ในถ้ำ
กองไฟถูกจุดขึ้น เพื่อให้ความสว่างและความอบอุ่น เฟ่ยเย่ค่อยๆพยุงซานอี้วางลงอย่างระมัดระวัง ซานอี้คงมีสติ แต่เหนื่อยอ่อน หมดแรง ปวดบาดแผล ซานอี้บาดเจ็บสาหัส เลือดสีดำไหลออกมาทางบาดแผลคมลูกธนูที่ปักคาอกของซานอี้ “ลูกธนูมีพิษ ข้าไม่รู้ว่าเป็นชนิดใด“ เฟ่ยเย่มีสีหน้าเป็นกังวลจนเห็นได้ชัด “ข้าจะต้องดึงธนูออกก่อน มันอาจจะเจ็บปวดมากท่านไหวมั้ย“ เฟ่ยเย่อธิบายพร้อมเงยหน้ามองซานอี้เพื่อขอความเห็น ซานอี้พยักหน้ารับ ”ข้าต้องถอดเสื้อท่านออกก่อน จะได้ทำแผลสะดวก“ พูดพลางมือก็ปลดเข็มของซานอี้ออก ครู่ต่อมา ซานอี้ก็รู้สึกประหม่า เขินอายนิดหน่อย ตั้งแต่โตมาไม่เคยมีสตรีนางใดมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเค้าออกเช่นนี้ เฟ่ยเย่มีหอบผ้ามัดติดตัวมาด้วย นางรีบปลดออกจากตัวเพื่อความคล่องตัว เมื่อเตรียมทุกอย่างแล้ว ”ข้าจะดึงธนูออกแล้วนะ” เฟ่ยเย่หันไปสบตาซานอี้อีกครั้ง ซานอี้พยักหน้ารับ นางจัดท่าให้ซานอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงซ้อนทับตัวนางไว้ หันหน้าออกเฟ่ยเย่เม้มปากแน่น มือขวากำลูกธนูแน่น มือซ้ายกอดตัวซ่านอี้ไว้ ไม่ให้ขยับ ข้าจะดึงแล้วนะ พูดไม่ทันขาดคำ ฉึก! ซานอี้กัดฟัน เม้มริมฝีปากแน่น ลูกธนูถูกเฟ่ยเย่ดึงออกมาในครั้งเดียว แล้วเลือดสีดำก็ไหลตามออกมาเช่นกัน นางซับเลือดสีดำอยู่สักพักหนึ่ง ไม่ได้การล่ะ หากเลือดออกมาไม่หมดพิษคงวิ่งเข้าสู่หัวใจ นางจัดท่าให้ซานอี้นอนราบลงกับพื้นวิธีที่นางคิดได้ในตอนนี้คือดูดเอาเลือดออก นางล้มหน้าเอาปากดูดเลือดที่แผ่นอกของซานอี้ ในยามที่ปากสัมผัสโดนแผ่นอก ซานอี้สะท้านไปทั้งร่าง “เจ้า เจ้า ทำอะไรน่ะ” ซานอี้หัวใจเต้นแรง “ดูดเลือดพิษออก” เฟ่ยเย่หันมาตอบ สีหน้าปกติยามพ่นเลือดพิษออก ใช้แขนเสื้อเช็คเลือดที่ติดอยู่ที่ปาก “ข้าต้องถอดเสื้อผ้า ท่านอีก“ พลางยื่นมือไปดึงกางเกงของซานอี้ ห๊ะ ”เดี๋ยวๆ เจ้า เจ้า หยุดนะ“ ซานอี้ใช้มือยื้อกางเกงให้กลับขึ้นมา ”เจ้าเป็นผู้หญิงนะ ชื่อขึ้นธรรมเนียมสกุลสตรีอันดับหนึ่ง เจ้าได้มาได้อย่างไร“ ซานอี้ทำตาดุเม้มปากแน่น ตอนนี้ซานอี้ไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่ หากเฟ่ยเย่ยังดึงดันคงไม่มีแรงพอจะขัดขืน ”ข้าต้องฝั่งเข็มเส้นลมปราณ สกัดพิษ ตอนนี้พิษวิ่งไปทั่วแล้ว ข้าดูดพิษออกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หากชักช้า เจ้าน่าจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้“ เฟ่ยเย่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ”ข้า เอ่อ ต้อง ถอดหมดหรือ ให้ตายสิ ข้า ยอมตายตรงนี้ดีหรือไม่” ซานอี้ยังคงกำชายกางเกงแน่น “ไม่ต้องกังวล ส่วนที่เจ้าหวงแหน ข้าจะเอาผ้าปิดไว้ให้ เช่นนั้นเจ้าวางใจเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะมองของเจ้านักหรอก” เฟ่ยเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ซานอี้ปล่อยตัวตามสบาย เค้าหลับตาลง รู้สึกเหนื่อยอ่อนเต็มที เฟ่ยเย่เอาห่อเข็มออกมาจากย่าม คลี่ห่อเข็มออกภายในมีเข็มวางเรียงกันอยู่หลายสิบเข็ม นางลงเข็มปักไปตามร่างกายของซานอี้ เหงือเล็กๆผุดขึ้นที่หน้าผา การรักษาที่ใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วยาม และต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก ซานอี้รู้สึกถึงเข็มที่ทิ่มลงมาที่เนื้อ ทีละเข็มทีละเข็ม แต่เค้าก็อ่อนแรงจากการเสียเลือด แล้วยังบาดเจ็บจากการโดนกระบองหนามเหล็กฟาดแถมด้วยพิษจากลูกศรอีก เฟ่ยเย่เก็บเข็มทำความสะอาดเก็บเข้าห่อผ้า นางฉีกชายเสื้อมาพันบาดแผลให้ซานอี้เรียบร้อย ค่ำคืนนั้นต่างฝ่ายต่างอ่อนแรง ตอนเช้า ซานอี้รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น ก็พบกับแก้มของเฟ่ยเย่มาอยู่ติดปลายจมูกของเค้าได้กลิ่นหอม อ่อนๆ ทำให้ซานอี้ไม่กล้าหายใจแรงๆ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เค้าไม่คิดจะหลบหลีกใบหน้ารูปไข่ ขาวนวลไรผม และคิ้ว ไล่สายตามาหยุดตรงปากอวบอิ่ม ทำให้นึกถึงเมื่อคืน นางใช้ปากประกบตรงหน้าอกดูดพิษอยู่หลายครั้ง เฟ่ยเย่ขยับตัวเล็กน้อย ส่วนซานอี้แกล้งหลับตา เฟ่ยเย่รู้สึกตัวตื่น นางเห็นใบหน้าซานอี้อยู่ตรงหน้า มองใกล้ๆ พี่ชายเราก็หล่อเหลาเอาการมากทีเดียว พี่ชายที่มีแสงสว่างในพยายามฤดูใบไม้ผลิของข้า นางใช้นิ้วมือเขี่ยตามไรผม และวางนิ้วค่อยๆวาดนิ้วบนคิ้วช้าๆ จากนั้นก็วางนิ้วที่สันจมูกแล้ววาดลงมาช้าๆ ซานอี้ลืมตาตื่น สบตาเฟ่ยเย่ที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าทำอะไรน่ะ” ซานอี้ อมยิ้มทำให้มีลักยิ้มแก้มบุ๋ม “เอ่อ เออ เช้าแล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนท่านจะไม่มีไข้แล้ว แต่ยังต้องฝั่งเข็มต่ออีก 3-4 วัน พิษจึงจะถูกขับออกจนหมด ตอนนี้ท่านใช้วรยุทธไม่ได้ เพราะข้าผนึกลมปราณเอาไว้ก่อน เพื่อขจัดพิษ” เฟ่ยเย่ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าทำจากหนังภายในบรรจุน้ำอยู่เต็มพอให้ทั้งสอง ล้างหน้าล้างตา และดื่มกิน นางหยิบแผ่นแป้งกลมออกมาย่างไฟ และแบ่งกันกิน ”ในห่อผ้าของเจ้า มีของกี่มากน้อย ข้าไม่คิดว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์อย่างเจ้า จะเตรียมตัวมาลำบากได้ดีถึงเพียงนี้” นี่ไม่ใช่คำประชดประชัน แต่เป็นการชื่นชมจากใจจริงของซานอี้ ฮึ! นางทำเสียงขึ้นจมูก ชำเรืองดูซานอี้ ”ข้าก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วสิ แน่นอนว่ามาทางเหนือคร่านี้ไม่ได้มาเที่ยวเล่น หากข้าไม่เป็นห่วงเจ้า..