มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อย
ยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ
“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”
อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวา
บ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
ต่อให้ไม่ได้อยากจะเห็นภาพศพชวนขนลุก แต่ใครหลายคนรวมทั้งอาจูก็ยังพ่ายแพ้ให้ความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากจดๆ จ้องๆ อยู่ครู่หนึ่ง คณะสำรวจคณะย่อมๆ ก็สังเกตได้ว่าในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะไม่ไกลจากหัวคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านมีสิ่งแปลกปลอมคล้ายรากบัวสีดำมะเมื่อมอยู่ภายใน
นั่น...นั่นแขนรึ?
“เป็นศพ...มีศพเด็กแช่อยู่จริงๆ!”
“มีศพในบ่อพักน้ำ!”
ชาวบ้านที่ตามมาดูพึมพำประโยคเหล่านี้ดังระงม หลายรายที่สีหน้าดูดีกว่าคนอื่นมาตลอดทางพลันหน้าเผือดสี ต่อให้ก่อนหน้านี้จะพยายามปฏิเสธข้อเท็จจริงเรื่องนี้สักแค่ไหน ก็จำต้องยอมรับความจริงให้ได้เสียที
“นำศพขึ้นมาให้ดี ระวังอย่าให้มีชิ้นส่วนชิ้นใดขาดหายไป แม้แต่เชือกที่คนร้ายใช้ผูกไว้ก็ต้องนำขึ้นมาให้หมด” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ เยว่เทียนฟงเองก็พยักหน้า บรรดาผู้ติดตามจึงได้แต่ผูกผ้าปิดจมูกให้แน่นขึ้น แล้วข่มใจลุยน้ำลงงมศพแทนการใช้เชือกคล้องดึงลากศพขึ้นมาอย่างที่เคยเตรียมการไว้ ไม่นานนักก็ช่วยกันเคลื่อนร่างไร้ชีวิตที่บวมอืดจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นศพเด็กขึ้นมา
จนถึงตอนนี้ ชาวบ้านหลายคนหมดแรงจะอาเจียน ทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้น สตรีหลายคนหลั่งน้ำตาเงียบเชียบ บางรายฉุกคิดได้ว่าตนเองกินดื่มของสกปรกเข้าไปหลายวัน จึงรีบสะกิดญาติมิตร ลากจูงคนในครอบครัว พากันเดินเท้ากลับไปหาประมุขสตรีผู้น่าจะกำลังคัดแยกผู้ป่วยอยู่ในลานท้ายหมู่บ้าน
อาจูเหลียวมองชาวบ้านและเหล่าบุรุษสมาพันธ์เฮยอิงแล้วลอบถอนหายใจ
Defense mechanism...?[1]
ที่ตามมาดูกันมากมายถึงขนาดนี้ คงเพราะไม่อยากจะเชื่อว่า “นี่เป็นเรื่องจริง” ละมั้ง
คนพวกนี้ดื่มน้ำแช่ศพเข้าไปอย่างน้อยๆ ก็สามวันเต็ม ถ้าทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ ไม่มีใครใบหน้าซีดเซียวออกอาการพะอืดพะอมให้เห็นสักนิดก็แปลกแล้ว...
หืม...?
อาจูไล่สายตาสำรวจ “ท่านประมุข” ของเหล่าบุรุษชุดดำแล้วอดทึ่งไม่ได้
เกิดเรื่องใหญ่ชวนขนลุกขนาดนี้...สีหน้าเยว่เทียนฟงกลับดูสงบนิ่งเสียยิ่งกว่าในช่วงเวลาปกติ ไม่มีออกอาการตัวซีดหน้าเสียให้เห็นเลยสักนิด
ท่าทีเงียบขรึมเยือกเย็นแบบนี้...
สีหน้าเอาจริงเอาจังแบบนี้...
