ในหมู่บ้านแถบตีนเขานามว่าฮุ่ยฟาง มีเด็กหญิงผู้น่าสงสารอาศัยอยู่ นางคือเด็กหญิงผู้เคยสูญเสียทุกอย่างในชีวิต แต่กลับยังคงยืนหยัดมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยโอกาสบางอย่าง…
มีมากถึงสามเหตุผลที่ทำให้เด็กสาวเกือบทุกคนในหมู่บ้านไม่ชอบบุตรสาว (เลี้ยง) สกุลฉินนามว่าฉินอี้หนิง ลำดับแรกคือตัวนางไม่มีครอบครัว และไม่มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ว่ากันว่านางเคยเป็นเพียงคนเร่ร่อนที่ถูกท่านตากับท่านยายสกุลฉินช่วยเอาไว้จากริมแม่น้ำ หรือบางทีนางอาจเป็นปีศาจจำแลงกายมาเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้มนุษย์
ลำดับที่สองคือนางมีใบหน้างดงาม ผิวพรรณก็ผุดผาดแตกต่างจากคนทั่วไปมากถึงเก้าส่วน รูปร่างเรียกได้ว่าดูดีตั้งแต่เด็ก ขนาดอายุเพียงสิบสี่ยังสามารถทำให้ชายหลายคนรุ่มหลง โตไปคงกลายเป็นสาวงามล่มเมือง บรรดาสตรีที่ริษยาจึงยิ่งทุ่มเทความคิดว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมาจริงๆ
และลำดับที่สาม เพราะนางคือหญิงสาวที่อยู่ในใจของบุตรชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างจ้าวซูฮ่าว รวมถึงครอบครองหัวใจของหนุ่มหล่อคนอื่นๆ ตัวของฉินอี้หนิงจึงมักได้รับการปฏิบัติจากเพื่อนสาววัยไล่เลี่ยกันอย่างหยาบคายอยู่เสมอ
แต่ใครจะรู้บ้างว่าในตอนที่นางมาอยู่หมู่บ้านชนบทแห่งนี้ บัลลังก์มังกรอาบเลือดนั่น ถูกพลัดเปลี่ยนผู้เป็นนายกลายเป็นคนของสกุลหลี่นามว่าหลี่หยางหนิงอัน เขาครองราชย์เป็นจักรพรรดิทรราชในวัยเพียงยี่สิบปี กวาดล้างสายเลือดของจักรพรรดิองค์เก่าอย่างสกุลหลันเสียจนสิ้นซาก
อีกทั้งออกตามหาองค์หญิงสามที่หายตัวไปอย่างหลันฝูหรงจนแทบพลิกแผ่นดิน แบบนี้การโผล่มาของฉินอี้หนิง เหตุใดจึงไม่ตกเป็นที่สงสัยกันล่ะ?
กลับมายังปัจจุบัน ในพื้นที่ริมน้ำที่ไร้ผู้คน ร่างบอบบางในชุดสีเขียวชาซอมซ่อกำลังก้มตัวลงเก็บยอดผักบุ้งอ่อนบนผิวน้ำ ข้างกายของนางมีตะกร้าใบใหญ่ที่สานจากต้นหวาย ภายในนั้นมีปลาหลี [1] ตัวใหญ่สามตัว และหอยขมประมาณสองกำมือ
ใบหน้างามที่จงใจใช้เขม่าถ่านสร้างร่องรอยน่าเกลียดบนสองแก้มและบนหน้าผาก ยังคงตั้งอกตั้งใจเก็บผัก โดยไม่สนว่าบนขอนไม้ที่ลอยอยู่ข้างๆ นางกำลังมีสิ่งมีชีวิตอื่นปรากฏตัวขึ้น
เมี้ยวววว~
มือเรียวใหญ่ฉายแววสั่นเบาๆ เมื่อยกมือทั้งสองข้างของตนเองขึ้นมาดู และพบว่ามันได้กลายเป็นอุ้งเท้านุ่มนิ่มของแมวเหมียวตัวสีขาวไปเสียแล้ว
ทุกอย่างเป็นไปตามคาด ยกเว้นเพียงสถานที่เท่านั้นที่หลี่โต๋วเปาไม่ได้ตั้งใจจะโผล่มา เล็บแมวที่มีรีบจิกลงบนขอนไม้ใต้เท้าอย่างตื่นตัว นัยน์ตาสีอความารีนตวัดมองรอบกายอย่างรนราน ตามหนังสือเก่าที่เคยอ่าน และภาพจำลองที่เคยเห็นจากพิพิธภัณฑ์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังมาโผล่อยู่ในชนบทจีนโบราณ
แต่ยังไม่ทันที่อดีตจอมพลผู้เก่งกาจจะตั้งสติได้ บั้นท้ายของใครบางคนก็ถอยมาโดนขอนไม้ที่เขากำลังขี่ ทำเอาร่างแมวอ้วนเสียหลักพลัดตกน้ำดังตู้ม!!!
“โอ้ย! ข้าเจ็บนะเจ้าเหมียว”
เสียงหวานใสของคนที่ช่วยอุ้มร่างก้อนขนสีขาวขึ้นจากน้ำทำเอาหลี่โต๋วเปาที่กำลังตื่นตกใจกับสถานการณ์ไม่คาดคิด เริ่มสงบเงียบลงอย่างง่ายดาย ก่อนจะยกสองมือที่กำลังใช้เล็บจิกลงบนผิวแขนเนียนนุ่มขึ้นสูงราวกับเป็นท่ายอมจำนน
“เจ้าหลงทางมาจากไหนเนี่ย” ดวงตากลมสวยเพ่งมองก้อนขนสีขาวในมืออย่างงุ่นงง ก่อนจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนหลี่โต๋วเปาแทบลืมหายใจ “เจ้าแมวตัวนี้น่าเอ็นดูนัก แถมยังมีดวงตาสีฟ้า ราวกับอัญมณีในท้องทะเล”
นางยังคงวิเคราะห์แมวอ้วนในมืออย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันกับข้อความบางอย่างที่ขึ้นมาบนหน้าจอของหลี่โต๋วเปา
[แฮนซั่มบอย : เด็กผู้หญิงยุคโบราณคนนี้สวยชะมัด ผมไม่เคยเห็นใครสวยขนาดนี้เลย]
[late Fr. : เห็นด้วยอย่างยิ่ง ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังหลง]
คิ้วคมเข้มของอดีตนายพลขมวดมุ่นเล็กน้อย อย่าบอกนะว่าเขาเผลอเปิดไลฟ์สดทิ้งไว้ ว่าจะลองเล่นเบาๆ แค่เล็กน้อย แต่ดูเหมือนการท่องยุคอดีตจะสนุกกว่าที่คาดคิดไว้
[Reels : สวัสดีสตรีมเมอร์หน้าใหม่ นี่คือเกมอะไรเหรอคะ?]
[สตุซซี่ : เกมโคตรจะสมจริงเลยครับพี่!?!?]
