มู่เลี่ยงหรงเดินนำนางไปยังท่าน้ำที่มีเรือลำเล็กเทียบอยู่ ซิ่นเฉิงรีบไปจัดการคลายเชือก แล้วประคองเรือไว้ไม่ให้โคลงเคลงยามนายทั้งสองก้าวลงไปครั้นเห็นองครักษ์หนุ่มตั้งท่าจะลงมาด้วย ท่านอ๋องหนุ่มก็ร้องห้ามเสียก่อน แน่นอนว่าเยี่ยนเยว่ฉีจำต้องให้ซูจิ้งรอนางอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของเขาด้วย บุรุษชุดเทาจึงรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลสาวใช้ตัวน้อยของนางให้ดีลำเรือไม่ได้เล็กมากนักจึงนั่งได้สบาย บุตรสาวแม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ฉินอ๋องทำให้นางแปลกใจอีกแล้ว เพราะเขาพายเรือเก่งมาก ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษผู้ที่มีแต่คนปรนนิบัติจะสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตนเองอย่างไม่ขัดเขินด้วยฝีพายแคล่วคล่อง ในที่สุดทั้งสองก็ลอยออกมายังกลางทะเลสาบ เยี่ยนเยว่ฉีมองกลับไปจึงพบว่าออกมาไกลมากจนไม่อาจมองเหตุการณ์บนฝั่งได้ถนัด“เสี่ยวเยว่ เจ้ามัวแต่มองหาสิ่งใดอยู่ มิใช่ว่าอยากจะออกมาเก็บดอกบัวที่งามที่สุดหรือ”“พวกเราออกมาไกลมากทีเดียว หากเกิดเหตุอันใดขึ้น เกรงว่าองครักษ์จะมาช่วยเหลือไม่ทัน” แม้บิดาจะสอนนางว่ายน้ำ แต่ก็แค่พอเอาตัวรอดได้เท่านั้น ตรงนี้ค่อยข้างอยู่ไกลฝั่ง หญิงสาวย่อมหวาดหวั่นในใจ“อย่าได้กังวล ข้าว่
“เสี่ยวเยว่...เสี่ยวเยว่ของข้า” เขาพึมพำแผ่วเบาก่อนจะจุมพิตนางอย่างลึกซึ้ง ลิ้นอุ่นโลมลิ้มชิมริมฝีปากนุ่มไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะค่อย ๆ แทรกลึกเพื่อชิมรสนหวานเมื่อนางเผยอตอบรับอย่างเต็มใจเยี่ยนเยว่ฉีครางเบา ๆ ในลำคอ ถึงจะถูกเขาพร่ำสอนมาแล้วหลายครั้งก็ตามที แต่ลิ้นเรียวเล็กยังคงสั่นระริก นางพยายามสนองตอบลิ้นที่รุกเร้าเข้ามาอย่างเงอะงะ แขนเรียวงามค่อย ๆ เลื่อนขึ้นโอบลำคออีกฝ่าย ปลายนิ้วสอดแทรกลูบไล้ไรผมของชายหนุ่มอย่างลืมตัว ยิ่งกระตุ้นให้เขารุ่มร้อนมากกว่าเดิม มู่เลี่ยงหรงโหมจูบดูดดื่มหนักกว่าเก่า จังหวะเกี่ยวกระหวัดเร่งเร้ารุนแรงราวพายุโหมกระหน่ำ ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง เอวเล็กและสะโพกอันกลมกลึง เขาอยากจะกระชากอาภรณ์ที่ปิดกั้นสัมผัสเหล่านี้ให้หลุดออกไปให้หมดก่อนสติสัมปชัญญะที่มีจะขาดผึง บุรุษผู้ร้อนแรงพลันผละริมฝีปากออกอย่างเสียมิได้ ทั้งสองสบตาของกันและกัน ลมหายใจของแต่ละฝ่ายหอบกระชั้นราดรดกันไปมา ต่างคนต่างรู้สึกว่ายังไม่พอ แต่ก็ไม่อาจกระทำตามใจไปมากกว่านี้มู่เลี่ยงหรงคลายอ้อมกอดที่รัดแน่นอย่างไม่เต็มใจนัก เยี่ยนเยว่ฉียังคงอ่อนระทวยจากรสจูบเมื่อครู่ นางจึงพิงซบอกบุรุษไม่ไปไหน นั
