อวิ๋นฝูหลิงตรวจดู จมูกของเด็กไม่มีน้ำคร่ำอุดตัน แล้วก็มองหว่างขาของเด็กแวบหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายเด็กออกจากน้ำคร่ำของมารดา ราวกับรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ก็ร้องไห้อุแว้ๆ เสียงดังทันทีแต่ว่าเสียงกลับเบากว่าเด็กทารกทั่วไปแม้ไม่ได้เสียงดังมาก แต่ทุกคนที่รออยู่นอกห้องคลอดยังได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กทารกชั่วขณะฉู่หมิงตะลึงเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางฮูหยินฉู่ กล่าวอย่างเหม่อลอย “ท่านแม่ ท่านได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?”ฮูหยินฉู่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กเช่นกันแต่นี่ก็เร็วเกินไปแล้วตั้งแต่พวกเขาเข้าไปจนถึงตอนนี้ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลยนี่ก็คลอดแล้ว?พระชายาคังจวิ้นอ๋องกล่าวอย่างตื่นเต้น “เป็นเสียงร้องไห้ของเด็ก!”“คลอดแล้ว คลอดแล้ว!”“แต่ไม่รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?”เมื่อได้ยินเสียงรอบข้าง ฉู่หมิงมั่นใจแล้วว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ได้หูฝาดลูกของเขาเกิดแล้ว!ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข ตื่นเต้นจนจะวิ่งเข้าห้องคลอดโชคดีที่ฮูหยินฉู่ดึงเขาไว้ทันเวลา“เจ้ารีบร้อนอะไร รอเฉยๆ ก่อน!”รอในห้องคลอดจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว หมอตำแยต้องอุ้มเด็กออกมาให้พวกเขาดูแน่น
ฮูหยินฉู่กับพระชายาคังจวิ้นอ๋องอุ้มเด็กคนละคน ยิ้มตาหยีจนเห็นฟันฝาแฝดชายหญิง!คราวนี้มีลูกชายลูกสาวครบแล้วฮูหยินฉู่นึกถึงพุทธองค์ในใจ สกุลฉู่มีผู้สืบทอดแล้วกลับไปนางก็เขียนจดหมาย บอกข่าวดีนี้ให้กับสามีที่อยู่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือรู้ถ้าหากสามีรู้ว่าเขามีหลานชายและหลานสาวในคราวเดียว ไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหน!พระชายาคังจวิ้นอ๋องอุ้มเด็กไว้ อิ่มเอมใจมากเช่นกันทั้งชีวิตของผู้หญิง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องมีลูกของตัวเองลูกสาวให้กำเนิดชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชีวิตที่เหลือไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนึกถึงลูกสาว พระชายาคังจวิ้นอ๋องอดไม่ได้ที่จะชูคอมองเข้าไปในห้องคลอดลูกเกิดแล้ว เหตุใดในห้องคลอดยังไม่มีการเคลื่อนไหว?คังจวิ้นอ๋องยืนอยู่ที่ด้านข้างพระชายาคังจวิ้นอ๋อง ประเดี๋ยวดูหลานชาย ประเดี๋ยวดูหลานสาว มองอย่างไรก็รักอย่างนั้นเพราะเด็กทั้งสองคลอดก่อนกำหนด ไม่เพียงน้ำหนักตัวเบากว่าเด็กทารกที่คลอดปกติ เสียงร้องไห้ก็อ่อนมากดังนั้นฮูหยินฉู่จึงเชิญหมอหลวงจงช่วยตรวจดูเด็กทั้งสองคนหลังจากหมอหลวงจงตรวจเสร็จ เด็กสองคนนี้นอกจากคลอดกำหนด ร่างกายอ่อนแอ ก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่นอีกวันข้างหน้าดูแลอ