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจจำนวนคนดูที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหลักสิบเป็นหลักร้อย จากหลักร้อยเป็นหลักพัน อีกทั้งไม่ได้ไล่อ่านทุกคอมเมนต์ เพราะในขณะนี้ความสนใจของเขามันไปรวมอยู่ที่เด็กหญิงปริศนาตรงหน้า ซึ่งกำลังก้มลงมองพวงไข่น้อยของอวาตาร์แมว ทั้งยังใจกล้าใช้นิ้วเรียวๆ นั่นเขี่ยสองตุ้มของเขาอีกต่างหาก
“เจ้าอยากกลับบ้านกับข้ามั้ย?” เสียงหวานใสถามอย่างน่าเอ็นดู แต่ยังไม่ทันได้คำตอบจากเจ้าสัตว์ตัวนุ่ม นางก็อุ้มเขาแนบอกออกจากที่นี่เสียแล้ว
หลี่โต๋วเปาพยายามส่งเสียงแง้วๆ เพื่อประท้วง ทว่าการได้ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกหอมๆ อุ่นๆ ของเด็กคนนี้กลับทำให้เขาเผลอเงียบเสียงลงโดยไม่รู้ตัว กลิ่นของนางหอมมาก เป็นกลิ่นที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยสัมผัสจากที่ใด แม้ในตะกร้าด้านหลังจะมีกลิ่นคาวปลา และกลิ่นผักที่ไม่คุ้นเคยผสมอยู่ก็ตาม แต่แบบนี้สินะคือกลิ่นของโลกกลมๆ สีฟ้าใบนี้
[ผู้ชมจากดาวเนปจูน : กลิ่นของสตรีมนี้จะสมจริงเกินไปแล้ว]
…..
ตุบ!!!
“จะรีบไปไหน นังปีศาจบ่อน้ำสกปรก”
เสียงแหลมสูงพร้อมผ้าเช็ดจานเปียกๆ ที่ลอยมาโดนศีรษะของฉินอี้หนิงทำเอาร่างเล็กต้องหยุดกึก และหันไปมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่สบอารมณ์
หลี่โต๋วเปารู้ในทันทีว่าเด็กคนนี้ต้องมีคู่อริเยอะแน่ๆ ในฐานะสัตว์เลี้ยงหมาดๆ บางทีเขาอาจต้องทำอะไรบ้างอย่างเพื่อนาง
“ฉินอี้หนิง ในมือเจ้าคืออะไร แมวงั้นเหรอ?” เด็กผู้หญิงคนนั้นยังคงก่อกวนไม่เลิก แถมยังถือวิสาสะเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “เอามันมาให้ข้าซะ”
เมี้ยว!!!!!
“กรี๊ดดดดดด!!! มันข่วนข้า เจ้าต้องรับผิดชอบ”
แง้วววว!!!!
“กรี๊ดดดด! เจ้าแมวบ้า”
เพราะเดาว่าตนเองจะถูกยื้อแย้ง หลี่โต๋วเปาจึงต้องรีบป้องกันตัว แน่นอนว่ารอยข่วนนั้นก็ทำเอาฝ่ายตรงข้ามเลือดไหลหลายแผลเลยทีเดียว จบด้วยการที่ร่างอ้วนๆ ของแมวขาวเปียกน้ำกระโดดเข้าไปฟาดหมัดใส่ใบหน้าฝ่ายนั้นหลายป๊าบ จนเจ้าตัวต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดไปเอง
การกระทำนี้ทำเอาคนดูหลายคนชอบใจเป็นอย่างยิ่ง บางคนถึงกับโดเนทเงิน 1 ดวงดาวมาให้หลี่โต๋วเปากันคนละดวง วันนี้ชายหนุ่มจึงรับทรัพย์เข้าบัญชีสตรีมเมอร์จำนวนไม่ต่ำกว่า 100 ดวงดาว ซึ่งแม้จะเป็นยอดเงินที่น้อยที่สุด แต่ก็มีคุณค่าแก่การเริ่มต้นอาชีพนี้ไม่น้อยไปกว่าใคร
[เจ้มิ่ง : ทำดี ทำเริดมากเจ้าแมวนักสตรีม!!!]