ข้าคงไม่มา” “เจ้าเป็นห่วงข้าอย่างนั้นรึ” ซานอี้แปลกใจ สายตาคาดคั้นอยากได้คำตอบ เฟ่ยเย่สะดุ้งเล็กน้อย ลืมตัว ตอนนี้นางไม่ใช่ เหยียนหลินน้องสาวสุดที่รักของซานอี้อีกต่อไปแล้ว เฟ่ยเย่ไม่ตอบ กัดริมฝีปากเงียบ ซานอี้ค่อยๆ พยุงตัวเองเดินมานั่งข้างๆ เฟ่ยเย่ เค้าจับมือทั้งสองข้างของเฟ่ยมากุมไว้ “มองข้า” เฟ่ยเย่สบตาซานอี้ “กลับถึงแคว้นฉู่ เมื่อไหร่ ข้าจะทูลเสร็จพ่อ ไปสู่ขอเจ้า ข้าจริงจังนะ” ลูกผู้ชายอย่างซานอี้เป็นสุภาพบุรุษ ที่มีความรับผิดชอบสูงส่ง แต่ไม่ใช่เพียงแค่นางช่วยชีวิต แต่มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่มันก่อตัวตั้งแต่ร่วมทางเดินมาด้วยกันจนถึงร่วมเป็นร่วมตายกัน จนตอนนี้ “ไม่ ข้าไม่อยากได้ความรับผิดชอบ หรือการตอบแทนใดๆ ด้วยวิธีนี้ ไม่ต้องตอบแทน ไม่ต้องถวายตัวให้ข้า ฮ่าๆๆ“ เฟ่ยเย่หัวเราะหยอกล้อสบายใจ เวลาที่อยู่ในสถานะเหยียนหลิน กับพี่ซานอี้เป็นพี่ที่สนิทที่สุด ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเฟ่ยเย่ นางก็ยังอยากจะหยอกล้อ ยั่วโมโหเค้าเช่นเดิม ”เจ้านี่!“ เมื่อองค์ชายถูกดูถูกซึ่งหน้าเช่นนี้ ใบหน้าร้อนเผ่า ทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดมาดูถูกได้ถึงเพียงนี้ ซานอี้เอื้อมมือคว้าท้ายทอยของเฟ่ยเย่โน้มมาใกล้ใบหน้าของเค้า และกัดเข้าที่คอของเฟ่ยเย่กัดแล้วดูดอยู่สักพัก ”โอ๊ย ทำข้าเจ็บ“ เฟ่ยเย่พยายามผลักออก จับไปที่คอตนเอง สัมผัสได้ถึงรอยฟันและรอยช้ำแดงจากการดูด “รอยกัดนี้คือรอยตราประทับของข้า ข้าจองเจ้าไว้แล้ว” ซานอี้พูดพรางก็ยิ้มเขินอายเล็กน้อย “เจ้าจะบ้าหรือ ใครเค้าทำกันเช่นนี้เล่า” ซานอี้ยังคงต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อยู่ถ้ำวันที่ 3 พิษในร่างซานอี้ยังคงต้องฝั่งเข็มขับพิษอยู่อีก อย่างน้อยวันละ 1-2 ชั่วยาม ณ ค่ายอี้ชาง ท่านแม่ทัพเกราะทองฟางหมิ่นเหยียน กลับถึงค่ายอี้ชางแล้ว หลังจากที่แยกจากเฟ่ยเย่ที่หุบเขาลิ่ว ตอนนี้พิษที่อยู่ในกายก็ถูกถอนออกไปบ้างแล้ว ข่าวการหายไปขององค์ชายสามซานอี้กับคุณหนูฟางเฟ่ยเย่ไปถึงฮ่องเต้แคว้นหนานฉู่แล้ว องค์ชายต้วนอี้ เดินวนไปวนมาอยู่หน้าตำหนักตงเตี้ยน เพื่อรอเข้าเฝ้าฝ่าบาท “องค์ชายรอง เชิญพะยะค่ะ ฝ่าบาทอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร” ขันทีเว่ยผายมือ เชื้อเชิญ “ถวายบังคมเสร็จพ่อ ขอทรงพระเจริญหมื่นๆปี“ ต้วนอวี้คุกเข่าคำนับเสร็จพ่อ ฝ่าบาทเงยหน้าขึ้นมาจากฎีกา อืม “ลุกขึ้น เจ้าว่ามาสิ“ ฝ่าบาทถามผู้อยู่เบื้องหน้า ”ทูลเสร็จพ่อ ลูกได้ยินมาว่าน้องสามกับคุณหนูฟางเฟ่ยเย่ หายตัวไปหลังจากที่บุกช่วยท่านแม่ทัพฟาง บัดนี้ยังหาตัวไม่พบ ข้าขออนุญาตไปตามหาน้องสามทางเหนือ พระเจ้าข้า” “เรื่องนี้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าส่งองค์รักษ์ลับไปช่วยออกตามหาแล้ว ส่วนเจ้ายังมีเรื่องต้องทำ” “แต่..