“เฮ้อ ท่านอ๋องต้องให้กระหม่อมพูดสินะ” เยี่ยนจิ้นหลิงถอนหายใจ “ไล่องครักษ์จอมลามกกับองครักษ์เงาอีกสิบกว่าคนนั้นออกไปด้วย กระหม่อมไม่หาญกล้าสังหารฉินอ๋องที่นี่หรอก”“หึ! พวกเขาแค่ทำหน้าที่ หากเจ้าไม่ได้มีแผนร้ายก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอันใด” อย่างไรมู่เลี่ยงหรงก็ไม่อาจวางใจบุรุษรูปงาม ทว่านัยน์ตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมายผู้นี้ได้ลง“ถ้ากระหม่อมเป็นท่านอ๋องละก็ จะไม่มีทางให้ผู้ชายพวกนั้นอยู่ในนี้”“เรื่องมากจริง ก็แค่ทำพิธีบวงสรวงธรรมดาเท่านั้นเองนี่” มู่เลี่ยงหรงไม่ยอมลงให้เยี่ยนจิ้นหลิงง่าย ๆ จะไม่ให้เขาระมัดระวังเจ้าคนโรคจิตนี้ได้อย่างไร อีกฝ่ายอาจจะหาทางกลั่นแกล้งอะไรอีกก็เป็นได้เยี่ยนจิ้นหลิงเคลื่อนกายอย่างว่องไว ไม่นานก็ไปหยุดยืนด้านหน้าของฉินอ๋องผู้ดื้อดึง จากนั้นก็เอ่ยวาจาให้ได้ยินกันเพียงสองคน“หากท่านอ๋องต้องการให้คนเหล่านั้นมองเยว่ฉีเปลือยกาย จิ้นหลิงก็จนใจแล้ว”“อะไรนะ ไม่มีทางเสียหรอก”“เช่นนั้นก็ได้โปรดไล่พวกเขาออกไปให้ไกล วันนี้เป็นวันสำคัญ พระจันทร์จะขึ้นกลางถ้ำศักดิ์สิทธิ์พอดิบพอดี หากพ้นราตรีนี้แล้ว เกรงว่าท่านอ๋องคงต้องรอให้กระหม่อมทำพิธีในปีหน้า ซ้ำยังไม่รู้ว่าเสร็จแล้วจะมี
“ถ้าผู้ทำพิธีแปดเปื้อน หรือเผยสายสนกลในคาถาที่กระหม่อมร่ายไว้จะเสื่อม และหากท่านอ๋องไม่สามารถรักษาข้อห้ามเหล่านี้ได้ ก็เท่ากับทุกอย่างในคืนนี้สูญเปล่า ต้องมาเริ่มทำพิธีกันใหม่ในปีหน้า”“เราเข้าใจแล้ว” มู่เลี่ยงหรงจำต้องรับคำและทำตามเยี่ยนจิ้นหลิง“เรื่องสุดท้าย ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นการรักษากาย ท่านอ๋องต้องเปิดถุงเครื่องรางนั่นออก แล้วทำตามคำสั่งในกระดาษให้เสร็จสิ้น เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็สมบูรณ์”“เราจะทำตามที่เจ้าบอกทุกอย่าง หวังว่าจบเรื่องนี้แล้วจวนฉินอ๋องคงได้รับข่าวดี”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ จิ้นหลิงรับรอง”“อืม ความจริงเจ้าก็ไม่ใช่คนเลวอะไรนี่” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยอย่างเสียมิได้“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” เยี่ยนจิ้นหลิงยิ้มจนตาหยี“เอาเถิด เปิ่นหวางขอไปดูคู่หมั้นได้หรือไม่ เมื่อครู่เราหนาวจนแทบขาดใจ นางเป็นเพียงสตรีจะต้านทานไหวหรือ”“เชื่อกระหม่อมเถิด นางสบายดี”“ถ้าเราไม่เห็นกับตาย่อมไม่มีวันวางใจได้”เมื่อเห็นว่าฉินอ๋องเป็นห่วงน้องสาวของตนเองจริง ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจึงเปล่งเสียงเรียกนาง “น้องเล็กแต่งกายเสร็จหรือยัง ท่านอ๋องทรงเป็นห่วงเจ้า ออกมาให้เขาพบตัวเสียหน่อย”เยี่ยนเยว่ฉีเยื้องกรายออก
จวนฉินอ๋องบุปผานานาพันธุ์ต่างแย่งกันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งจวน บรรดาข้ารับใช้ นางกำนัลต่างทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม นำผ้าไหม ม่านมุ้ง และเครื่องเรือนมาตากแสงแดดเพื่อขับไล่ความอับชื้นมู่เลี่ยงหรงอยู่ในห้องหนังสือของเรือนหลัก ปรายสายตามองกองหนังสือราชกิจด้วยแววตาอันเฉยชา เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักกลับไม่มีแก่จิตแก่ใจจะสะสางงานของตนให้แล้วเสร็จแม้แต่น้อย