[บุญช่วย : ตดใส่นังนั่นแรงๆ เลย ถ้าแอบตดเบาๆ ถือว่าไม่จริงใจจจจ]
ยามนี้ขนสีขาวของสตรีมเมอร์แมวเหมียวถึงกับฟูฟ่องเพื่อข่มขู่ศัตรู แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ฉินอี้หนิงถึงกับต้องรีบเข้าไปห้ามมัน ก็คือการที่นางรู้ว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรตามมาถ้าทั้งสองยังดึงดันจะยืนอยู่ตรงนี้
“ข้าขอบคุณที่เจ้าออกตัวปกป้องข้าอย่างที่ไม่เคยมีใครทำ แต่เรารีบหนีกันเถอะเจ้าเหมียว”
“เมี้ยว” หลี่โต๋วเปาส่งเสียงตอบกลับ ส่วนใบหน้าของแมวไม่ต้องพูดถึง เพราะมันฉายแววไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
“ประเดี๋ยวพ่อแม่นางก็คงวิ่งหน้าตั้งออกมาตามหาเจ้า แบบนั้นข้าปกป้องเจ้าไม่ไหวแน่”
ครืดดดด~ แม้ววว แง่ว เหมียวๆ
เจ้าแมวในอ้อมอกส่งเสียงประท้วงราวกับมันไม่ยอมแพ้ให้กับเรื่องเมื่อครู่ ขณะที่ร่างเล็กวิ่งลัดเลาะไปตามพงหญ้าคาสูงท่วมศีรษะ เพื่อหวัจะปลีกตัวเลี่ยงผ่านหมู่บ้าน จนกระทั่งมาถึงบ้านไม้ของตนเอง เด็กหญิงตัวน้อยก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะท่านตาท่านยาย” เสียงใส่กล่าวกับสองคนชราที่กำลังนั่งหั่นสมุนไพรอยู่ภายในบ้าน “วันนี้ได้ปลาหลีกับหอยขมมา แล้วก็มียอดผักบุ้งอ่อนด้วยนะเจ้าคะ เรื่องอาหารวันนี้ให้ข้าจัดการเถอะเจ้าคะ”
“เสี่ยวหนิง วันนี้เด็กคนนี้กลับมาเร็วกว่าปกติตามที่สัญญาไว้จริงๆ” เอ่ยจบท่านตาก็หัวเราะเบาๆ ระคนเอ็นดู
“เอาตัวอะไรกลับมาละนั้น ไหนเอามาให้ยายดูใกล้ๆ หน่อยสิ”
แน่นอนว่าเป็นท่านยายที่สังเกตเห็นก้อนขนอ้วนๆ สีขาวสะอาดตาที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของฉินอี้หนิง เด็กหญิงที่เคยมีความคิดว่าจะซ่อนเจ้าแมวตัวนี้ไว้ก่อนจนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม จึงต้องจำใจนำมันเข้าไปให้สองผู้เฒ่าได้ดูอย่างชัดๆ
“ข้าเจอมันที่ริมแม่น้ำฟางน่ะเจ้าค่ะ เห็นมันหลงทาง ไม่มีเจ้าของ ก็เลยนำมันกลับมาเลี้ยง” คราวนี้ใบหน้างดงามพยายามออดอ้อนอย่างที่สุด “เจ้าแมวตัวนี้…เราเลี้ยงมันได้รึเปล่าเจ้าคะท่านตาท่านยาย มันน่าสงสารขนาดนี้”
“แหม ชะตาของเจ้าเหมียวตัวนี้ช่างเหมือนกับเจ้าเสียเหลือเกิน ถ้าอยากเลี้ยงก็เลี้ยงได้ แต่แมวถ้ามีเจ้าของ ยังไงมันก็จะหาทางกลับไปหาเจ้าของที่แท้จริงจนได้” ชายชรานามฉินกงจื่อลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ครู่หนึ่ง จนฉินอี้หนิงแอบได้ยินเสียงเส้นและกระดูกของเขาดังกรอบแกรบ ก่อนจะนำสมุนไพรที่ตากไว้เข้ามาเก็บไว้ในโหลของแห้ง
“ก็จริงนะ นึกถึงวันนั้นเลย วันที่ยายเจอเสี่ยวหนิงครั้งแรก ตอนนั้นเจ้าบาดเจ็บหนัก นอนไร้สติอยู่ที่ริมแม่น้ำฟาง ตาและยายต้องใช้เวลารักษามากถึงสามเดือนเจ้าถึงฟื้นคืนสติ” ฉินอี้เอินกล่าวพลางเดินเข้ามาดูวัตถุดิบที่หลานสาวบุญธรรมไปเสาะหามาจากแม่น้ำฟาง
“แต่ความทรงจำของหนิงเอ๋อร์ก็ไม่เคยกลับมา หนิงเอ๋อร์ขอโทษจริงๆ ที่อยู่เป็นภาระของพวกท่าน”
นางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด ความรู้สึกนี้ออกมาจากใจจริง เพียงแต่ช่วงเวลาไม่เหมาะสมนัก เพราะหากนางบอกความจริงแก่ทุกคนว่านางเป็นใครมาจากไหน มีหวังนางคงไม่มีโอกาสได้ยืนหายใจอยู่บนโลกกว้างแห่งนี้แน่ๆ เช่นนั้นจนกว่าทุกอย่างจะปลอดภัยมากกว่านี้ นางจะไม่ยอมกลับไปเป็นองค์หญิงหลันฝูหรงเด็ดขาด!