“คนเข้าไปในห้องคลอดเยอะเกินไปไม่ได้ พวกท่านลองปรึกษากันก่อน ทางที่ดีช่วงนี้กำหนดคนที่เข้าออกได้สองสามคน คนอื่นพยายามอย่าเข้าใกล้ห้องคลอด”“ก่อนที่จะเข้าไปทุกครั้ง คนที่ถูกกำหนดต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รักษาความสะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้นำเชื้อโรคเข้าไปติดบาดแผล”“ไม่เช่นนั้นถ้าหากบาดแผลติดเชื้อ จะอักเสบจนเสียชีวิตได้”แม้ฉู่หมิงและคนอื่นไม่รู้ว่าเชื้อโรคและติดเชื้อที่อวิ๋นฝูหลิงพูดคืออะไร แต่ก็พอจะเข้าใจความหมายคร่าวๆ แล้วฮูหยินฉู่ตอบทันที “พวกเราเข้าใจแล้ว”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวอีก “รอหลังจากนางฟื้น พวกท่านอย่าเพิ่งให้นางกินอะไร”“คืนนี้ข้าจะอยู่ดูแลนางเอง”อวิ๋นฝูหลิงยินดีอยู่ต่อ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับสกุลฉู่ฮูหยินฉู่กล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าตื้นตันเมื่อเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของอวิ๋นฝูหลิง นางกล่าวทันที “วันนี้ลำบากพระชายาแล้ว เรือนเล็กอวี้หลานที่อยู่ข้างๆ มีเข้าของที่จำเป็นครบทุกอย่าง หากพระชายาไม่รังเกียจ สามารถไปพักที่เรือนเล็กอวี้หลานก่อนได้”ฮูหยินฉู่สั่งให้หัวหน้าสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย ส่งอวิ๋นฝูหลิงไปเรือนเล็กอวี้หลาน อวิ๋นฝูหลิงผ่าตัดนานเช่นนี้ ก็เริ่มเหนื่อยแล้วจริงๆนาง
อวิ๋นฝูหลิงลุกขึ้นล้างหน้า ก็ไปที่ห้องคลอดแล้วฮูหยินน้อยฉู่ฟื้นแล้ว กำลังสนทนากับพระชายาคังจวิ้นอ๋องและยังหันไปมองฝาแฝดชายหญิงที่วางอยู่ข้างกายนางเป็นระยะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจเมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิงมา คนในห้องหันไปมองนางพร้อมกันอวิ๋นฝูหลิงเดินเข้าไปถามไถ่ฮูหยินน้อยฉู่สองสามคำ เมื่อเห็นนางมีสติดี ก็ยื่นมือไปกดท้องของนาง ขับน้ำคาวปลาออกไปให้เร็วที่สุดแม้ก่อนอวิ๋นฝูหลิงกดได้บอกฮูหยินน้อยฉู่แล้ว จะได้ให้นางเตรียมใจไว้ก่อนแต่ฮูหยินน้อยฉู่ก็ยังรู้สึกเจ็บมากอวิ๋นฝูหลิงกดไปสองสามที เมื่อเห็นฮูหยินน้อยเจ็บมาก เริ่มจะทนไม่ไหว จึงหยุดแล้วฮูหยินน้อยฉู่รู้สึกดีขึ้นจึงกล่าวถาม “พระชายาอี้อ๋อง ข้าสามารถกินได้ตอนไหน?”นางเริ่มอดอาหารตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ตอนนี้ทั้งเจ็บทั้งหิ้วอวิ๋นฝูหลิงกล่าว “เมื่อไรที่เจ้าขับลมแล้ว ก็สามารถกินได้เมื่อนั้น”“ขับลม?” ฮูหยินน้อยฉู่งงงายอวิ๋นฝูหลิงอธิบายตรงๆ ทันที “ก็คือผายลมนั่นแหละ”ฮูหยินน้อยฉู่หน้าแดงทันทีคนอื่นที่อยู่ภายในห้องก็อึดอัดเล็กน้อยอวิ๋นฝูหลิงกลับดูเฉยๆหลังจากนางตรวจดูอาการของฮูหยินน้อยฉู่และให้คำแนะนำทางการแพทย์ ก็ไ