ตอนนี้เธอพอจะนึกภาพผู้ชายคนนี้ไล่บั่นคอพวกแตกแถวค้ำจุนสมาพันธ์ใหญ่โตทั้งสมาพันธ์ออกบ้างแล้ว
“ร่างบวมพอง เนื้อเริ่มเปื่อย หนังลอก ดวงตาปูดโปน ลิ้นจุกแน่นคับปาก...” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยขณะตรวจสอบศพเด็กเคราะห์ร้าย “เด็กคนนี้เป็นศพมามากกว่าสามวันแล้วจริงๆ”
ทั้งๆ ที่อุตส่าห์พยายามไม่มอง ท่านจ้าวหุบเขากลับสาธยายรูปลักษณ์ศพในพงหญ้าออกมาเสียละเอียดยิบ
ตอนนี้อาจูใกล้จะขย้อนของเก่าออกมาบ้างแล้ว
“บุตรชายที่ชายคนนั้นอยากปกป้อง สุดท้ายก็ตายเสียแล้ว”
เด็กคนนี้เป็นลูกชาย... ข้อมูลใหม่นี้ทำเอาลูกศิษย์ของหุบเขาเดียวดายชะงักค้าง ยิ่งนักถึงท่าทางตอนชายที่โดนตัดลิ้นคนนั้นกำชายเสื้อท่านจ้าวหุบเขาไม่ยอมปล่อย ก็ยิ่งสะเทือนใจ เยว่เทียนฟงเองก็จ่อมจงลงในภวังค์ไม่ต่างกัน ไม่แน่ว่าอาจกำลังโทษตัวเองที่หาตัวเด็กคนนี้เจอช้าเกินไป
ท่านจ้าวหุบเขาพลิกศพติดโรคดูอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นลงมือผ่าดูอวัยวะภายใน กระเพาะอาหาร ตับ ปอด หัวใจ ไม่มีชิ้นส่วนชิ้นไหนที่คิดจะมองข้าม
“แม้ศพจะเป็นเช่นนี้แล้วก็ยังพอจะบอกอะไรได้” หลังจากตรวจดูปอด
ท่านจ้าวหุบเขากรีดผ่ากระเพาะที่บวมพองด้วยสีหน้าสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่ กลิ่นเน่าเหม็นพวยพุ่งถึงขีดสุด ตรวจดูอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยเริ่มสรุปอย่างรวบรัด“ร่างกายไม่มีบาดแผลที่จะทำให้ถึงแก่ชีวิต มีเพียงรอยตุ่มหนองแตกยุ่ยของโรคฝีเมล็ดถั่ว ปอดและกระเพาะเองก็ไม่มีน้ำเข้าไปมากนัก ที่เห็นอยู่ในตอนนี้ย่อมเป็นน้ำที่ไหลเข้าไปภายหลังจากที่เด็กเสียชีวิต ในกระเพาะและลำไส้ตอนบนแทบไม่มีอาหาร...วัดจากเรื่องนี้และร่องรอยการดิ้นรน ก็อาจพูดได้ว่าเด็กคนนี้ถูกนำมาผูกทิ้งไว้ที่นี่มากกว่าหนึ่งวันจึงค่อยเสียชีวิต ทว่าโรคชนิดนี้ไม่ใช่ว่าติดโรคแล้วจะแสดงอาการให้เห็นได้เร็วนัก ต้องใช้ระยะเวลาอย่างต่ำสี่ถึงห้าวันจึงจะแสดงอาการ เจ็ดถึงสิบวันจึงค่อยเริ่มมองเห็นผื่นตามผิวหนัง ดูจากช่วงเวลาที่พวกชาวบ้านกลุ่มแรกเริ่มติดโรค เดาว่าเด็กอาจถูกนำมาผูกไว้ที่นี่นานกว่านั้น”
“ความหมายของจ้าวหุบเขาก็คือ...”
“ที่ผ่านมาผู้อยู่เบื้องหลังอาจใช้วิธีการบางอย่างรักษาชีวิตเด็กเอาไว้ ต่อมาคนของประมุขเยว่สืบสาวราวเรื่องมาถึงแถบนี้จึงไม่สะดวกจะให้ยาและอาหารยื้อชีวิตเด็กอีกต่อไป อีกหนึ่งถึงสองวันถัดมา เด็กจึงได้พ้นจากความทรมาน”
ผูกเด็กป่วยหนักคนหนึ่งแช่น้ำตั้งไม่รู้กี่วัน ใช้เด็กเป็นตัวการแพร่โรคระบาด...
นี่มันการละเล่นสกปรกอะไรกัน?
[1] หมายถึงกลไกการป้องกันตัวเองทางจิตใจของมนุษย์
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo