เนื้อเรื่องบางส่วนในนิยาย…..เขาจึงวิ่งไปที่ลำธารด้านหลังจวนแม่ทัพลู่เพื่อรีบลงแช่กายให้หายจากอาการร้อนรุ่่มที่ตนเองกำลังเป็นอยู่ แต่โชคชะตาก็ทำให้คุณหนูหยูหงลี่ที่บังเอิญหลบมานั่งร้องไห้เสียใจที่เห็นท่านอ๋องแปดที่ส่งสายตาให้กับคุณหนูกู้ฟางเซียนบุตรสาวของท่านราชครูอู๋แทบจะตลอดเวลา เหมือนประกาศให้ผู้อื่นรับรู้กลายๆว่าเขามีใจให้นาง เรื่องนี้ทำให้คุณหนูหยูหงลี่เจ็บปวดมากมาย เพราะนางคิดมาเสมอว่าเขาเป็นชายที่เงียบขรึม เฉยชา และไม่สนใจสตรี แต่กลายเป็นว่าเขาสนใจสตรีดังเช่นบุรุษอื่นเพียงแต่สตรีผู้นั้นไม่ใช่นาง หงลี่จึงหลบมาร้องไห้เงียบ ๆ คิดว่าจะตัดใจจากเขาเสียที และจะเปิดใจมองหาบุรุษอื่นๆที่นางไม่เคยสนใจที่จะมองหาเลย นางลงแช่น้ำเล่นอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่านอ๋องที่รีบเร่งมาถึงก็ถอดอาภรณ์ลงแช่น้ำเช่นกัน เมื่อแหวกว่ายจนมาถึงโขดหินที่หงลี่ซ่อนตัวอยู่ เพราะนางเห็นบุรุษกระโดดลงน้ำ แต่นางไม่กล้าจะขึ้นไป เมื่อพบหงลี่เข้าอ๋องหนุ่มจึงคิดว่านางมารอเขา เพราะนางวางยาปลุกกำหนัดเขา จึงได้จับร่างอวบของลงหงลี่มาลงทัณฑ์อย่างเร่าร้อนทันทีเพื่อสั่งสอน เรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป…..
ดูเพิ่มเติมคุณหนูหยูหงลี่วางแผนการณ์มานับเดือนเพื่อต้องการเผด็จศึกท่านอ๋องแปดซีเฉินอี้ให้ได้ เพราะนางหลงรักเขามานานปีแล้วแต่เขาก็มิเคยสนใจใยดีนาง ทุ่มเทติดตามเขา หากท่านอ๋องแปดไปงานเลี้ยงที่ใด นางมักจะไปเสมอพยายามไปวนเวียนข้างๆเขาไม่ห่าง หาโอกาสสนทนากับเขาแม้จะดูออกว่าเขาก็มิอยากจะสนทนากับนางเลย ถามคำก็มักจะตอบคำหรือทำเป็นไม่ได้ยิน และพยายามหลีกหนีไปทันทีเมื่อมีโอกาส
แต่หงลี่ที่ถือคติตื้อเท่านั้นที่ได้ครอง ขุนเขาสูงเพียงใดหากเรามุ่งมั่นก็ย่อมมีวันไปถึง จึงได้ไม่เคยละความพยายามนางหาโอกาสไปพบเขาเสมอ คอยกีดกันคุณหนูจวนอื่นๆไม่ให้ใกล้ชิดกับเขาได้ง่ายๆ บางครั้งถึงกับตบตีกันแต่นางก็ไม่เคยหวั่น จนเรื่องที่นางและคุณหนูผู้มีความมุ่งมั่นดังเช่นนางและคาดว่าคงจะถือคติเดียวกันนั้น มักจะปะทะกันเสมอเมื่อพบหน้ากัน ทั้งในงานเลี้ยงที่มีท่่านอ๋องแปดอยู่ด้วย หรืองานเลี้ยงนั้น หรือสถานที่นั้นไม่มีร่างของเขาปรากฎเลยก็ตาม
เมื่อสตรีที่มีความมุ่งหมายเดียวกันคือตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋องแปดซีเฉินอี้ผู้นี้มาพบกัน หากที่ร้ายกาจพอสูสีก็จะปะทะกันอย่างไม่เกรงกลัวคำครหา ทุ่มเทความพยายามจะจับปลาใหญ่ตัวนี้ให้ได้ แต่ที่เขินอายและอ่อนแอก็จำต้องยอมถอยออกไปตามระเบียบ เพราะไม่กล้าปะทะกับเหล่าสตรีที่ร้ายกาจจนคนลือเหล่านี้ จนกระทั่งเหลือเพียงคุณหนูหยูหงลี่บุตรีเสนาบดีหยูหงเซิง และคุณหนูตระกูลขุนนางอีกเพียงสองสามคนที่ยังไม่ละความพยายามในการรบรากับคุณหนูหยู แต่ก็มีสตรีอีกผู้หนึ่งที่ไม่แสดงออกถึงความร้ายกาจ นางแสดงความอ่อนหวานต่อหน้าผู้อื่นเสมอ เป็นสตรีที่เพียบพร้อมศาสตร์ทั้งสี่และความงามของนางก็ไม่เป็นรองผู้ใด คือคุณหนูกู้ฟางเซียนบุตรีของท่านราชครูกู้ ที่ท่านอ๋องแปดก็พอจะทำใจยอมรับและคิดว่าเขาอาจจะเลือกนางเป็นพระชายาหากไม่มีตัวเลือกอื่น
เย็นวันงานเลี้ยงเพื่อฉลองชัยชนะที่กองทัพเพิ่งชนะศึกกลับมา จึงได้จัดงานเลี้ยงกันที่จวนแม่ทัพใหญ่ลู่ตงเหวิน บรรดาทหารทั้งหลาย ทั้งเหล่าแม่ทัพ นางกองแทบจะทุกตำแหน่งต่างก็ไปร่วมงานเลี้ยงนี้ รวมถึงราชวงศ์บางคน และขุนนางทั้งหลายและคหบดีพ่อค้าที่มักจะเกี่ยวข้องกับกองทัพและต้องการแสวงหาอำนาจและเส้นสายเพื่อการค้าบางอย่าง ก็ต่างพร้อมใจกันไปร่วมงานเลี้ยงนี้ และท่านอ๋องแปดซีเฉินอีและท่านอ๋องบางคนกับองค์ชายอีกสองสามคนก็ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองนี้ด้วยเช่นกัน คุณหนูหยูหงลี่ก็ไปกับบิดาของนางเช่นเคย ทุกงานเลี้ยงที่มีท่านอ๋องแปดไปด้วย ส่วนมากแล้วนางจะต้องพยายามไปให้ได้ และครั้งนี้ยิ่งเป็นครั้งสำคัญที่นางอุตส่าห์วางแผนการณ์มาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว ทบทวนแผนการณ์ไปมาอยู่หลายๆครั้งและคิดว่าครั้งนี้คงจะสำเร็จอย่างแน่นอน
และคุณหนูอีกสองสามคนรวมถึงคุณหนูกู้ฟางเซียนก็ย่อมต้องมาร่วมงานเลี้ยงนี้อย่างแน่นอน ไม่มีทางจะพลาดไปได้ เพราะตอนนี้ใกล้เวลาที่จะถึงวันคัดเลือกพระชายาของท่านอ๋องแปดแล้ว เช่่นนั้นยิ่งต้องรีบมาเพื่อแสดงตัวให้ท่านอ๋องเห็นบ่อยๆ เพื่อท่านอ๋องจะได้จดจำพวกนางได้ และจะได้มีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือก ทุกๆคนต่างแต่งกายมาอย่างงดงามที่สุด เพื่อจะให้เป็นที่สะดุดตาและสังเกตุเห็นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อสองพ่อลูกตระกูลหยูมาถึงงานเลี้ยงและเข้าไปทักทายแม่ทัพใหญ่และร่วมสนทนากับเหล่าทหารชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สหายของบิดาของนางแล้ว จึึงได้แยกย้ายกันไปนั่งประจำยังที่นั่งของตนเองที่มีการจัดเอาไว้แล้ว เมื่อทุกคนประจำที่นั่งที่ในบริเวณด้้านหน้าเรือนหลัก ส่วนทหารที่มีชั้นยศที่น้อยๆก็ออกไปร่วมงานเลี้ยงยังบริเวณสนามที่กว้างขวางที่มีการจัดโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ไว้ให้เหล่าทหารไปเลือกหยิบอาหารหลากหลายที่จัดวางเอาไว้อย่างมากมาย ทั้งอาหารรสเลิศชั้นดีสั่งมาจากเหลาและสุราชั้นดีเช่นกัน ผลไม้และขนมก็มากมายเต็มไปหมด เสียงหัวเราะเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นอย่างคึกคัก จนทั่วบริเวณงานเลี้ยงที่ลานกว้างหน้าเรือนหลักของแม่ทัพใหญ่