ทว่าโอวหยางหมิงกับนายท่านผู้เฒ่าหางสบตากันแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง อาจารย์ของพวกเขามีฝีมือการแพทย์ที่ไร้เทียมทาน ไม่มีใครสามารถเทียบได้ตอนที่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีความคิดที่แปลกประหลาดมากมายพวกเขายังเคยเห็นบันทึกเล่มหนึ่งของอาจารย์ ข้างบนนั้นก็ได้เขียนฝีมือการแพทย์ที่เพ้อฝันอย่างการเปลี่ยนเลือด การผ่าเย็บท้องต่างๆเพียงแต่อาจารย์เคยลองพยายามอยู่นาน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยต่อมาอาจารย์ก็ผิดหวังหมดกำลังใจ ดื่มเหล้าเมามาย หัวเราะเยาะตัวเองเพ้อฝันหลังจากตื่น อาจารย์ก็ไม่เคยทำการทดลองพวกนั้นอีกเลย บันทึกเล่มนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกเขาเอาไปโยนทิ้งที่ไหนแล้วฝีมือการแพทย์ที่แม้แต่อาจารย์ก็ทำไม่สำเร็จ อวิ๋นฝูหลิงไปเรียนรู้กับผู้วิเศษท่านหนึ่งได้อย่างไร?ผู้วิเศษ?หรือเป็นผู้วิเศษของเกาะเย่าหวัง?อาจารย์ก็มาจากเกาะเย่าหวัง ฝีมือการแพทย์ของเขาก็เรียนมาจากเกาะเย่าหวังเพียงแต่เกาะเย่าหวังในสายตาคนทั่วไป ก็เหมือนกับเป็นแค่ตำนานมีเพียงผู้ที่ถูกลิขิต จึงจะสามารถเข้าสู่เกาะเย่าหวังไม่ว่าเจ้าป่วยเป็นโรคอะไร ขอแค่ไปถึงเกาะเย่าหวัง ก็สามารถได้รับการรักษาแต่ไม่
หลังมื้ออาหารเย็น อวิ๋นฝูหลิงก็เดินเล่นอยู่ในสวนรอบหนึ่ง และถือโอกาสไปดูฮูหยินน้อยฉู่ที่ห้องคลอดหลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ฮูหยินน้อยฉู่ก็เริ่มรู้สึกปวดบาดแผลบนท้องขึ้นมาแรกเริ่มราวกับมีบางสิ่งคั่นอยู่ชั้นหนึ่ง ความเจ็บปวดไม่ได้รุนแรงมากถึงเพียงนั้นหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เจ็บมากขึ้นทุกที ก่อนฮูหยินน้อยฉู่จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหวฉู่หมิงเห็นเช่นนั้น ก็กำลังจะให้คนไปเชิญอวิ๋นฝูหลิง ใครจะรู้ว่าทันใดนั้นเองอวิ๋นฝูหลิงจะมาพอดี“พระชายาอี้อ๋อง” ฉู่หมิงประสานมือโค้งคำนับ กล่าวด้วยสีหน้าวิตก “ท่านรีบมาดูนางเถิด นางเริ่มร้องว่าเจ็บเมื่อช่วงเย็น ตอนนี้ความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”อวิ๋นฝูหลิงก้าวไปด้านหน้าเพื่อตรวจสอบครู่หนึ่ง“เป็นเพราะยาชาหมาเฟ่ยซ่านค่อย ๆ หมดฤทธิ์ ดังนั้นนางจึงรู้สึกเจ็บบาดแผลบนท้องมากขึ้นเรื่อยๆ”“นี่เป็นอาการปกติ โดยทั่วไปหลังผ่านไปเจ็ดวัน ความเจ็บปวดเช่นนี้ก็จะทุเลาลง หลังจากผ่านไปประมาณสิบวันก็จะแทบไม่เจ็บปวดแล้ว”ฮูหยินน้อยฉู่ได้ยินว่าต้องเจ็บปวดไปอีกนับสิบวัน ก็รู้สึกไม่ดีไปทั้งร่างเพราะตอนนี้นางไม่เพียงแต่เจ็บปวดอย่างยิ่งยวด ทว่ายังหิวมากด้วยตั้งแต่เมื่อวานตอนเย
อวิ๋นฝูหลิงตรวจสอบอาการของฮูหยินน้อยฉู่รอบหนึ่งแล้ว ก็ยังกำชับเรื่องการผายลมอีกครา และปล่อยให้หมอหญิงซุนดูแลอยู่ข้าง ๆ ต่อ จึงกลับมาพักผ่อนที่เรือนเล็กอวี้หลานก่อนจากไป นางกำชับกับหมอหญิงซุนว่า “หากมีเรื่องอันใด ก็ให้คนไปเรียกข้าทันที”สามวันแรกหลังการผ่าตัดเป็นช่วงวิกฤต ตราบใดที่ผ่านสามวันนี้ไปได้อย่างราบรื่น อาการของฮูหยินน้อยฉู่ก็จะคงที่ โดยพื้นฐานก็แทบจะไม่มีปัญหาอันใดแล้วหมอหญิงซุนตอบรับอย่างสุภาพยามที่อวิ๋นฝูหลิงกลับมายังเรือนเล็กอวี้หลาน เซียวจิ่งอี้ก็กำลังดูบางสิ่งอยู่ใต้แสงไฟอวิ๋นฝูหลิงเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่าเหมือนจะเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง“ดูสิ่งใดอยู่หรือ?”อวิ่นฝูหลิงเกิดความคิดที่อยากแกล้งคนขึ้น จึงยื่นมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมานางไม่ได้อ่านเนื้อหาบนกระดาษ แต่เขย่ากระดาษในมือ พลางกล่าวหยอกเย้าว่า “ตั้งใจอ่านถึงเพียงนี้ ในนี้มีความลับอันใดที่ให้ข้ารู้ไม่ได้อยู่หรือไม่?”เซียวจิ่งอี้มองนางด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีความลับที่ไม่อาจให้เจ้ารู้ได้เสียที่ไหน?”อวิ๋นฝูหลิงหยอกล้อเขาต่อ “เช่นมีสาวงามคนใด หรือมีจดหมายรัก?”“ไม่กี่วันก่อนท่านไปงานเลี้ยงมา มิใช่ว่าระหว่างงานเลี้
เซียวจิ่งอี้มองไปทางอวิ๋นฝูหลิง“ข้าส่งลูกน้องไปจับตาดูพวกโอวหยางหมิง”“เจ้าอยากฟังด้วยกันหรือไม่?”อวิ๋นฝูหลิงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ท่านส่งคนไปจับตาดูพวกท่านปู่โอวหยางเพราะเหตุใด?”ทันทีที่กล่าวออกมา อวิ๋นฝูหลิงก็ตอบสนองออกมาโดยพลันหากวันนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลังจริง ย่อมมีช่องโหว่อยู่ในบรรดาพวกโอวหยางหมิงยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นช่องโหว่ที่เปิดได้ง่ายที่สุดถึงอย่างไรจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินก็มีองครักษ์แน่นหนา คนแปลกหน้าสักคนจะบุกเข้ามาถึงห้องคลอด ก็มิใช่เรื่องง่ายถึงเพียงนั้นฮูหยินฉู่จัดการเรื่องในจวนได้เป็นอย่างดี คนรับใช้ในจวนต่างก็มีความซื่อสัตย์ภักดี ไม่ใช่เรื่องง่ายหากคิดจะติดสินบนแต่พวกโอวหยางหมิงต่างออกไปใครจะรับรองได้ว่าในบรรดาพวกเขาจะไม่ถูกซื้อตัวไป?ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นฝูหลิงยังไหว้วานโอวหยางหมิงว่าต้องการหมอหญิงสี่คนจากสำนักหมอหลวงด้วยแรกเริ่มอวิ๋นฝูหลิงต้องการผู้ช่วยเพียงสองคน คิดไม่ถึงว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่องเพราะเหตุนี้นางจึงขอเพียงเป็นหมอหญิงที่มีความละเอียดรอบคอบ และมีคุณธรรมส่วนพื้นเพของพวกนาง ก็ไม่ได้ชัดเจนนักยังมีหมอหลวงจง ที่เขามาโดยไม่ได้
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