ลูก” ต้วนอวี้ทำถ้าจะเอ่ยปาก “เจ้าต้องไปแคว้นหนานตู ไปเป็นทูตเจรจาการค้า รีบออกเดินทางภายใน 2 วัน หากไม่มีอะไรก็ออกไปเถอะ“ ฮ่องเต้โบกมือให้ไป “ลูกทูลลา“ ต้วนอวี้โค้งคำนับ ค่อยถอยหลังและหันหลังเดินออกไป@ ณ ตำหนักบูรพา“อ๋องฉีเสด็จ! พะยะค่ะ”ขันทีน้อยหน้าตำหนักบูรพากล่าวรายงาน อันซื่อกำลังนั่งจิบน้ำชาสนทนากับต้วนอวี้ ส่วนซานอี้นั่งเล่นหมากกระดานกับลั่วซือเมื่ออ๋องฉีมาเยือนจึงทำความแปลกใจให้อันซื่อถึงขนาดต้องเอ่ยปาก “เสด็จอา มีธุระอันใดกับหลานหรือไม่ พระเจ้าข้า”อันซื่อยืนทำความเคารพผู้เป็นอา บรรดาน้องๆก็รู้มารยาทจึงลุกขึ้นคำนับด้วย“ในพิธีบวงสรวงเทวดา ข้าไม่เห็นองค์ชายน้อยแม้นแต่เงา จึงอยากมาเยี่ยมเยียนเค้าสักหน่อย”ใจจริงแล้วอ๋องฉีอยากมาจับสังเกตมากกว่า“ทูลเสด็จอา องค์ชายน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ พระเจ้าข้าท่านราชครูรับองค์ชายน้อยเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ตอนนี้จึงร่ำเรียนอยู่กับท่านราชครู พระเจ้าข้า”อันซื่อแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้ดีทีเดียวจนต้วนอวี้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า “ไหนๆท่านอาก็เสด็จมาถึงนี่แล้ว เชิญนั่งลงดื่มชาสักถ้วย เล่นหมากกระดานกับหลานๆสักตาสองตาเทิด”ต้วนอวี้เผยมือพร้อมกล่าวเชิญอ๋องฉี“ไม่เป็นไร ข้าจะไปพบเสด็จพี่แล้วก็จะกลับจวนเลย ไว้เจอกันที่สำนักศึกษาเถอะ“อ๋องฉีสะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเดินออกจากตำหนักบูรพาไป”เสด็จพี่! เสด็จอาประสงค์สิ่งใดกันแน่ ใยข้ารู้สึกได้ว่าไม่หวังดีต่อองค
เยียนหลินได้มาเรียนที่สำนักอู่หวินไถได้เดือนกว่าแล้ว สำนักศึกษามีวันหยุดประจำเดือน 4 วันเพื่อให้นักเรียนได้หยุดพักผ่อนและกลับไปเยี่ยมบ้านได้เช้านี้เยียนหลินกับองค์ชายทั้งสี่ต่างก็เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับวังหลวง “องค์ชายน้อย! เจ้าอยู่หรือไม่?“ เสียงใครคนหนึ่งด้านนอกเอ่ยถามถึงคนในห้อง“อยู่! ข้าอยู่” เยียนหลินเดินไปเปิดประตู ผู้ที่มาเรียกคือซื่อจื่อหวังจื่อเย่นี่เอง“พี่จื่อเย่! มีเรื่องอันใดหรือ?“เยียนหลินถามด้วยความสงสัย”เจ้ากำลังเก็บของอยู่หรือ“ซื่อจือสอบถามเรียบๆเคียงๆ”ใช่! ใกล้เสร็จแล้วล่ะ พี่จื่อเย่เข้ามาดื่มชาก่อนสิ“ เยียนหลินเชื้อเชิญ ซื่อจื่อจึงเข้ามาในห้องพักแต่นั่งลงตรงโต๊ะกลางห้องที่ไว้รับแขก เยียนหลินจึงนั่งลงข้างๆ และรินชาให้”พี่จื่อเย่มีธุระอันใดกับข้าหรือไม่“เยียนหลินถามแบบไม่ค้อม”วันหยุดนี้ข้าชวนเจ้าไปเที่ยวได้หรือไม่?“จื่อซื่อก็พูดแบบไม่อ้อมค้อม แต่อันซื่อกับต้วนอวี้เมื่อได้ยินซื่อจื่อพูดเช่นนั้นจึงรีบหันไม่พูดพร้อมกันว่า”ไม่ได้!” อันซื่อและต้วนอวี้ต่างก็มองหน้ากันและกัน“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้! แต่เสด็จพ่อคิดถึงองค์ชายน้อยเหลือเกิน อีกอย่างท่านราชครูก็จะมาในวันพร
เช้านี้เยียนหลินเข้าเรียนวิชาแพทย์และสมุนไพรของท่านอาจารย์เซียว นางนั่งเรียนคู่กับซื่อจื่อหวังโหวน้อย ถัดมาที่โต๊ะด้านหลังเป็นองค์ชายซานอี้กับองค์ชายลั่วซือนั่งคู่กันเนื่องจากเยียนหลินมีพื้นฐานทางการเรียนแพทย์มาจากสำนักหมอหลวงในวังแล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายในวิชาของอาจารย์เซียวและมักจะได้คะแนนเป็นลำดับสูงสุดในชั้นเรียน จึงเป็นที่โปรดปรานของท่านอาจารย์เซียวยิ่งนักตอนนี้ในเวลานั่งเรียน อยู่ๆ เยียนหลินก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา นางมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากหลายเม็ดใบหน้าที่ขาวนวลกับริมฝีปากบัดนี้กับซีดลง นางพยายามอดทนกับความเจ็บปวดที่เพิ่มทวีมาเป็นระลอกๆ มือที่วางอยู่บนโต๊ะเกร็งจนกำแน่นทั้งสองข้าง ความเจ็บปวดนี้เริ่มมาเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า จึงเริ่มทนความปวดหน่วงๆนี้แทบจะไม่ไหว ขณะเดียวกันซื่อจื่อที่นั่งข้างๆกันกับเยียนหลินก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “องค์ชายน้อยเจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ทำไมเจ้าหน้าซีดนักล่ะ”ซื่อจื่อพูดพรางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกไว้ตรงหน้าอกเสื้อของตนออกมาแล้วซับเหงื่อที่ใบหน้าขององค์ชายน้อย ซานอี้กับลั่วซือเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินไปทางเยียนหลิน ซานอี้ใช้มือทั้งสองจับที่แขนเพ
เช้าวันแรกที่อู่หวินไถ!ซานอี้กับลั่วซืออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบมาหาองค์ชายน้อยที่ห้องพักข้างๆ ทันที ซานอี้เปิดประตูเลื่อนผัวะ! ทำท่า ผงะเล็กน้อยแล้วรีบเลื่อนประตูปิดอย่างรวดเร็ว ลั่วซือยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ซานอี้จึงรีบเอ่ยเสียงดังๆขึ้นว่า“ท่านพี่! องค์ชายน้อย ข้ากับเจ้าสี่เข้าไปได้หรือไม่“ ”พวกเจ้าอย่าพึ่งเข้ามา รอสักครู่ก่อน!“อันซื่อรีบพูดสวนกลับ ภายในห้องนั้น เยียนหลินกำลังอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษา “เสร็จแล้วๆ ท่านพี่ทั้งสองเชิญเข้ามาได้”เสียงเยียนหลินดังออกมาจากภายในห้อง ซานอี้และลั่วซือจึงเปิดประตูอีกครั้งและเข้าไปในห้อง“โอโห องค์ชายน้อยแต่งชุดนักศึกษาแล้วดูมีสง่างาม มีราศีไม่น้อยเลย”ลั่วซือจับตัวเยียนหลินหมุนไปมา เยียนหลินเขินจนหน้าแดงเล็กน้อย “เจ้าอย่าแกล้งน้องสิ น้องหน้าแดงหมดแล้ว”อันซื่อตำหนิลั่วซือเล็กน้อย“สง่างามจริงๆ นั่นแหละ หากข้าเป็นผู้หญิงคงหลงรักองค์ชายน้อยแล้ว”ซานอี้ก็ล้อเยียนหลินด้วยเหมือนกัน“เอาล่ะๆ พวกเราไปเรือนรับรองอาหารกันดีกว่า”ต้วนอวี้กล่าวพร้อมกับต้อนบรรดาพี่น้องให้เดินออกจากห้องพักที่เรือนรับรองอาหาร มีอาหารหลายอย่างที่ต้อ