“ดูเจ้าเด็กนี่พูดจาเข้า ม้าผอมอย่างเจ้าเป็นภาระอะไรกัน สองตายายไม่มีลูกหลานเลยสักคน การที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าสวรรค์ต้องการมอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับเรา” เป็นท่านตาที่เอ่ยติดตลก ส่วนท่านยายก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เจ้าแมวนี่ก็ดูอ้วนกลมน่ารักดีนะ จะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีหนอ” ท่านยายเดินมาลูบขนเจ้าแมวขาวตาสีฟ้า แต่ก่อนที่ทุกคนในบ้านจะได้เสนอชื่อเรียกให้กับสมาชิกใหม่ ป้ายไม้บางอย่างที่แขวนอยู่บนคอของมันก็ปรากฏขึ้นเสียก่อน
“หื่ม? โต๋วเปา” ท่านยายฉินอ่านทวนคำที่เขียนอยู่บนป้ายไม้นั้นอย่างเชื่องช้า
“อาจจะเป็นชื่อของเจ้าแมวตัวนี้นะเจ้าคะ” ฉินอี้หนิงออกความคิดเห็นบ้าง
“ชื่อน่ารักดีนะ เหมาะกับเจ้าก้อนขนอ้วนตัวนี้ไม่น้อยเลย ฮ่าๆๆ”
ในขณะที่เจ้าแมวขาวตั้งใจฟังสถานการณ์นี้อย่างเหนื่อยหน่าย คอมเมนต์มากมายก็ผุดขึ้นบนจอแสดงราวกับดอกเห็ด
[ฟรานซิสสส : ชื่อเหมือนท่านจอมพลคนหล่อของเราเลย]
[SinSee : หรือว่า…]
คนพวกนี้จะเชื่อมโยงอะไรต่อมิอะไรเก่งเกินไปแล้ว!!!
[เจนนี่หยาง : ไม่ใช่หรอก คนระดับนั้นไม่มีเล่นอะไรไร้สาระแบบนี้แน่นอน]
คอมเมนต์ล่าสุดทำเอาชายหนุ่มถึงกับคิ้วกระตุกทันที ทำไมคนเราถึงกล้ามาตีดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกกันนะ แบบนี้กระมังเขาถึงไม่กล้าทำอะไรไร้สาระต่อหน้าคนอื่น แต่คอมเมนต์แบบนี้มันก็เป็นข้อดีละนะ เพราะต่อจากนี้เขาจะได้ทำอะไรบ๊องๆ โดยใช้ร่างแมวเหมียวสีขาวตัวนี้บังหน้า
“เช่นนั้น ถ้าท่านตาท่านยายไม่ว่าอะไร หนิงเอ๋อร์ขอตัวไปทำอาหารเย็นก่อนนะเจ้าคะ” กล่าวจบร่างเล็กก็รีบคว้าเอาวัตถุดิบเข้าไปในครัวทันที แน่นอนว่าร่างอ้วนๆ ของเจ้าแมวสีขาวก็ตามติดนางไปราวกับเป็นเงาตามตัว
[ฟรานซิสสส : ชอบจังแฮะ การได้มาดูสตรีมเมอร์คนทำอาหารในยุคโบราณแบบนี้]
หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น ตอนนี้สายตาของเขาไม่อาจละจากฝ่ายตรงข้ามได้เลยสักวินาทีเดียว ทั้งความงาม ความคล่องแคล่วในการทำอาหารของนาง ล้วนทำให้เขาไม่อาจหนีหายไปไหนได้ ยามเมื่อนางเด็ดยอดผักบุ้งด้วยมือเพื่อนำมันไปผัด และยามเมื่อนางขอดเกล็ดปลาหลีด้วยมีดปังตอใหญ่ๆ ที่ไม่น่าจะเหมาะกับการทำอาหารเล็กๆ แสนละเอียดอ่อนเช่นนี้
“เจ้าเหมียวโต๋วเปา เจ้าจะสนใจอะไรขนาดนั้น?” เสียงหวานถามราวกับติดตลก ก่อนจะใช้มีดหั่นปลาหลีสองตัวเป็นท่อนๆ เพื่อต้ม ส่วนตัวใหญ่ที่สุดอีกหนึ่งตัวนางใช้วิธีบั้งถี่ๆ เพื่อทอดในน้ำมันเดือดๆ
“ข้าชื่อฉินอี้หนิง ตอนนี้เราสองคนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
เมี้ยวววว
ชายหนุ่มในร่างแมวนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมบนโต๊ะไม้ซึ่งใช้วางวัตถุที่นางหั่นเตรียมไว้
“วันนี้ข้าจะทำปลาหลีต้มเม็ดบ๊วย ปลาหลีทอดราดพริกเปรี้ยวหวาน แล้วก็ผัดผักบุ้ง”
อดีตจอมพลยังคงนั่งฟังสิ่งที่เด็กหญิงยุคโบราณที่มีอายุมากกว่าเขาถึงหมื่นๆ ปี พูดอธิบายถึงสิ่งที่นางกำลังลงมือทำอย่างตั้งใจ บางครั้งเขาก็ส่งเสียงเมี้ยวๆ ตอบกลับ เพราะอยากตั้งคำถามกับสิ่งที่นางทำให้มากกว่านี้ ทว่าด้วยอวาตาร์ที่สมจริง ทำให้เขาไม่อาจทำอะไรได้ตามใจขนาดนั้น
เมื่อวาจาใช้ไม่ได้ อวัจนภาษาจึงถูกนำมาใช้ นั่นคือการแตะอุ้งมือลงบนหอยที่นางเรียกว่าหอยขมนั่นเอง
“ส่วนหอยพวกนี้ยังกินไม่ได้ ต้องแช่น้ำใส่พริกเพื่อให้มันคายดินออกมาเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าเราคอยเอามันมาผัดกินกันนะ”
มือเรียวลูบศีรษะสัตว์เลี้ยงนิสัยประหลาดตัวนี้ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะทำงานของตนเองด้วยท่าทางสดใสน่ามอง
จบตอนที่หนึ่งแล้ว ถูกใจกันบ้างมั้ยคะ อย่าลืมกดหัวใจเพื่อเป็นกำลังใจให้กันนะ
[1] ปลาหลี เป็นปลาน้ำจืดอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน รูปร่างลักษณะคล้ายปลาตะเพียนขาว เกล็ดกลมใหญ่ทั่วตัว หัวไม่มีเกล็ด ปากเล็ก ยืดหดปากได้ ริมฝีปากหนาและมีหนวดสี่เส้น ครีบหลังมีฐานยาว
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป