ได้ยินเสียงพี่ชายเอ่ยทักจากด้านหลัง เยี่ยนเยว่ฉีจึงถอนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อออกจากขลุ่ยหยกอย่างแช่มช้า นางหันหลังกลับมามองพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้ารูปแตงปรากฏรอยยินดี นางช่างงดงามน่าทะนุถนอมยิ่ง
“พี่รอง...” เยี่ยนเยว่ฉีกล่าวทักทาย
“อีกเจ็ดวันพวกเราต้องเข้าวังไปงานเลี้ยงชมดอกเหมย” เยี่ยนจิ้นหลิงเดินเข้าไปในศาลา เขานั่งลงเคียงข้างน้องสาว “เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องแสดงความสามารถหน้าพระพักตร์ อย่าให้เสียชื่อท่านพ่อเป็นอันขาด”
“พี่รองอย่าได้กังวล เยว่ฉีจะแสดงสุดความสามารถเจ้าค่ะ ไม่มีทางทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
“ฉีเอ๋อร์....ลำบากเจ้าแล้ว”
“ลำบากอันใดแค่ไปงานเลี้ยง ไม่ได้ไปขึ้นเขียงสักหน่อย” ดรุณีน้อยคลี่ยิ้มหยอกล้อพี่ชายที่ทำท่าทางเคร่งครึม
“น้องเล็กเจ้าฟังคำข้าให้ดี งานชมดอกเหมยครานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า เจ้าจะได้แต่งงานในไม่ช้า ตามชะตา ชื่อของเจ้าจะได้จารึกในแผนผังราชวงศ์ แต่พี่คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ไม่อาจแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ได้อีกแล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงตัดสินใจบอกนางให้รู้คำทำนาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากกล่าวถึง แต่ก็อดเป็นห่วงน้องสาวสุดที่รักไม่ได้ สู้ให้นางรับรู้และเตรียมใจไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า
ผู้เป็นพี่ยื่นมือออกไปจับบ่าทั้งสองข้างของน้องสาวแล้วบีบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน ชายหนุ่มรับรู้ถึงกล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้นเล็กน้อย
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ พี่รองโปรดวางใจ ข้าเยี่ยนเยว่ฉียินดีอุทิศตนเพื่อตระกูลเยี่ยนของเราเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเรียบ พยายามข่มกลั้นความเสียใจ ใช่ว่านางเป็นสตรีในห้องหอแล้วจะไม่รู้ความอันใด เพื่อควบคุมกองทัพตระกูลเยี่ยนการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ง่ายดายที่สุด
“เพียงแต่...เยว่ฉีเคยหวังว่าจะได้แต่งงานกับชายที่ตนเองเลือก” นางพึมพำเสียงเบาหวิว หยดน้ำเริ่มเอ่อคลอบนดวงตา คิ้วงามราวกับถูกวาด บัดนี้กลับขมวดมุ่น สีหน้าของนางยามนี้พาให้คนปวดใจตามด้วยความสงสาร เยี่ยนจิ้นหลิงจึงดึงน้องสาวมากอดไว้แนบอก มือข้างหนึ่งลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาก้มลงมองใบหน้าอันเศร้าสร้อยแล้วยกชายแขนเสื้ออีกข้างขึ้นเช็ดน้ำตาให้ ดวงตาเข้มส่งประกายคมกล้ากล่าวคำมั่นแก่น้องสาวที่ตนรักยิ่ง
“เจ้าไม่ต้องเศร้าใจไป แม้ฟ้าจะถล่มลงมา ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และข้าจะช่วยเจ้าแบกรับเอาไว้เอง”
บุรุษผมสีเงินถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงชะตากรรมของน้องสาว งานนี้นอกจากจะทำให้ตระกูลต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับปัญหาของราชวงศ์แล้ว ยังนำพาให้น้องสาวของตนพบเนื้อคู่อีกด้วย ความจริงเขาไม่ควรต้องมากังวลเรื่องพรรค์นี้ แต่ชายผู้นั้นดันมีชะตาดอกท้อ[1] มากภรรยา แถมดวงยังแข็งข่มผู้อื่นจนวุ่นวาย
‘มารดามันเถอะ’
น้องสาวของเขาจะทนแบ่งปันความรักกับหญิงอื่นได้อย่างไร ตนไม่มีทางให้นางได้รับความทุกข์ใจจนเป็นไปตามโชคชะตาเป็นอันขาด เขาจะต้องขจัดอุปสรรคเหล่านั้นเพื่อนางให้จงได้
ผ่านไปสักครู่ เยี่ยนเยว่ฉีก็เริ่มข่มใจหยุดร้องไห้ในที่สุด เมื่อเยี่ยนจิ้นหลิงเห็นน้องสาวตั้งสติได้ก็เบาใจ กุนซือหนุ่มจึงกล่าวลาแล้วรีบเดินทางออกจากจวนทันที โดยไม่ได้บอกผู้ใดทั้งสิ้นว่าจะไปที่แห่งหนไหน
