต่อชิระก็ไม่ได้บ่นหรือแสดงท่าทางหงุดหงิดอะไร แต่เพราะอยากให้วรรณีได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้เขาจึงเสนอทางเลือกให้ ซึ่งทั้งคู่กลับปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอนั้นอชิระจึงมัดมือชกจัดการเปลี่ยนโรงพยาบาลจากรัฐไปเอกชนทันที“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้โอม” ขณะนั่งรอเรียกพบหมอวรรณีก็เอ่ยขึ้น“ผมเต็มใจครับ อีกอย่างลูกเขยดูแลแม่ยายจะเป็นไรไป” อชิระยิ้มออกมา ซึ่งประโยคนี้สัมปันนีไม่ได้ยินเพราะเธอเดินไปซื้อน้ำ แต่พอกลับมาก็คอยสังเกตคนทั้งคู่มาตลอดหลังจากเก็บความสงสัยมาตั้งแต่เช้าในที่สุดก็เอ่ยถามออกไป“แม่รู้จักท่านประธานมาก่อนหรือเปล่าคะ”“ตอบยังไงดีล่ะทีนี้” วรรณีหันมองมาที่อชิระราวก

  • ท่านประทานขา อย่ารังแกหนู   บทที่ 28

    “ฉันต้องกลับบ้านแล้ว” สัมปันนีพยายามคุมโทนเสียงอย่างมากเพื่อไม่ให้สั่นสะท้านไปกับสัมผัสของอชิระ แต่ดูเหมือนประธานหนุ่มจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เพราะนอกจากลูบไล้เขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นขย้ำหน้าอกอวบอิ่มของเธอเบาๆ“ท่านประธาน…อา” เสียงครางกระเส่าดังมาจากคนในอ้อมกอด เธอเผลอส่งเสียงที่ทำให้อชิระตื่นตัวแบบนี้เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้านได้ยังไง“ลูกหนูกำลังทำให้ผมหลง”“หนูเปล่า” สัมปันนีขบเม้มริมฝีปากอิ่มแล้วเผลอเอ่ยแทนตัวเองด้วยชื่อนั่นกลับยิ่งทำให้อชิระยิ่งลูบไล้เธอมากขึ้น “สีหน้ายั่วๆ แบบนี้ เสียงกระเส่าแบบนี้ มันทำร้ายผมมากรู้ไหม เพราะฉะนั้นลูกหนูต้องรับผิดชอบ”“ท่านประธาน”“ทำไมถึงยังเรียกผมว่าท่านประธาน” เสียงทุ้มเอ่ยถาม“หนูอยากเรียก ในที่ทำงานหนูจะเรียกคุณว่าท่านประธาน”“แล้วนอกเวลางานจะเรียกว่าอะไร”“เอ่อ…” สัมปันนีอึกๆ อักๆ ทันที ใบหน้าหวานแดงก่ำ“ว่าไงจะเรียกว่าอ

  • ท่านประทานขา อย่ารังแกหนู   บทที่ 27

    “จะโกรธคุณ ฉันจะไปจากคุณ ฉันจะฆ่า…คุณ”“จะทำแบบนั้นกับผมจริงๆ นะเหรอลูกหนู” ขณะเอ่ยถามอิชระก็เร่งจังหวะนิ้วให้ถี่กระชั้นยิ่งขึ้น “ไม่ค่ะ ฉันไม่ทำ ได้โปรดอย่างทรมานฉันแบบนี้อีกเลย” สัมปันนีครางกระเส่าออกมา ดูเหมือนว่าเวลานี้เธอไม่อาจต่อรองอะไรกับอชิระได้ทั้งนั้น เธอต้องรังเกียจสัมผัสจากเขาไม่ใช่โหยหาอย่างที่เป็นอยู่ แต่ไม่ว่าจะบอกตัวเองยังไงร่างกายและหัวใจกลับไม่ทำตามคำตอบที่ได้ยินทำให้อชิระยิ้ม ชายหนุ่มเลื่อนกายขึ้นมาทาบทับบนร่างเปลือยของสัมปันนี เขาเองก็อดทนมามากพอแล้วเช่นกัน ทั้งคู่สบตากันก่อนที่อชิระจะมอบจูบให้เธออีกครั้งพร้อมกับค่อยๆ บดเบียดสะโพกสอบเข้าหาแล้วใช้หัวเข่าดันขาทั้งสองข้างของสัมปันนีให้แยกห่างออกจากกันจากนั้นก็ค่อยๆ แทรกตัวฝากฝังความเป็นชายที่เวลานี้ตื่นตัวอย่างเต็มที่ให้เธอ ความคับแน่นก่อเกิดเป็นความเจ็บที่ทำให้สัมปันนีสะดุ้ง แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เธอก็ยังใหม่อยู่มาก“เจ็บใช่ไหม”“ค่ะ” สัมปันนีเอ่ยรับอย่างไม่ปิดบัง อชิระจึงเพิ่มความนุ่มนวลให

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status