กระโปรงปักลายดอกโบตั๋นพลิ้วไหวไปตามจังหวะเยื้องย่าง ทุกกิริยางดงามอ่อนช้อยดังเทพธิดาจันทราสมกับชื่อของนางอย่างแท้จริง
แม้ตามธรรมเนียมสตรีไม่ควรออกมาอวดโฉมให้บุรุษมากมายขนาดนี้พบเห็นก็ตาม แต่ตระกูลเยี่ยนให้บุตรสาวฝึกขี่ม้ายิงธนูอยู่เป็นประจำ ทำให้บางครั้งทหารผู้โชคดีจะได้พบคุณหนูเล็กที่ลานฝึกยุทธ
ทหารองครักษ์ทั้งหลายเมื่อเห็นบุตรสาวผู้งามเลิศล้ำของท่านแม่ทัพใหญ่พาร่างอรชรเดินเข้ามา ต่างก็แอบชำเลืองมองอย่างอดมิได้
ยามนางใช้นิ้วงามดุจลำเทียนขึ้นลูบปิ่นปักผม จนทำให้แขนเสื้อกว้างไหลลงจนแลเห็นแขนขาวเรียวเล็ก เท่านี้ก็เพียงพอให้พวกเขาลืมหายใจ แต่ละคนต่างตะลึงงันจนร่างกายแข็งค้างราวกับรูปปั้นหิน แต่ถึงกระนั้นทหารทั้งหลายต่างไม่กล้าทำกิริยารุ่มร่ามใดมากไปกว่านี้ด้วยรู้ฐานะของตนเป็นอย่างดี
เยี่ยนหยางจงปรายสายตาตามเหล่าบุรุษที่กำลังใจลอย จึงพบกับตัวต้นเหตุที่มาแทรกแซงการฝึก รองแม่ทัพหนุ่มกระแอมดัง ๆ หนึ่งทีเพื่อเรียกสติของผู้ใต้บังคับบัญชากลับมา
“เก็บลูกตาของเจ้าไว้มองภรรยาในอนาคตจะดีกว่า มีสมาธิกันหน่อย มิเช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปชายแดน” รองแม่ทัพหนุ่มสะบัดแส้หนังลงกับพื้น เสียงเส้นสายสีดำหวีดกรีดอากาศดังพรึบ องครักษ์ทั้งหมดหันขวับกลับมาฝึกตนต่ออย่างขะมักเขม้น ไม่กล้ามองธิดาของท่านแม่ทัพใหญ่อีกแม้แต่แวบเดียว
ผู้เป็นพี่ใหญ่หันไปยิ้มให้น้องสาวคนสวยอย่างอ่อนโยน ท่าทีดุดันเมื่อครู่หายไปสิ้น เหลือเพียงคราบคุณชายที่แสนใจดีและสุภาพ
“ฉีเอ๋อร์ร์มาหาพี่ถึงนี่มีอะไรหรือ” ริมฝีปากของเขาเหยียดออกเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด มือแกร่งสะบัดเพียงเล็กน้อยแส้ก็กลับม้วนเก็บเข้าที่ตรงข้างเอวสอบ นัยน์ตาเหยี่ยวที่คมปลาบเมื่อครู่ บัดนี้เหลือเพียงประกายฉายแววรักใคร่เอ็นดู
“พี่ใหญ่ ข้าอยากฝึกยิงธนู” หญิงสาวยังคงมีใบหน้าที่หม่นหมอง
“ได้สิ” ผู้เป็นพี่ชายรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่เขาไม่ใช่คนช่างพูดจึงทำแค่เพียงเดินนำน้องสาวมาอีกด้านหนึ่ง พอถึงที่หมายชายหนุ่มก็ผายมือออกอย่างเชื้อเชิญ “ตามสบายฉีเอ๋อร์ร์ของพี่ เจ้าอยากยิงเท่าไรก็ได้”
“ขอบคุณพี่ใหญ่” นางยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วเดินไปเลือกคันธนูสำหรับฝึกขึ้นมา หญิงสาวดึงสายที่ถูกขึงตึงสองสามที ลองยกขึ้นลงเพื่อประมาณน้ำหนัก จนพบกับอันที่เหมาะมือ เมื่อนั้นจึงค่อยๆ เยื้องกรายไปยังหน้าเป้าวงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลลิบ
เยี่ยนเยว่ฉีตั้งสมาธิเดินกำลังภายในถ่ายทอดพลัง ลูกเกาทัณฑ์ถูกอาบไว้ด้วยกระแสลมปราณ นัยน์ตาดอกท้อวาวโรจน์ขึ้นหลายส่วน ท่าทางเข้มแข็งจริงจังแลคล้ายกับนักรบสาว นางสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วกลั้นไว้ชั่วครู่ เมื่อมั่นใจจึงปล่อยลูกศรอันแหลมคมพุ่งตรงออกไป
ปึก! ลูกเกาทัณฑ์ทรงพลังเข้ากลางเป้าสีแดงพอดิบพอดี
“คุณหนูเก่งจังเลยเจ้าค่ะ” ซูจิ้งสาวใช้คนสนิทปรบมือเสียงดังเอ่ยปากชื่นชมนายหญิงไม่หยุด
เยี่ยนเยว่ฉีเผยอรอยยิ้มผ่อนคลายขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก้าวเข้ามา รองแม่ทัพหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็เบาใจ นางคงอยากหาที่ระบายอารมณ์อัดอั้นอะไรสักอย่าง ท่าทางของเยี่ยนจิ้นหลิงเองก็แปลก ซ้ำเขายังรีบออกจากจวนไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
‘หวังว่าจะไม่เกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้นนะ’
เยี่ยนหยางจงเฝ้ามองน้องสาวยิงลูกเกาทัณฑ์ดอกแล้วดอกเล่า นัยน์ตาสีนิลดุจราตรีมีประกายวาบขึ้นมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะปกป้องนางอย่างแน่นอน
พอได้ออกกำลังระบายอารมณ์ ดูเหมือนอาการซึมเซาของเยี่ยนเยว่ฉีจะดีขึ้นมาก แต่แล้วก็บ่นกระปอดกระแปดขึ้นมาเมื่อเกิดรู้สึกปวดแขน เยี่ยนหยางจงเห็นดังนั้นก็ใช้มือขยี้ผมน้องสาว พลางกลั้วหัวเราะกับความอ่อนหัดซ้ำยังอ่อนซ้อมของนาง
“ใครใช้ให้เจ้าขี้เกียจฝึก”
“มันเป็นกิจของผู้ชาย เยว่ฉีไม่ได้ชอบเสียหน่อย”
“เจ้าเพียงคร้านเกินไป”
“พี่ใหญ่จะแข่งปักผ้ากับข้าหรือไม่เล่า”
“นั่นมันงานของผู้หญิง”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ เยว่ฉีเป็นสตรีย่อมต้องฝึกงานบ้านงานเรือน เรื่องขี่ม้า ยิงธนูยอดพธูที่ไหนเขาทำกัน”
“มีวิชาติดกาย…”
“ดี...กว่า...ไม่มี...” เยี่ยนเยว่ฉีทำเสียงยานล้อเลียนแทรกขึ้น
“ถูกต้อง” เยี่ยนหยางจงกลั้วหัวเราะ น้องสาวของเขาช่างขี้เล่น
“คอยดูเถิด ข้าขอแช่งให้พี่ใหญ่ต้องแต่งงานกับสตรีที่ทำอะไรพวกนี้ไม่เป็นสักอย่าง”
“ไม่มีทาง ฮูหยินของข้าต้องสวยและเก่ง พาไปขี่ม้าล่าสัตว์เป็นเพื่อนได้ ที่สำคัญรสมือของนางต้องดี พี่ไม่มีทางเลือกสตรีแบบเจ้าว่ามาเด็ดขาด”
“มิน่า อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบสามยังหาภรรยาไม่ได้สักที ท่านเลือกมากถึงเพียงนี้ระวังไว้เถิดจะได้สตรีแบบที่เยว่ฉีว่า”
“ปากคอเราะร้าย พี่จะบอกท่านแม่ กุลสตรีอะไรกัน นี่มันภาพลวงตาชัด ๆ”
“หึ! ตกลงพวกท่านอยากให้ข้าเป็นอย่างไรกันแน่ กุลสตรีหรือหญิงที่เด็ดเดี่ยวมั่นใจไม่กลัวผู้ใด”
“ข้ารู้ว่าเจ้าดูสถานการณ์เป็นย่อมรู้จักเอาตัวรอด ใช่หรือไม่เล่า แม่จิ้งจอกน้อยของพี่” เยี่ยนหยางจงกระเซ้า น้องรองของเขาตัวติดกับเยี่ยนเยว่ฉีมาก ย่อมต้องสอนเล่ห์กลให้นางไปไม่น้อย
“จะถือว่าพี่ใหญ่กำลังชมเยว่ฉีอยู่ก็แล้วกัน” นางเอียงศีรษะจนปิ่นลายดอกโบตั๋นสั่นไหว พยายามทำหน้าตาไร้เดียงสาใส่พี่ชายคนโต
“ย่อมเป็นเช่นนั้น น้องสาวของพี่ต้องไม่ถูกผู้ใดรังแก หากออกเรือนไปก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว อนุหน้าไหนจะหาญกล้ามาเหยียบหัว เจ้าต้องจัดการสตรีเหล่านั้นจนหมอบกระแตอย่างแน่นอน”
“ท่านพี่กล่าวหนักไปแล้ว ข้าก็ไม่มีทางยิงธนูใส่พวกนางแน่”
“อืม...แต่เจ้าอาจจะทำอะไรที่ร้ายกาจมากกว่านั้น” เยี่ยนหยางจงหัวเราะเสียงดังสนั่น คิดภาพน้องสาวตัวเองกำลังทรมานผู้อื่น
เยี่ยนเยว่ฉีป้องปากหัวเราะน้อย ๆ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อขยับขึ้นลงดูน่าหลงใหล เหล่าทหารที่ได้ยินจังหวะเสนาะหูพากันหันมามองนางอีกครา เทพธิดาช่างอยู่แสนไกล แต่เสียงใสราวกับระฆังแก้วของนางนั้นช่วยปลอบประโลมหัวใจที่แห้งแล้งให้กลับมามีชีวิตชีวา
เยี่ยนหยางจงกัดฟันจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน ผู้ใต้บังคับบัญชาพวกนี้ท่าทางจะใช้การไม่ได้ หากข้าศึกส่งสาวงามมาหลอกล่อดูท่าคงต้องปราชัย สงสัยต้องฝึกพิเศษกันเสียแล้ว
รองแม้ทัพหนุ่มคำรามกึกก้องก่อนจะรีบเข้าไปบอกบทลงโทษ เมื่อเหล่าองครักษ์ทั้งหลายได้ฟังสีหน้าก็พลันซีดเผือด
ส่วนเยี่ยนเยว่ฉีไม่คิดอยู่รอดูความครื้นเครง พาร่างในอาภรณ์สีฟ้าจากไปทางเรือนพักอย่างอารมณ์ดี
ส่วนฮองเฮานั่งจิบชาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งที่ในใจลอบตำหนิแม่สามีที่พูดจาเอาแต่ใจ โดยไม่สนพระทัยสักนิดว่าเรื่องนี้ควรพูดออกมาตอนนี้หรือไม่ หากมู่เลี่ยงหรงต้องการจะให้จ้าวกุ้ยอินมาเป็นเป็นหวางเฟยแล้วละก็ คงไม่รอให้ไทเฮาเสนอมู่เลี่ยงหรงหยุดรอชายาที่หน้าตำหนัก ความจริงตนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนางไว้ที่ตรงนั้น แต่ด้วยกำลังบังเกิดโทสะจึงต้องรีบจากมาก่อนเรื่องราวจะแย่ลง เพียงไม่นานนักเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินออกมาจากประตูตำหนัก หญิงสาวมองผู้เป็นสามีอย่างเข้าอกเข้าใจ“ท่านอ๋องเรากลับกันเถิด”“อ้ายเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า”“วางใจเถิด หวางเฟยของท่านเป็นคนที่มีเหตุผล” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหยอกเย้าหวังให้เขาสบายใจ“ข้าไม่มีทางรับใครเข้าจวนอีก” เขารีบอธิบาย เพราะกลัวว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะเข้าใจผิด“ดูพูดเข้า หากเป็นพระราชโองการ หรือพระเสาวนีย์อย่างไรท่านก็ขัดมิได้อยู่”“เสด็จพี่มีรับสั่งจะไม่บังคับข้าอีก”“แต่ไทเฮาไม่ได้ทรงรับปากท่านอ๋องนี่”“เป็นดั่งเจ้าว่า แต่ถ้าเสด็จแม่ยังคงดื้อดึง เรื่องนี้คนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน”“หากนางได้แต่งกับท่านสมใจ จะมีแต่ความ
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงจุดจอดรถม้าของวังหลวงซิ่นเฉิงขานเรียกผู้เป็นนาย ส่วนซูจิ้งก็จัดการวางขั้นบันไดข้างรถม้า ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จากันแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งที่ต้องเดินเคียงกันไปตลอดทางเป็นองครักษ์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว คิดว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยกับซูจิ้งให้รู้เรื่องรู้ราว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่จวนเดียวกัน หากนางเป็นอนุบ่าวของเยี่ยนจิ้นหลิงจริง เหตุใดจึงตามหวางเฟยมาเล่า เขาจะต้องถามความให้กระจ่าง หากแม้ไม่มีวาสนาต่อกันก็ยินดีจะล่าถอย ไม่ใช่เดาสุ่มเอาเองเช่นนี้ เมื่อตกลงใจได้เขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน‘คืนนี้ล่ะ ซาลาเปาน้อย ข้าจะต้องรู้ความจริงให้จงได้’มู่เลี่ยงหรงต้องพาเยี่ยนเยว่ฉีไปถวายพระพรไทเฮา หนทางจากจุดจอดรถม้าไม่ใกล้เลย ซ้ำไทเฮายังเลือกเวลาให้ทั้งสองมาเข้าเฝ้ายามตะวันตรงศีรษะ ที่น่าแปลกคือไม่มีเกี้ยวสำหรับสตรีมารับ กว่าจะถึงตำหนักของพระนาง ฉินอ๋องกับหวางเฟยต้องเดินเท้าเป็นเวลาราวหนึ่งก้านธูปเมื่อทั้งสองถึงที่หมายก็เห็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ครั้นนางเห็นมู่เลี่ยงหรงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที จากนั้นจึงเดินนำบุคคลทั้งคู่เข้าส
พ่อบ้านใหญ่รับคำแล้วจัดการสั่งงานลูกน้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่วงท่าและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลัง เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นก็นึกชื่นชม มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงวางใจคนหนุ่มผู้นี้ให้รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ดูท่าทางนางคงไม่ต้องเหนื่อยยากอย่างที่คิดมู่เลี่ยงหรงให้พ่อบ้านใหญ่กับมามาทั้งสี่ถอยออกไปได้ ก่อนถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป“พวกเจ้าเข้ามาคารวะน้ำชาหวางเฟยเถิด”พอสิ้นเสียงคำสั่ง สตรีโฉมงามสามนางก็เดินนำหน้าหญิงสาวอีกสิบกว่าคนเข้ามาภายในห้องโถง เยี่ยนเยว่ฉีมองไปยังพระชายารองทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสงบที่สุด ถึงแม้จะรู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้างกับจำนวนสตรีที่ถวายตัวให้มู่เลี่ยงหรงแต่มิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ‘บัดซบ! เยอะขนาดนี้เชียว’เยี่ยนเยว่ฉีตั้งใจเอาไว้ว่าหากพวกนางไม่ได้แสดงตัวเป็นปรปักษ์ ตนเองก็จะไม่กระทำการรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นมู่เลี่ยงหรงแนะนำชายารองทั้งสามด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการกังวลหรือตกประหม่าให้เห็น แต่ภายในใจกลับก็รู้สึกหนักอึ้งเพราะเกรงว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะยังรับเรื่องฮูหยินอีกสิบเอ็ดคนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยิ้มละไม ไม่มีอาการกระอั
“อ้ายเฟย สี่คนนี้คือนางกำนัลที่ข้าคัดสรรมาให้ ข้ารับรองว่าพวกนางทำงานดีและมีความรอบรู้ หากเจ้าต้องการทราบเรื่องใดในจวน พวกนางสามารถแนะนำจัดหาให้เจ้าได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชิงหรู นางดูแลห้องข้างของข้ามาหลายปี”เยี่ยนเยว่ฉีหรี่นัยน์ตามองชิงหรูอย่างเสียมิได้ พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือนางกำนัลที่เตรียมน้ำอุ่นมาให้เมื่อคืน นางหน้าตาสะสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำดูยั่วยวน ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่ง รูปร่างงามระหงสมส่วน มีเสน่ห์ดึงดูดใจบุรุษมากทีเดียวมู่เลี่ยงหรงที่ลอบสังเกตอยู่พบว่าเยี่ยนเยว่ฉีกำลังกินน้ำส้มอยู่ เขากลั้วหัวเราะเบา ๆ จนนางต้องหันมาค้อนผู้เป็นสามีทีหนึ่ง“ชิงหรูไม่ได้ถวายตัวให้ข้า”“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดท่านเสียหน่อย” หวางเฟยบ่นพึมพำเมื่อถูกจับได้“ก็ข้าอยากบอกเจ้านี่” ฉินอ๋องไม่ต้องการทำให้พระชายาคนงามต้องรู้สึกเสียหน้าจึงพูดแก้เก้อให้เสร็จสรรพ“เยว่ฉีทราบแล้ว” นางพอใจที่ท่านอ๋องไว้หน้าตนมู่เลี่ยงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของหวางเฟย เหล่านางกำนัลรีบทำตามประสงค์ของเจ้านาย เยี่ยนเยว่ฉียอมรับว่าผู้ที่มู่เลี่ยงหรงคัดสรรค์มาให้นางนั้นทำ
อ๋องหนุ่มฝืนลุกจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าชุดคลุมเอามาใส่อย่างลวก ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทของนางให้มาช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายของสตรี เยี่ยนเยว่ฉีมองตามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนไปซูจิ้งเข้ามาภายในห้องหอ นางยอบกายคำนับฉินอ๋องที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้ยาวริมหน้าต่างที่ห้องชั้นนอก เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่โบกมือเป็นสัญญาณให้นางเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีในห้องนอนซูจิ้งเดินผ่านกองชุดวิวาห์ที่ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ หรือว่าฉินอ๋องทำรุนแรงกับนายหญิงของตน‘แย่แล้วคุณหนูของข้า’ สตรีร่างเล็กแทบจะวิ่งเข้าไปที่หน้าเตียง ภาพที่เห็นคือเยี่ยนเยว่ฉีนั่งเอาผ้าห่มปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ มีคราบน้ำตาอาบบนแก้ม แต่ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียใจแม้แต่น้อย“คุณหนู ไม่ใช่สิ หวางเฟยเป็นอันใดไปเพคะ”“เรื่องสุดวิสัยของสตรี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยเสียงเย็นคำตอบของเยี่ยนเยว่ฉีทำให้ซูจิ้งโล่งอก มิน่าเล่าฉินอ๋องถึงได้ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้น มีเนื้ออยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน“เช่นนั้นลงมาจากเตียงก่อนเพคะ ซูจิ้งจะได้ปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”“อืม”
แม้แทบจะไม่เหลืออาภรณ์ติดกาย ทว่าเยี่ยนเยว่ฉีกลับร้อนรุ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นเพลิงในกาย เพื่อให้เขากับนางแนบสนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงจึงขยับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาตน และด้วยการบังคับขยับนี้เยี่ยนเยว่ฉีจึงต้องตวัดขาเรียวยาวโอบรอบสะโพกสอบของเขาเอาไว้ แล้วคล้องแขนกับลำคอเพื่อเป็นหลักยึด ฝ่ามือร้อนของบุรุษลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน เมื่อพบกับปมเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ก็กระตุกออกอย่างเบามือ อุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดจนสิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของเทพธิดาแสนสวยในอ้อมกอดแสงจากเทียนมงคลคู่สีแดงวูบไหว อาบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ยิ่งทำให้เยี่ยนเยว่ฉีงดงามราวรูปสลักอันไร้รอยตำหนิ ช่างสูงค่าคู่ควรให้ทะนุถนอม‘วิเศษยิ่งนัก ยอดรักของข้า’ดวงตาลากไล้สำรวจเทพธิดาในอ้อมกอด ยิ่งมองยิ่งพบว่าเรือนกายของนางช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลทุกสัดส่วน ร่างระหงยั่วยวนน่าสัมผัสไปทุกตารางนิ้ว ไม่ว่ามือจะลูบไล้ไปตรงที่ใด ผิวกายขาวผ่องดุจแสงจันทร์กระจ่างก็เรียบลื่นนุ่มละมุนมือ มู่เลี่ยงหรงแทบลืมหายใจเมื่อแลเห็นปทุมถันอวบอิ่มเต็มตา ยอดสีหวานชูชันท้าทายให้ครอบครองยิ่งนัก ชายห