เมื่อพี่ชายคนรองเดินจากไปแล้ว เยี่ยนเยว่ฉีได้แต่นั่งเหม่อมองผิวน้ำสีเทาหม่นภายในสระบัวเบื้องหน้าอยู่เงียบ ๆ
วสันตฤดูกำลังจะมาเยือนทำให้น้ำแข็งที่เคยฉาบอยู่จนหนาละลายหายไปจนสิ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปทุมมาผลิบานให้เห็น ช่างคล้ายกับจิตใจของตนเองในยามนี้ยิ่งนัก
มันทั้งหนาวเหน็บและไร้ชีวิตชีวา…
สายลมปลายเหมันตฤดูพัดผ่านร่างงามระหง จนผมสีดำสนิทดุจราตรีพลิ้วไหวน้อย ๆ โฉมสะคราญปรายสายตามองไปยังขอบฟ้าทางทิศใต้ นัยน์ตาดอกท้อที่เคยหวานหยาดเยิ้มกลับไม่สดใสดั่งวันวาน เยี่ยนเยว่ฉีพลันคิดถึงมารดาของตนอย่างสุดหัวใจ หากยามนี้มีเยี่ยนฮูหยินอยู่เคียงข้าง นางก็ยังมีที่ปรึกษาและปรับทุกข์ อีกทั้งคงได้รับการปลอบประโลมเป็นอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของสตรีผู้ให้กำเนิด
เมื่อไม่มีมารดาอยู่ด้วย ก็มีแต่ต้องอดทนและเข้มแข็งเข้าไว้ ถึงแม้พี่ชายคนรองจะบอกว่าชายผู้นั้นเป็นเนื้อคู่ของนางก็ตามที แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตหลังแต่งงานจะมีความสุขเสมอไป
ตัวอย่างอันน่าอดสูก็มีให้เห็นตั้งมากมาย สตรีหลายคนต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างในเรือนหลัง เพราะพวกนางถูกสามีลืมเลือน
ยิ่งแต่งกับผู้สูงศักดิ์ซึ่งมีอนุภรรยานับสิบ โอกาสที่จะทุกข์ทรมานก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ จะไม่ให้คนกังวลใจได้อย่างไร ถึงแม้นางจะมีรูปโฉมงดงามกว่าสตรีอื่นอยู่บ้าง แต่ความสาวย่อมโรยราไปตามกาลเวลา แล้วถ้าหากบุรุษผู้นั้นเป็นคนมากภรรยาเล่า นางมิต้องใช้ชีวิตม่ายทั้งที่ยังเป็นสาวหรอกหรือ
เยี่ยนเยว่ฉีเผลอกัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ มือขาวผ่องกำขลุ่ยพลิ้วพรายเอาไว้แน่น รู้สึกย่ำแย่ที่ต้องเกิดเป็นสตรี ด้วยตนเองต้องยึดถือหลัก ‘สามเชื่อฟัง สี่จรรยา’ อย่างเคร่งครัด จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งการตัดสินใจของบิดาและพี่ชายทั้งสอง
โฉมสะคราญอึดอัดใจจนอยากหาที่ระบาย จึงเหน็บขลุ่ยหยกเอาไว้ที่ข้างเอว จากนั้นดรุณีในชุดสีขาวขลิบฟ้าจึงสาวเท้านำสาวใช้คนสนิทไปยังลานฝึกยุทธ์
[1] ชะตาดอกท้อ หมายถึง ผู้มีดวงชะตาเด่นในเรื่องความรัก
ส่วนฮองเฮานั่งจิบชาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งที่ในใจลอบตำหนิแม่สามีที่พูดจาเอาแต่ใจ โดยไม่สนพระทัยสักนิดว่าเรื่องนี้ควรพูดออกมาตอนนี้หรือไม่ หากมู่เลี่ยงหรงต้องการจะให้จ้าวกุ้ยอินมาเป็นเป็นหวางเฟยแล้วละก็ คงไม่รอให้ไทเฮาเสนอมู่เลี่ยงหรงหยุดรอชายาที่หน้าตำหนัก ความจริงตนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนางไว้ที่ตรงนั้น แต่ด้วยกำลังบังเกิดโทสะจึงต้องรีบจากมาก่อนเรื่องราวจะแย่ลง เพียงไม่นานนักเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินออกมาจากประตูตำหนัก หญิงสาวมองผู้เป็นสามีอย่างเข้าอกเข้าใจ“ท่านอ๋องเรากลับกันเถิด”“อ้ายเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า”“วางใจเถิด หวางเฟยของท่านเป็นคนที่มีเหตุผล” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหยอกเย้าหวังให้เขาสบายใจ“ข้าไม่มีทางรับใครเข้าจวนอีก” เขารีบอธิบาย เพราะกลัวว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะเข้าใจผิด“ดูพูดเข้า หากเป็นพระราชโองการ หรือพระเสาวนีย์อย่างไรท่านก็ขัดมิได้อยู่”“เสด็จพี่มีรับสั่งจะไม่บังคับข้าอีก”“แต่ไทเฮาไม่ได้ทรงรับปากท่านอ๋องนี่”“เป็นดั่งเจ้าว่า แต่ถ้าเสด็จแม่ยังคงดื้อดึง เรื่องนี้คนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน”“หากนางได้แต่งกับท่านสมใจ จะมีแต่ความ
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงจุดจอดรถม้าของวังหลวงซิ่นเฉิงขานเรียกผู้เป็นนาย ส่วนซูจิ้งก็จัดการวางขั้นบันไดข้างรถม้า ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จากันแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งที่ต้องเดินเคียงกันไปตลอดทางเป็นองครักษ์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว คิดว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยกับซูจิ้งให้รู้เรื่องรู้ราว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่จวนเดียวกัน หากนางเป็นอนุบ่าวของเยี่ยนจิ้นหลิงจริง เหตุใดจึงตามหวางเฟยมาเล่า เขาจะต้องถามความให้กระจ่าง หากแม้ไม่มีวาสนาต่อกันก็ยินดีจะล่าถอย ไม่ใช่เดาสุ่มเอาเองเช่นนี้ เมื่อตกลงใจได้เขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน‘คืนนี้ล่ะ ซาลาเปาน้อย ข้าจะต้องรู้ความจริงให้จงได้’มู่เลี่ยงหรงต้องพาเยี่ยนเยว่ฉีไปถวายพระพรไทเฮา หนทางจากจุดจอดรถม้าไม่ใกล้เลย ซ้ำไทเฮายังเลือกเวลาให้ทั้งสองมาเข้าเฝ้ายามตะวันตรงศีรษะ ที่น่าแปลกคือไม่มีเกี้ยวสำหรับสตรีมารับ กว่าจะถึงตำหนักของพระนาง ฉินอ๋องกับหวางเฟยต้องเดินเท้าเป็นเวลาราวหนึ่งก้านธูปเมื่อทั้งสองถึงที่หมายก็เห็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ครั้นนางเห็นมู่เลี่ยงหรงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที จากนั้นจึงเดินนำบุคคลทั้งคู่เข้าส
พ่อบ้านใหญ่รับคำแล้วจัดการสั่งงานลูกน้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่วงท่าและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลัง เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นก็นึกชื่นชม มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงวางใจคนหนุ่มผู้นี้ให้รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ดูท่าทางนางคงไม่ต้องเหนื่อยยากอย่างที่คิดมู่เลี่ยงหรงให้พ่อบ้านใหญ่กับมามาทั้งสี่ถอยออกไปได้ ก่อนถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป“พวกเจ้าเข้ามาคารวะน้ำชาหวางเฟยเถิด”พอสิ้นเสียงคำสั่ง สตรีโฉมงามสามนางก็เดินนำหน้าหญิงสาวอีกสิบกว่าคนเข้ามาภายในห้องโถง เยี่ยนเยว่ฉีมองไปยังพระชายารองทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสงบที่สุด ถึงแม้จะรู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้างกับจำนวนสตรีที่ถวายตัวให้มู่เลี่ยงหรงแต่มิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ‘บัดซบ! เยอะขนาดนี้เชียว’เยี่ยนเยว่ฉีตั้งใจเอาไว้ว่าหากพวกนางไม่ได้แสดงตัวเป็นปรปักษ์ ตนเองก็จะไม่กระทำการรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นมู่เลี่ยงหรงแนะนำชายารองทั้งสามด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการกังวลหรือตกประหม่าให้เห็น แต่ภายในใจกลับก็รู้สึกหนักอึ้งเพราะเกรงว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะยังรับเรื่องฮูหยินอีกสิบเอ็ดคนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยิ้มละไม ไม่มีอาการกระอั
“อ้ายเฟย สี่คนนี้คือนางกำนัลที่ข้าคัดสรรมาให้ ข้ารับรองว่าพวกนางทำงานดีและมีความรอบรู้ หากเจ้าต้องการทราบเรื่องใดในจวน พวกนางสามารถแนะนำจัดหาให้เจ้าได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชิงหรู นางดูแลห้องข้างของข้ามาหลายปี”เยี่ยนเยว่ฉีหรี่นัยน์ตามองชิงหรูอย่างเสียมิได้ พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือนางกำนัลที่เตรียมน้ำอุ่นมาให้เมื่อคืน นางหน้าตาสะสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำดูยั่วยวน ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่ง รูปร่างงามระหงสมส่วน มีเสน่ห์ดึงดูดใจบุรุษมากทีเดียวมู่เลี่ยงหรงที่ลอบสังเกตอยู่พบว่าเยี่ยนเยว่ฉีกำลังกินน้ำส้มอยู่ เขากลั้วหัวเราะเบา ๆ จนนางต้องหันมาค้อนผู้เป็นสามีทีหนึ่ง“ชิงหรูไม่ได้ถวายตัวให้ข้า”“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดท่านเสียหน่อย” หวางเฟยบ่นพึมพำเมื่อถูกจับได้“ก็ข้าอยากบอกเจ้านี่” ฉินอ๋องไม่ต้องการทำให้พระชายาคนงามต้องรู้สึกเสียหน้าจึงพูดแก้เก้อให้เสร็จสรรพ“เยว่ฉีทราบแล้ว” นางพอใจที่ท่านอ๋องไว้หน้าตนมู่เลี่ยงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของหวางเฟย เหล่านางกำนัลรีบทำตามประสงค์ของเจ้านาย เยี่ยนเยว่ฉียอมรับว่าผู้ที่มู่เลี่ยงหรงคัดสรรค์มาให้นางนั้นทำ
อ๋องหนุ่มฝืนลุกจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าชุดคลุมเอามาใส่อย่างลวก ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทของนางให้มาช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายของสตรี เยี่ยนเยว่ฉีมองตามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนไปซูจิ้งเข้ามาภายในห้องหอ นางยอบกายคำนับฉินอ๋องที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้ยาวริมหน้าต่างที่ห้องชั้นนอก เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่โบกมือเป็นสัญญาณให้นางเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีในห้องนอนซูจิ้งเดินผ่านกองชุดวิวาห์ที่ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ หรือว่าฉินอ๋องทำรุนแรงกับนายหญิงของตน‘แย่แล้วคุณหนูของข้า’ สตรีร่างเล็กแทบจะวิ่งเข้าไปที่หน้าเตียง ภาพที่เห็นคือเยี่ยนเยว่ฉีนั่งเอาผ้าห่มปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ มีคราบน้ำตาอาบบนแก้ม แต่ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียใจแม้แต่น้อย“คุณหนู ไม่ใช่สิ หวางเฟยเป็นอันใดไปเพคะ”“เรื่องสุดวิสัยของสตรี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยเสียงเย็นคำตอบของเยี่ยนเยว่ฉีทำให้ซูจิ้งโล่งอก มิน่าเล่าฉินอ๋องถึงได้ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้น มีเนื้ออยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน“เช่นนั้นลงมาจากเตียงก่อนเพคะ ซูจิ้งจะได้ปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”“อืม”
แม้แทบจะไม่เหลืออาภรณ์ติดกาย ทว่าเยี่ยนเยว่ฉีกลับร้อนรุ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นเพลิงในกาย เพื่อให้เขากับนางแนบสนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงจึงขยับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาตน และด้วยการบังคับขยับนี้เยี่ยนเยว่ฉีจึงต้องตวัดขาเรียวยาวโอบรอบสะโพกสอบของเขาเอาไว้ แล้วคล้องแขนกับลำคอเพื่อเป็นหลักยึด ฝ่ามือร้อนของบุรุษลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน เมื่อพบกับปมเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ก็กระตุกออกอย่างเบามือ อุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดจนสิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของเทพธิดาแสนสวยในอ้อมกอดแสงจากเทียนมงคลคู่สีแดงวูบไหว อาบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ยิ่งทำให้เยี่ยนเยว่ฉีงดงามราวรูปสลักอันไร้รอยตำหนิ ช่างสูงค่าคู่ควรให้ทะนุถนอม‘วิเศษยิ่งนัก ยอดรักของข้า’ดวงตาลากไล้สำรวจเทพธิดาในอ้อมกอด ยิ่งมองยิ่งพบว่าเรือนกายของนางช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลทุกสัดส่วน ร่างระหงยั่วยวนน่าสัมผัสไปทุกตารางนิ้ว ไม่ว่ามือจะลูบไล้ไปตรงที่ใด ผิวกายขาวผ่องดุจแสงจันทร์กระจ่างก็เรียบลื่นนุ่มละมุนมือ มู่เลี่ยงหรงแทบลืมหายใจเมื่อแลเห็นปทุมถันอวบอิ่มเต็มตา ยอดสีหวานชูชันท้าทายให้ครอบครองยิ่งนัก ชายห