ทั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานมาตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเฉิน จนบัดนี้ล่วงเข้ายามอู่ ก็ยังไม่ได้แตะต้องสิ่งที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ โดยปกติแล้วเขาเป็นผู้เอาการเอางาน เจ้าของตำแหน่งผู้แทนพระองค์ไม่เคยปล่อยให้เอกสารกองท่วมจนแทบจะไม่มีที่ว่างเช่นนี้มาก่อนเสียงเคาะนิ้วดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในหัวคิดคำนึงว่าหลังพิธีสะเดาะเคราะห์ของคู่หมั้นที่วัดสือคูล่วงเลยไปสิบเจ็ดราตรีแล้วแรกเริ่มเดิมทีมู่เลี่ยงหรงคิดว่าคงเป็นเรื่องยากเอาการที่จะรักษากายให้บริสุทธิ์เป็นแรมเดือน ด้วยรอบตัวมีสตรีมากมายรายล้อมนับสิบ ทั้งนางกำนัลที่ถวายตัว รวมไปถึงคนที่ส่งสัญญาณว่ายินดีจะอุ่นเตียงให้เขาเพิ่ม ไหนจะพระชายารองทั้งสามที่คอยเอาอกเอาใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกเ
“เปิ่นหวางเข้าใจแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปที่เรือนของตนเองก่อน เปิ่นหวางยังไม่พร้อม” มู่เลี่ยงหรงดึงมือของนางออกจากกายของตนอย่างเสียมิได้เฉิงจื่อหรูเอียงศีรษะพร้อมจดจ้องท่านอ๋องเขม็ง ดวงตาดุจกวางน้อยสอดส่ายไปตามเรือนกายบุรุษ และบริเวณที่ตนลูบไล้เมื่อครู่ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใด ๆ บังเกิดอารามตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย“ไม่พร้อมหรือเพคะ”“อืม” มู่เลี่ยงหรงยืดกายขึ้นนั่งและคว้าฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ส่วนอีกมือหนึ่งก็หยิบพู่กันขึ้นมาขีดเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ “เปิ่นหวางจะทำงานต่อแล้ว เจ้ากลับออกไปเถิด”“เพคะ” สตรีในชุดสีม่วงหยิบถ้วยกระเบื้องที่ว่าเปล่าขึ้นมาในมือ จากนั้นจึงเยื้องกรายออกไปจากห้องหนังสือ นางยังคงหันกลับมามองฉินอ๋องอีกสองสามครั้งก่อนจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูในที่สุดเรือนเหมยฮวา จวนฉินอ๋องลู่เหมยหลันกับลู่เหมยหลิน พระชายารองฝาแฝดของฉินอ๋องกำลังเดินหมากอย่างสนุกสนาน ใบหน้างดงามของทั้งสองเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ถ้าไม่ใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับย่อมไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด แต่หากอาศัยการสังเกตก็พอจะแยกแยะความแตกต่างของทั้งคู่ได้บ้าง เพราะลู่เหมยหลินคนน้องจะมีไฝเล็ก ๆ ตรงบริเวณใต
แผ่นดินใหญ่ปู้จิ่นฉีอันไกลโพ้นสงครามระหว่างแคว้นหานและแคว้นเป่ยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นหนึ่ง ต่อมาแคว้นหานได้ส่งแม่ทัพผู้กร้าวแกร่งแห่งตระกูลเยี่ยนเข้าสู่สนามรบ ด้วยสืบสายเลือดตระกูลนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มห้าวหาญดุดันบุกตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้วในที่สุดก็มีชัยเหนือแคว้นเป่ยหลังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแคว้นเป่ยหยุดยกทัพโจมตีแคว้นหานนานราวสิบปี ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันโดยไม่ประมาทปราการที่กั้นขวางทั้งสองแคว้นไว้คือแนวเขาลืมทุกข์กับแม่น้ำลืมเลือน แม้จะสงบศึกกันอยู่แต่ก็ยังปรากฏเหตุความไม่สงบก่อตัวขึ้นบ้างตามแนวชายแดน มีการบุกปล้น ลอบทำร้ายกองทหารลาดตระเวนของแคว้นหานเป็นระยะ ทหารแคว้นเป่ยมักลอบเข้ามาดักซุ่มแบบกองโจร ถึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก่อให้เกิดความหวาดวิตกแก่ราษฎรผู้อาศัยอยู่ในเมืองหน้าด่านเป็นอย่างมากเมื่อเหตุการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง แม่ทัพตระกูลเยี่ยนผู้เกรียงไกรย่อมต้องแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ยามนั้นเยี่ยนหยาง
บุตรชายคนรองของตระกูลนามว่าเยี่ยนจิ้นหลิง วัยยี่สิบสองปี เขามีลักษณะแตกต่างจากบิดาและพี่ชายจนน่าตกใจ หากเยี่ยนหยางจงมีลักษณะของยอดนักรบ เยี่ยนจิ้นหลิงก็คงเรียกได้ว่ามีลักษณะของยอดบัณฑิต ร่างสูงโปร่งห่อหุ้มด้วยอาภรณ์แพรไหมสีขาว จุดเด่นสะดุดตาคือผมเงินเป็นเงางามปล่อยสยายไปด้านหลัง รูปโฉมสง่างาม ท่วงท่ากริยาสุภาพ นัยน์ตาดอกท้อเต็มเปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึกบางอย่าง เขางดงามราวเทพเซียน อาวุธประจำกายมิใช่ทวนหนักแปดสิบชั่ง หากแต่คือมันสมอง เยี่ยนจิ้นหลิงรั้งตำแหน่งกุนซือของกองทัพตระกูลเยี่ยน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร์การทำนายอย่างหาตัวจับได้ยาก ด้วยความงดงามและดูลึกลับ บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเขาทั้งสิ้น ไม่มีใครตำหนิเรื่องผมสีเงินที่ดูแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไป กลับมองว่าเขาเป็นเทพเซียนมาจุติ ทุกครั้งที่กุนซือหนุ่มเข้าเมือง มักจะพบเห็นคุณหนูใจกล้าพากันมาดักรอพบหน้า หากอายเสียหน่อยก็ให้คนเอาจดหมายมาให้แทน แต่บุรุษผมเงินมักจะเปรยเสมอว่า ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่แต่งฮูหยิน เขาก็ไม่อาจแต่งงานได้บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเยี่ยนเยว่ฉี เป็นดรุณีวัยแรกแย้มงดงาม กิริยามารยาทงามสง่าตรึงใจผู้พบเห็น ถูกอบรมตามแบบฉ
“เปิ่นหวางเข้าใจแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปที่เรือนของตนเองก่อน เปิ่นหวางยังไม่พร้อม” มู่เลี่ยงหรงดึงมือของนางออกจากกายของตนอย่างเสียมิได้เฉิงจื่อหรูเอียงศีรษะพร้อมจดจ้องท่านอ๋องเขม็ง ดวงตาดุจกวางน้อยสอดส่ายไปตามเรือนกายบุรุษ และบริเวณที่ตนลูบไล้เมื่อครู่ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใด ๆ บังเกิดอารามตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย“ไม่พร้อมหรือเพคะ”“อืม” มู่เลี่ยงหรงยืดกายขึ้นนั่งและคว้าฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ส่วนอีกมือหนึ่งก็หยิบพู่กันขึ้นมาขีดเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ “เปิ่นหวางจะทำงานต่อแล้ว เจ้ากลับออกไปเถิด”“เพคะ” สตรีในชุดสีม่วงหยิบถ้วยกระเบื้องที่ว่าเปล่าขึ้นมาในมือ จากนั้นจึงเยื้องกรายออกไปจากห้องหนังสือ นางยังคงหันกลับมามองฉินอ๋องอีกสองสามครั้งก่อนจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูในที่สุดเรือนเหมยฮวา จวนฉินอ๋องลู่เหมยหลันกับลู่เหมยหลิน พระชายารองฝาแฝดของฉินอ๋องกำลังเดินหมากอย่างสนุกสนาน ใบหน้างดงามของทั้งสองเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ถ้าไม่ใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับย่อมไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด แต่หากอาศัยการสังเกตก็พอจะแยกแยะความแตกต่างของทั้งคู่ได้บ้าง เพราะลู่เหมยหลินคนน้องจะมีไฝเล็ก ๆ ตรงบริเวณใต
จวนฉินอ๋องบุปผานานาพันธุ์ต่างแย่งกันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งจวน บรรดาข้ารับใช้ นางกำนัลต่างทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม นำผ้าไหม ม่านมุ้ง และเครื่องเรือนมาตากแสงแดดเพื่อขับไล่ความอับชื้นมู่เลี่ยงหรงอยู่ในห้องหนังสือของเรือนหลัก ปรายสายตามองกองหนังสือราชกิจด้วยแววตาอันเฉยชา เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักกลับไม่มีแก่จิตแก่ใจจะสะสางงานของตนให้แล้วเสร็จแม้แต่น้อย ทั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานมาตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเฉิน จนบัดนี้ล่วงเข้ายามอู่ ก็ยังไม่ได้แตะต้องสิ่งที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ โดยปกติแล้วเขาเป็นผู้เอาการเอางาน เจ้าของตำแหน่งผู้แทนพระองค์ไม่เคยปล่อยให้เอกสารกองท่วมจนแทบจะไม่มีที่ว่างเช่นนี้มาก่อนเสียงเคาะนิ้วดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในหัวคิดคำนึงว่าหลังพิธีสะเดาะเคราะห์ของคู่หมั้นที่วัดสือคูล่วงเลยไปสิบเจ็ดราตรีแล้วแรกเริ่มเดิมทีมู่เลี่ยงหรงคิดว่าคงเป็นเรื่องยากเอาการที่จะรักษากายให้บริสุทธิ์เป็นแรมเดือน ด้วยรอบตัวมีสตรีมากมายรายล้อมนับสิบ ทั้งนางกำนัลที่ถวายตัว รวมไปถึงคนที่ส่งสัญญาณว่ายินดีจะอุ่นเตียงให้เขาเพิ่ม ไหนจะพระชายารองทั้งสามที่คอยเอาอกเอาใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกเ
“ถ้าผู้ทำพิธีแปดเปื้อน หรือเผยสายสนกลในคาถาที่กระหม่อมร่ายไว้จะเสื่อม และหากท่านอ๋องไม่สามารถรักษาข้อห้ามเหล่านี้ได้ ก็เท่ากับทุกอย่างในคืนนี้สูญเปล่า ต้องมาเริ่มทำพิธีกันใหม่ในปีหน้า”“เราเข้าใจแล้ว” มู่เลี่ยงหรงจำต้องรับคำและทำตามเยี่ยนจิ้นหลิง“เรื่องสุดท้าย ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นการรักษากาย ท่านอ๋องต้องเปิดถุงเครื่องรางนั่นออก แล้วทำตามคำสั่งในกระดาษให้เสร็จสิ้น เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็สมบูรณ์”“เราจะทำตามที่เจ้าบอกทุกอย่าง หวังว่าจบเรื่องนี้แล้วจวนฉินอ๋องคงได้รับข่าวดี”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ จิ้นหลิงรับรอง”“อืม ความจริงเจ้าก็ไม่ใช่คนเลวอะไรนี่” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยอย่างเสียมิได้“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” เยี่ยนจิ้นหลิงยิ้มจนตาหยี“เอาเถิด เปิ่นหวางขอไปดูคู่หมั้นได้หรือไม่ เมื่อครู่เราหนาวจนแทบขาดใจ นางเป็นเพียงสตรีจะต้านทานไหวหรือ”“เชื่อกระหม่อมเถิด นางสบายดี”“ถ้าเราไม่เห็นกับตาย่อมไม่มีวันวางใจได้”เมื่อเห็นว่าฉินอ๋องเป็นห่วงน้องสาวของตนเองจริง ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจึงเปล่งเสียงเรียกนาง “น้องเล็กแต่งกายเสร็จหรือยัง ท่านอ๋องทรงเป็นห่วงเจ้า ออกมาให้เขาพบตัวเสียหน่อย”เยี่ยนเยว่ฉีเยื้องกรายออก
“เฮ้อ ท่านอ๋องต้องให้กระหม่อมพูดสินะ” เยี่ยนจิ้นหลิงถอนหายใจ “ไล่องครักษ์จอมลามกกับองครักษ์เงาอีกสิบกว่าคนนั้นออกไปด้วย กระหม่อมไม่หาญกล้าสังหารฉินอ๋องที่นี่หรอก”“หึ! พวกเขาแค่ทำหน้าที่ หากเจ้าไม่ได้มีแผนร้ายก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอันใด” อย่างไรมู่เลี่ยงหรงก็ไม่อาจวางใจบุรุษรูปงาม ทว่านัยน์ตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมายผู้นี้ได้ลง“ถ้ากระหม่อมเป็นท่านอ๋องละก็ จะไม่มีทางให้ผู้ชายพวกนั้นอยู่ในนี้”“เรื่องมากจริง ก็แค่ทำพิธีบวงสรวงธรรมดาเท่านั้นเองนี่” มู่เลี่ยงหรงไม่ยอมลงให้เยี่ยนจิ้นหลิงง่าย ๆ จะไม่ให้เขาระมัดระวังเจ้าคนโรคจิตนี้ได้อย่างไร อีกฝ่ายอาจจะหาทางกลั่นแกล้งอะไรอีกก็เป็นได้เยี่ยนจิ้นหลิงเคลื่อนกายอย่างว่องไว ไม่นานก็ไปหยุดยืนด้านหน้าของฉินอ๋องผู้ดื้อดึง จากนั้นก็เอ่ยวาจาให้ได้ยินกันเพียงสองคน“หากท่านอ๋องต้องการให้คนเหล่านั้นมองเยว่ฉีเปลือยกาย จิ้นหลิงก็จนใจแล้ว”“อะไรนะ ไม่มีทางเสียหรอก”“เช่นนั้นก็ได้โปรดไล่พวกเขาออกไปให้ไกล วันนี้เป็นวันสำคัญ พระจันทร์จะขึ้นกลางถ้ำศักดิ์สิทธิ์พอดิบพอดี หากพ้นราตรีนี้แล้ว เกรงว่าท่านอ๋องคงต้องรอให้กระหม่อมทำพิธีในปีหน้า ซ้ำยังไม่รู้ว่าเสร็จแล้วจะมี
“เสี่ยวเยว่...เสี่ยวเยว่ของข้า” เขาพึมพำแผ่วเบาก่อนจะจุมพิตนางอย่างลึกซึ้ง ลิ้นอุ่นโลมลิ้มชิมริมฝีปากนุ่มไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะค่อย ๆ แทรกลึกเพื่อชิมรสนหวานเมื่อนางเผยอตอบรับอย่างเต็มใจเยี่ยนเยว่ฉีครางเบา ๆ ในลำคอ ถึงจะถูกเขาพร่ำสอนมาแล้วหลายครั้งก็ตามที แต่ลิ้นเรียวเล็กยังคงสั่นระริก นางพยายามสนองตอบลิ้นที่รุกเร้าเข้ามาอย่างเงอะงะ แขนเรียวงามค่อย ๆ เลื่อนขึ้นโอบลำคออีกฝ่าย ปลายนิ้วสอดแทรกลูบไล้ไรผมของชายหนุ่มอย่างลืมตัว ยิ่งกระตุ้นให้เขารุ่มร้อนมากกว่าเดิม มู่เลี่ยงหรงโหมจูบดูดดื่มหนักกว่าเก่า จังหวะเกี่ยวกระหวัดเร่งเร้ารุนแรงราวพายุโหมกระหน่ำ ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง เอวเล็กและสะโพกอันกลมกลึง เขาอยากจะกระชากอาภรณ์ที่ปิดกั้นสัมผัสเหล่านี้ให้หลุดออกไปให้หมดก่อนสติสัมปชัญญะที่มีจะขาดผึง บุรุษผู้ร้อนแรงพลันผละริมฝีปากออกอย่างเสียมิได้ ทั้งสองสบตาของกันและกัน ลมหายใจของแต่ละฝ่ายหอบกระชั้นราดรดกันไปมา ต่างคนต่างรู้สึกว่ายังไม่พอ แต่ก็ไม่อาจกระทำตามใจไปมากกว่านี้มู่เลี่ยงหรงคลายอ้อมกอดที่รัดแน่นอย่างไม่เต็มใจนัก เยี่ยนเยว่ฉียังคงอ่อนระทวยจากรสจูบเมื่อครู่ นางจึงพิงซบอกบุรุษไม่ไปไหน นั