เมื่อคุณหนูหยูหงลี่ทรุดนั่งลงข้างๆบิดาของนางเรียบร้อยแล้ว ดวงตาเรียวยาวที่ได้รูปรับกับคิ้วโก่งของนางก็กวาดตามองหาท่านอ๋องบุรุษในดวงใจเช่นเคย ทันทีที่เห็นเขานั่งอยู่ประจำตำแหน่งกับเหล่าพี่น้องของเขา และถัดมาเป็นท่านแม่ทัพใหญ่และแม่ทัพทั้งหลาย และเหล่าขุนนางทั้งหลายที่นั่งกันตามลำดับที่นั่งของแต่ละคน หงลี่ก็คอยมองไปที่เขาเป็นระยะ แต่เขาก็เช่นเคยมิเคยมองมาที่นางเลย
แต่วันนี้มีอีกอย่างที่คุณหนูหยูหงลี่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปก็คือสายตาของท่านอ๋องแปดคอยวนเวียนไปที่คุณหนูกู้ฟางเซียนเสมอๆ และหงลี่เห็นพวกเขาสบตากันหวานฉ่ำเหมือนส่งสัญญาณว่าพึงใจกันและกันทางสายตา และตลอดเวลาที่นั่งร่วมในงานเลี้ยงได้พักใหญ่มาแล้วนั้น คุณหนูหยูก็เห็นพวกเขาส่งสายตาให้กันเสมอๆหลายๆครั้ง นางยกสุราตรงหน้าของตนเองขึ้นมาดื่มรวดเดียวหลายๆจอกแล้ว และสายตาก็ยังคงคอยมองไปที่ทั้งสองคนนั่นและก็ยังคงเห็นพวกเขาสบตากันหวานฉ่ำอยู่เรื่อยๆ
เมื่อคุณหนูหยูแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่นางเห็นนั้นชัดเจนว่าท่านอ๋องแปดคงจะมีใจให้กับคุณหนูกู้ฟางเซียนบุตรีของท่านราชครูกู้อย่างแน่นอนแล้ว นางรู้สึกเจ็บแปลบอย่างมากมายที่กลางอก น้ำตาไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่นางพยายามอดกลั้นเอาไว้ เมื่อก่อนนางคิดมาเสมอว่าเขานั้นเป็นบุรุษที่เฉยชาไม่สนใจสตรีผู้ใดเลย เพราะเขาทำตัวเช่นนั้นมาเสมอ
นางเฝ้าติดตามเขามานานปีไม่เคยเห็นเขาสนใจสตรีใดเลย ไม่เคยมองสตรีด้วยดวงตาหวานฉ่ำอย่างที่นางก็เพิ่งจะเคยเห็นเขาทำเป็นคราแรก นางคิดว่าอีกไม่นานก็จะถึงวันที่เขาจะคัดเลือกพระชายาแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ เขาคงจะเลือกบุตรีของท่านราชครูผู้นี้เป็นแน่ แล้วบุตรีเสนาบดีเช่นนางก็คงจะถูกมองข้ามเช่นเคย เพราะที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยจะสนใจใยดีนางอยู่แล้ว ยิ่งมาพึงใจสตรีอื่นให้เห็นเช่นนี้ แสดงว่าเขาก็คงจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกสตรีจวนใดมาเป็นพระชายา
หงลี่พยายามกลั้นน้ำตาที่มันพร้อมจะรินไหลลงมาเมื่อนางได้ประจักษ์แน่แก่ใจของตนเองว่าเขามิได้เลือกนาง เขาไม่เคยจะคิดเลือกนาง และต่อไปเขาก็คงจะไม่เลือกนางเช่นเดิม คนไม่รักก็คือไม่รัก นางจะไปบังคับจิตใจผู้อื่นได้เช่นไร สายตาของเขาไม่เคยมีนางเลย ตอนนี้ก็ยังคงไม่มีนางในสายตา และยิ่งต่อไปก็คงไม่มีทางจะมี เมื่อนางรู้อยู่แก่ใจเช่นนี้แล้ว ก็สมควรจะยกเลิกแผนการณ์ที่วางเอาไว้เสีย นางมิอยากจะบังคับใจผู้ใด