รถม้าค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากราชวังเหล่าบรรดาพี่ๆ องค์ชายต่างฝ่ายต่างนั่งกันเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก ทำให้เยียนหลินรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก องค์ชายต้วนอี้และซานอี้ก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา ส่วนองค์ชายอันซื่อก้มหน้าก้มตาอ่านตำรา และองค์ชายลั่วซือก็นั่งกอดอกหัวพิงขอบหน้าต่าง เหมือนงีบหลับเสียอย่างนั้น เยียนหลินได้แต่ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง ครึ่งชั่วยามผ่านไปรถม้าก็ค่อยๆ มาจอดที่หน้าสำนักศึกษาอู่หวินไถ!วันนี้เป็นวันแรกที่เปิดภาคเรียนปีการศึกษาใหม่ของสำนักศึกษาอู่หวินไถ จึงมีป้ายประกาศรายชื่อนักเรียนที่เข้ามาใหม่และมีการจัดอันดับห้องเรียนใหม่ตรงบริเวณป้ายประกาศรายชื่อมีคนจำนวนมากที่เบียดเสียดเข้าไปดูรายชื่อของตนเอง เยียนหลินจึงยืนอยู่เว้นระยะห่างจากตรงป้ายประกาศพอสมควรโดยมีลั่วซือยืนระวังความปลอดภัยให้น้องส่วนอันซื่อ ต้วนอวี้ และซานอี้เข้าไปเบียดเสียดมองหารายชื่อของตนเองและคนรู้จัก“ท่านพี่! ท่านดูสิ! รายชื่อของท่านอยู่อันดับหนึ่ง ส่วนชื่อข้าอยู่อันดับสี่ เราได้อยู่ห้องเดียวกันอีกแล้ว”ต้วนอวี้สะกิดเรียกอันซื่อและชี้มือไปทางป้ายประกาศทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งมาปัดมือของต้วนอวี้ออกอย่างแรง “เจ้
องค์หญิงเยียนหลินรีบตื่นขึ้นในตอนเช้า อาบน้ำแต่งองค์ด้วยเสื้อผ้าที่ท่านอาจารย์มอบให้ ทรงเสด็จไปยังเรือนรับรองโดยมิได้มีเหม่ยจูตามเสด็จมาด้วย เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในเรือนรับรอง เห็นนางกำนัลเก็บวาดทำความสะอาดตามห้องพักต่างๆ องค์หญิงรีบถามนางกำนัลที่ทำความสะอาดบริเวณนั้น“ท่านอาจารย์ล่ะ เจ้าเห็นท่านอาจารย์ของข้าหรือไม่?”“ทูลองค์หญิง ท่านราชครูไปแล้ว เพคะ!”นางกำนัลตอบคำถามองค์หญิงอย่างน้อบนอม“ไปไหนหรือ?”องค์หญิงซักถามนางกำนัลต่ออีก“ทรงขึ้นรถม้าออกนอกราชวังไปแล้วเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบคำถามองค์หญิงอย่างน้อบนอม“ไปแล้วหรือ!”องค์หญิงถึงกลับอึงไป และพูดอยู่กับตัวเองย้ำๆ ว่าไปแล้วหรือ! นางเดินกลับตำหนักจิ่งหลินด้วยความผิดหวัง เหม่ยจูเห็นองค์หญิงเดินกลับตำหนักด้วยท่าทางเหม่ยลอย นางคว้าแขนองค์หญิงและเขย่าเรียกเบาๆ“องค์หญิง! องค์หญิงไปไหนมาหรือเจ้าคะ?”เหม่ยจูเขย่าองค์หญิงเบาๆ อีกครั้ง!“ไปหาท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์กลับไปแล้ว”องค์หญิงตอบเหม่ยจูด้วยสีหน้าผิดหวัง“องค์หญิงน้อย ฝ่าบาทให้ขันทีเว่ยมาตามไปพบเสด็จฯ เพคะ องค์หญิงน้อยทรงรีบไปที่ตำหนักตงเตี้ยนเถอะเจ้าค่ะ“เหม่ยจูรีบจูงมือขององค์หญิงน้อย