มู่เลี่ยงหรงเดินนำนางไปยังท่าน้ำที่มีเรือลำเล็กเทียบอยู่ ซิ่นเฉิงรีบไปจัดการคลายเชือก แล้วประคองเรือไว้ไม่ให้โคลงเคลงยามนายทั้งสองก้าวลงไปครั้นเห็นองครักษ์หนุ่มตั้งท่าจะลงมาด้วย ท่านอ๋องหนุ่มก็ร้องห้ามเสียก่อน แน่นอนว่าเยี่ยนเยว่ฉีจำต้องให้ซูจิ้งรอนางอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของเขาด้วย บุรุษชุดเทาจึงรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลสาวใช้ตัวน้อยของนางให้ดีลำเรือไม่ได้เล็กมากนักจึงนั่งได้สบาย บุตรสาวแม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ฉินอ๋องทำให้นางแปลกใจอีกแล้ว เพราะเขาพายเรือเก่งมาก ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษผู้ที่มีแต่คนปรนนิบัติจะสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตนเองอย่างไม่ขัดเขินด้วยฝีพายแคล่วคล่อง ในที่สุดทั้งสองก็ลอยออกมายังกลางทะเลสาบ เยี่ยนเยว่ฉีมองกลับไปจึงพบว่าออกมาไกลมากจนไม่อาจมองเหตุการณ์บนฝั่งได้ถนัด“เสี่ยวเยว่ เจ้ามัวแต่มองหาสิ่งใดอยู่ มิใช่ว่าอยากจะออกมาเก็บดอกบัวที่งามที่สุดหรือ”“พวกเราออกมาไกลมากทีเดียว หากเกิดเหตุอันใดขึ้น เกรงว่าองครักษ์จะมาช่วยเหลือไม่ทัน” แม้บิดาจะสอนนางว่ายน้ำ แต่ก็แค่พอเอาตัวรอดได้เท่านั้น ตรงนี้ค่อยข้างอยู่ไกลฝั่ง หญิงสาวย่อมหวาดหวั่นในใจ“อย่าได้กังวล ข้าว่
“ท่านอ๋องเชิญ” เฟิงหลี่จื้อผายมือไปทางประตู เขาให้เกียรติผู้สูงศักดิ์เข้าสู่ห้องโถงก่อนมู่เลี่ยงหรงหันไปสบตาคู่หมั้นสาวแล้วโอบประคองนางผ่านธรณีประตูเข้าไปพร้อมกัน พอถึงด้านใน อ๋องหนุ่มก็ปล่อยนาง ทุกอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและให้เกียรติ เยี่ยนเยว่ฉียิ้มพรายยอบกายคำนับขอบคุณฉินอ๋อง บุรุษสูงศักดิ์ก้าวเท้าไปเบื้องหน้า ร่างระหงงดงามเยื้องกรายตามแผ่นหลังไปสู่หน้าพระประธานเฟิงหลี่จื้อมองตามเงาร่างทั้งสองด้วยใจหม่นหมอง สิ่งที่ประจักษ์ในสายตาเขาคือภาพของคู่สวรรค์สร้างโดยแท้เยี่ยนเยว่ฉีไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้วแต่นางคือว่าที่ฉินหวางเฟยแต่ถึงจะรู้สึกเช่นนั้น หัวใจของเฟิงหลี่จื้อกลับไม่ยินยอม จอหงวนหนุ่มสืบข่าวมาได้ว่าฉินอ๋องบังคับขู่เข็นจะวิวาห์กับเยี่ยนเยว่ฉีให้ได้ แต่สตรีที่เขาแอบมีใจพยายามหลีกเลี่ยงการแต่งงาน เป็นไปได้ว่าภาพทุกอย่างที่ตนเองกำลังมองอยู่นั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด นางอาจกำลังหวาดกลัวจึงต้องรักษากิริยาต่อหน้าคู่หมั้นที่ทรงอำนาจ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมตัดใจเป็นอันขาดหนึ่งสตรีกับสองบุรุษจุดธูปอธิฐานต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ต่างคนต่างภาวนา ไม่มีเสียงใดเล็ดล
มู่เลี่ยงหรงอดคิดไม่ได้ ชายผู้นี้กลัวเลือดจะเปื้อนกาย แต่กลับกระหายการฆ่าฟันเสียยิ่งกว่านักรบ เขาไม่ต้องออกแรงก็สามารถทำให้คนดับสิ้น จากนั้นก็ดื่มด่ำกับผลลัพธ์อย่างภาคภูมิ‘ไอ้จิ้งจอกโรคจิต’ ผู้เป็นอ๋องสบถในใจ แต่ไม่พูดออกมาตามตรง“เราไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า อย่างไรเสียอีกหน่อยก็ต้องนับญาติกัน จงวางเรื่องบาดหมางเล็กน้อยนั่นลง แล้วส่งเสริมเรากับเยี่ยนเยว่ฉีได้หรือไม่” เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะเป็นศัตรูกับบุรุษโรคจิต จึงหวังว่าการยอมถอยหนึ่งก้าวในครั้งนี้จะทำให้กุนซือผมสีเงินให้ฤกษ์แต่งงานมาเสียที“จิ้นหลิงขอกล่าวตามตรง ยังไม่มีฤกษ์มงคลในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขอให้ท่านอ๋องรอคอยกำหนดการจากกระหม่อมอย่างใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าต้องการอะไรเพื่อแลกเปลี่ยน หากเราสามารถหาให้ได้ก็จะจัดการอย่างไม่รีรอ”“กระหม่อมไม่ได้ต้องการสิ่งใด แต่หากท่านอ๋องประสงค์จะกำหนดการแต่งงานให้เร็วขึ้น เมื่อถึงวัดประจำราชวงศ์ก็พอจะมีทางแก้ไขดวงชะตาของฉีเอ๋อร์ พิธีปัดเป่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ถึงเวลานั้นขอเพียงท่านอ๋องให้ความร่วมมือก็เพียงพอ”“เราตกลง” มู่เลี่ยงหรงรับคำหนักแน่น“กระหม่อมจดจำไว้แล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงอมยิ
ขณะที่ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย มู่เลี่ยงหรงได้ลอบสาบานในใจ หากถึงวันร่วมหอของทั้งสองเมื่อใด เขาจะกดนางเอาไว้ใต้ร่างตลอดทั้งราตรี จะใช้เพลิงรักแผดเผาโฉมสะคราญจนมอดไหม้เป็นลูกไฟดวงแล้วดวงเล่า จนกว่าสตรีผู้ยั่วเย้าจะสิ้นสติไปพร้อมกับความปริ่มเปรม“หากเจ้ามอบจุมพิตให้ยามเราพบกัน เช่นนี้ข้าคงมีแรงให้อดทนรอคอยได้บ้าง”“พอได้แล้วเพคะ ท่านอ๋องเรียกร้องขอกินเต้าหู้มากเกินไป แบบนี้หม่อมฉันมีแต่ขาดทุน”“ก็มันช่างหวานอร่อยยิ่ง พอรู้ตัวอีกที ข้าก็กลายเป็นคนตะกละไปเสียแล้ว”“ท่านอ๋องเพคะ เยว่ฉีหนาวแล้ว เรารีบออกไปจากห้องนี้กันเถิด” นางแสร้งเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เขาคลายกำหนัด หากขืนปล่อยตัวปล่อยใจต่อไปอีกนิด เกรงว่าท่านอ๋องจะตบะแตกไปเสียก่อนมู่เลี่ยงหรงผละออกจากร่างบาง มือทั้งสองรีบคว้าชุดที่กองอยู่บนพื้นยื่นให้เยี่ยนเยว่ฉี จากนั้นก็หันมาสวมอาภรณ์ของตนเองอย่างชำนาญ ไม่น่าเชื่อว่าแม้ไม่มีนางกำนัลปรนนิบัติ เขาก็ไม่มีอาการเงอะงะแม้แต่น้อย ซ้ำยังรีบมาช่วยคู่หมั้นสาวใส่เสื้อผ้าสตรีได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่นานนักร่างเปลือยเปล่าของนางก็กลับมาอยู่ชุดสีขาวงดงามอีกครั้ง“ท่านอ๋องดูคุ้นเคยกับการสวมชุดให้สตรี” ส