เขาเอ่ยปากอ้อนวอนอย่างทนไม่ไหว แต่องครักษ์ฉางเก้อที่ต้องการจะสั่งสอนเมียร่านก็ไม่ยอมจัดการคนตรงหน้าเสียที เขายังคงโยกคลึงเสียดสีอยู่เช่นนั้น “ อ๊าย อ๊าา อ๊าาา ท่านพี่ ท่านเป็นผัวข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ได้โปรด ได้โปรดรักข้าเสียที ข้าเสียวจะตายอยู่แล้ว อ๊ายย อ๊าายย อ๊าาา อ๊าา “ หลังจากนั้น เขาก็ถูกองครักษ์ฉางเก้อกดกระแทกเขาอย่างรุนแรงและเร่าร้อน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั้งเรือนเล็กนั้น หัวเตียงกระแทกฝาผนังดังก้อง เตียงหลังใหญ่่ไหวโยกอย่างรุนแรง ผสานไปกับเสียงร้องครวญครางอย่างสุขสมของสองผัวเมียที่แม้จะรักกันเพียงใดแต่ก็็ไม่อาจจะเปิดเผยให้ผู้อื่นรับรู้การครองคู่ของพวกเขาได้จนเมื่อสุขสมกันไปจนนับครั้งไม่ถ้วนจึงได้นอนกอดกันอย่างมีความสุข “ ท่านพี่ต่อไปท่านจะมีเพียงข้าหรือไม่ หากท่านมองชายอื่่น หรือคิดนอกใจข้าอีก ข้าจะหาสามีใหม่ทันที ท่านคงจะรู้นะว่าข้าหาได้ไม่ยาก ” เหวินเปียวเอ่ยบอกกับสามีที่กำลังกอดร่างบางของเขาเอาไว้ในอ้อมอกแกร่ง“ พี่เข้าใจแล้ว พี่จะไม่มองชายอื่นอีก พี่จะรักเจ้าเพียงผู้เดียว เมียรัก แม้เราจะมิอาจครองคู่แต่งงานกันได้ แต่พี่รักเจ้า พี่คิดเสมอว่าเจ้าคือเมีย เมียเพี
งานแต่งงานของท่านอ๋องแปดซีเฉินอี้กับคุณหนูหยูหงลี่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ขบวนสินสอดและสินเดิมเป็นขบวนที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ชาวบ้านร้านตลาดต่างก็ออกมามุงดูเต็มสองข้างทาง อ๋องหนุ่มขี่ม้ามารับเจ้าสาวด้วยตนเองด้วยใบหน้าที่บานยิ่งกว่าจานเชิง เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนกระทั่งผ่านพ้นพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมจนเรียบร้อย จนถึงการจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อที่มากันเต็มลานกว้างหน้าเรือนหลักของเขาอ๋องหนุ่มอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งใครๆต่างก็ชมว่าวันนี้เจ้าสาวของเขางดงามยิ่งนัก เขายิ้มรับด้วยใบหน้าบานไม่ว่าใครพูดอะไรก็ยิ้มรับไปเสียหมด นับว่าเขาแสดงออกถึงความสุขจนแขกหลายๆคนกังขาไปตามๆกัน ไหนมีคนบอกว่าท่านอ๋องถูกบีบบังคับให้แต่งงานกับคุณหนูหยูหงลี่อย่างไรกันเล่า แต่เมื่อเห็นหน้าของเจ้าบ่าวที่เบิกบานเสียขนาดนี้จึงพากันคิดว่าความจริงคงจะไม่เป็นอย่างที่มีคนเล่าลือกันไปต่างๆนาๆ ตามร้านเสริมความงามและร้านอาภรณ์หรือร้้านขายเครื่องประทินผิว และตามภัตตาคารชื่อดังที่เหล่าชนชั้นสูงต่างมักไปพบปะสังสรรค์กัน หรือแม้แต่ตามโรงเตี้ยมต่างก็เล่าลือถึงเรื่องงานแต่งงานนี้ คุณหนูหลาย ๆ จวนต่างก็กระซิบกระซาบเล่่าลือถึงพฤติกรรมของคุณหน
“ เจ้าว่าอะไรนะ ใครมาหาข้านะ ” คุณหนูหยูหงลี่หันขวับไปมองหน้าสาวใช้ที่มาตามนางไปพบแขกที่รออยู่ที่เรือนหลัก และขณะนี้กำลังนั่งจิบน้ำชากับบิดาของนางอยู่ “ ท่านอ๋องแปดเจ้าค่ะ มาขออนุญาติพาคุณหนูไปเที่ยวเล่นข้างนอกเจ้าค่ะ และนายท่านก็อนุญาติแล้ว ” ท่านพ่ออนุญาติให้เขาพาข้าไปเที่ยวเล่น อะไรกัน“ ข้าไม่ไปหรอก จะพาข้าไปไหนทำไมไม่มาถามความสมัครใจก่อน หญิงเช่นข้ามีศักดิ์ศรีไม่ไปไหนกับผู้ใดง่าย ๆ หรอก ” นางปฏิเสธอย่างไรเยื่อใยทันที ขณะที่สาวใช้ผู้นั้นมองนางอย่างอ้อนวอนเพื่อให้ปฏิบัติตามคำสั่งของนายท่าน นางจะได้ไม่ต้องพลอยยุ่งยากไปด้วย ครึ่งชั่วยามต่อมา “ ท่านอ๋องท่านขยับออกไป อย่ามาเบียดข้าเช่นนี้มันอึดอัดนะ ” นางหันไปตวาดแว๊ดใส่ร่างหนาที่นั่งโอบกอดนางเอาไว้หลวมๆ เขานั่งอยู่บนม้าตัวสูงใหญ่สง่างามของเขาที่มีนางนั่งอยู่ด้านหน้าในอ้อมกอดแกร่งนั่น อ๋องหนุ่มยกยิ้ม เขาแกล้งลื่นไถลเหมือนทรงตัวบนม้าไม่ได้แล้วเลื่อนตัวแนบชิดกับนางจนตัวแทบจะติดกัน จนเขาสัมผัสถึงก้นอวบอั๋นของนางได้ถนัดถนี่“ จังหวะม้าวิ่งเร็วเช่นนี้ เปิ่นหวางทรงตัวไม่ได้ เจ้าก็นั่งนิ่ง ๆ สิ จะโวยวายไปทำไม พื้นที่หลังม้าแคบเพียงแค่นี้มันก
เช้าวันต่อมาท่านอ๋องแปดจึงได้สั่งให้รถม้าไปที่จวนเสนาบดีหยูเพื่อจัดเรื่องหัวใจของตนเองให้เรียบร้อย หญิงเช่นหงลี่พูดดีๆไม่รู้เรื่องคงจะต้องให้คนที่นางไม่อาจจะขัดขืนได้จัดการเสียแล้ว เมื่อไปถึงจวนเสนาบดีหยู อ๋องหนุ่มจึงได้เดินเข้าไปในจวนโดยมีพ่อบ้านหยูออกมาต้อนรับเขา แล้วเชิญเขาเข้าไปหานายท่านที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องโถงภายในเรือนหลัง ขณะที่อ๋องหนุ่มเดินตามพ่อบ้านหยูเข้าไปนั้น เขาก็หันไปมองรอบๆแล้วเอ่ยว่า“ ช่วงนี้คุณหนูหยูไม่ค่อยออกไปทีใดหรือ เปิ่นหวางไม่ค่อยได้พบหน้านางเลย ” พ่อบ้านหยูเอ่ยตอบเขาไปอย่างแปลกใจเพราะปกติแล้วท่านอ๋องไม่ค่อยสนใจคุณหนูของเขานัก “ ช่วงหลังมานี้คุณหนูอยู่ติดจวนมากขึ้นพะยะคะ และเห็นว่านางกำลังร่วมทุนกับสหายคือคุณชายจางเพื่อทำการค้า ทั้งสองจึงได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย แต่ไม่มีเวลาไปเที่ยวเตร่หรือไปงานเลี้ยงพะยะคะ ” อ๋องหนุ่มชะงักไป “ นางกับคุณชายจางเป็นสหายกันหรือ” พ่อบ้านหยูที่ไม่ได้รู้เรื่องอันใดก็ตอบไปว่า “ เป็นสหายกันมาได้พักใหญ่พะยะคะ ทั้งสองสนิทกันมาก คุณชายจางแวะมากินขนมและสนทนากับคุณหนูอยู่บ่อยๆ ” อ๋องหนุ่มยกยิ้มนิดๆ เขาคงต้องให้องครักษ์ไปสืบดูเ
เขาจึงได้ยกลำกายอวบใหญ่ของเขาสอดเข้าไปในร่องอวบของนางทันที “ อ๊า อ๊า องค์ชายเพคะ เจ็บ ข้าเจ็บ อ๊าาย อ๊าย ” นางกรีดร้องเพราะเจ็บแปลบที่กลางกายเหลือเกิน แม้จะเสียวแต่ก็เจ็บมากจนทนแทบไม่ไหว องค์ชายหกพยายามดันเจ้าลูกรักเข้าไปในร่องอวบของนางแต่พบว่ามันช่างคับแน่นเหลือเกิน เขาจึงได้แช่ลำกายใหญ่ของตนเองไว้เพียงครึ่ง แล้วก้มลงจูบนางทันที อี้หลานที่ตอนนี้นางถอยไปไม่ได้อีกแล้ว แม้จะเจ็บปวดแต่สมองก็ยังคงระลึกได้ว่านางต้องจับชายผู้นี้เอาไว้ให้มั่น นางตกเป็นของเขาไปเสียแล้วคงมิอาจจะหวนกลับไปจับท่านอ๋องแปดได้อีก เพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกัน องค์ชายผู้นี้ก็ไม่เลวหากนางทำให้เขาหลงไหลได้ นางก็จะสบายเขาคงไม่ใจร้ายทอดทิ้งนางไปโดยที่ไม่ให้อะไรเลยหรอก คิดได้ดังนี้อี้หลันจึงได้อ้าปากรับลิ้นสากของเขาอย่างเต็มใจและส่งลิ้นเล็กของตนเองเข้าพัวพันกับลิ้นสากของเขาอย่างดูดดื่ม องค์ชายหนุ่มพึงใจที่นางเรียนรู้ได้รวดเร็วและไม่หวงตัว ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่มยาวนาน จนเขาคิดว่านางเคลิบเคลิ้มตามที่เขาต้องการหลอกล่อแล้ว จึงได้ดันลำกายอวบใหญ่ของเขาเข้าไปจนมิดลำกายทันทีที่เจ้าลูกรักขององค์ชายหนุ่มเข้าไปได้จนหมดแล้ว จึงได้
อี้หลานที่ถูกชายสูงศักดิ์ผู้นี้จูบจนร่างขาวผ่องของนางอ่อนระทวย เขาจึงได้ผละออก แล้วก็ก้มลงจูบนางอีกอย่างดูดดื่มยาวนานจนกลายเป็นเร่าร้อน จึงได้ยอมปล่อยริมฝีปากที่บวมเจ่อเป็นอิสระ “ เจ้ารนหาที่เองนะ แต่ข้าก็ชักจะติดใจเจ้าเสียแล้ว ” เขาเอ่ยขึ้นแล้วก้มลงไล้เลียใบหูเล็กของนางจนร่างอ้อนแอ้นสะท้านในอ้อมกอดของเขา “ อ๊าา อ๊าา อย่านะ อย่าเพคะ อย่า อ๊าา อ๊าา ” นางเอ่ยร้องห้ามเขาสลับกับครางเบาๆ แต่องค์ชายหกหรือจะสนใจเสียงร้องห้ามที่แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินนี้ เขายิ่งไล้เลียใบหน้าหวานของนางจนลงมาที่ซอกคอระหงขาวผ่อง เขายกร่างของนางขึ้นแนบไปกับลำตัวหนาของเขาแล้วเดินไปที่ก้อนหินกลางบ่อน้ำที่เขาเอนกายพิงอยู่เมื่อครู่ แล้วยกเรือนร่างขาวผ่องของนางเกยไว้บนหินก้อนนั้นครึ่งตัวจนทรวงอกอวบใหญ่ขาวผ่องที่มีผลอิงเถาสั่นระริกเหมือนรอคอยเขาอยู่นั้น อยู่ระดับเดียวกับใบหน้าหล่อเหลาของเขา องค์ชายหนุ่มจ้องมองมันจนทนไม่ไหวจึงได้อ้าปากดูดดื่มมันทันที “ อ๊ายย อ๊าา อ๊าา อ๊าา องค์ชายเพคะ องค์ชาย อ๊าา อ๊าาา ” อี้หลานครางกระเส่าทันทีที่ลิ้นสากสัมผัสกับผลอิงเถาของนาง นางแอ่นอกอวบพลางส่ายไปมาอย่างร่านร้อน นางเสียว เสียวเหลือ
ความคิดเห็น