ข้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นในห้องนอนอันกว้างใหญ่ แสงแดดยามเช้าสาดผ่านม่านผืนหรูทอดเงาซับซ้อนลงบนพื้นหินขัดมันวาว งดงาม... แต่กลับเยียบเย็นราวกับความโอ่อ่ารอบตัวนี้กำลังบีบรัดข้าไว้จนหายใจไม่ออก ข้าจ้องเพดานนิ่ง รวบรวมสติจากเศษเสี้ยวของความฝันที่หลงเหลืออยู่ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา ชีวิตเช่นนี้(?)... ข้าชินชาเสียแล้ว
เสียงการขยับตัวของพี่เลี้ยงหน้าประตูปลุกข้าให้หลุดจากภวังค์
"ถึงเวลาตื่นแล้วเพคะ เจ้าหญิงออเรเลีย" น้ำเสียงเรียบเฉย ปราศจากไออุ่นใดๆ
ข้าพยักหน้ากับตัวเอง พลางเหยียดขาออกจากเตียง ความเย็นเฉียบของพื้นหินอ่อนแทรกผ่านฝ่าเท้าจนข้าต้องขมวดคิ้ว ความหนาวที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายนี้... ไม่ต่างจากความเย็นชาที่เกาะกุมหัวใจของข้าเลย
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้าจำความได้ สิ่งแรกที่ข้ารู้จักคือชื่อของข้า "ออเรเลีย วอน อากาธีร์" พวกเขามักจะเรียกข้าว่าเจ้าหญิง(?) ข้าไม่เคยเห็นหน้าแม่ของข้า ผู้คนรอบตัวบอกว่าท่านเสียไปเพราะให้กำเนิดข้า ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นคือ จักรพรรดิของอานาจักรนี้ "อาเดลวิน วอน อากาธีร์" ข้ารู้จักแค่ชื่อเพราะ บางครั้งก็ได้ยินจากพี่สาวรับใช้พูดคุยกันไปมาเพียงเท่านั้น
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ข้าเปลี่ยนเป็นชุดเนื้อผ้าบางเบา แต่กลับรู้สึกหนักอึ้งราวกับมันถูกถักทอขึ้นจากพันธนาการและหน้าที่ พี่เลี้ยงช่วยแต่งตัวให้ข้าด้วยท่าทีเฉยเมย มือของนางรวดเร็วและแม่นยำแต่กลับไร้ซึ่งความอ่อนโยน ข้าเคยสงสัยว่าหากเช้านี้มีใครสักคนกล่าวกับข้าด้วยถ้อยคำอ่อนหวานสักประโยคหนึ่ง หัวใจข้าจะอบอุ่นขึ้นบ้างไหม
มื้อเช้าถูกจัดเตรียมไว้อย่างวิจิตรบนโต๊ะอาหารตัวยาว ทว่า... มีเพียงข้าที่นั่งอยู่เพียงลำพัง อาหารตรงหน้าช่างงดงาม แต่ไร้รสชาติพอๆ กับชีวิตที่ข้าดำเนินมา(?) ข้าเหลือบมองเก้าอี้ว่างเปล่าตรงข้าม—ที่นั่งของเสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนข้าเคยเฝ้าหวังว่าท่านจะมาร่วมทานอาหารกับข้าเพียงซักมื้อหากข้าสามารถทำบททดสอบของการคำนวณได้คะแนนเต็ม หรือได้โชว์ทักษะมารยาทบนโต๊ะอาหารที่อุส่าพร่ำฝึกฝนจนชำนาญ
แต่แปลก... ตอนนี้ข้ากลับไม่รู้อะไรแบบนั้นอีกแล้ว ไม่โกรธเคือง ไม่แม้แต่จะหวังให้สิ่งใดเปลี่ยนไป บางที... ข้าอาจจะชินชากับความโดดเดี่ยวไปแล้วจริงๆ
หลังอาหารเช้า ข้าต้องเตรียมตัวเข้ารับการฝึกฝนอันเคร่งครัด ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านไปอย่างเชื่องช้า ท่าทางของข้าต้องไร้ที่ติ คำพูดของข้าต้องสมบูรณ์แบบ ทุกย่างก้าวต้องสง่างามราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างเหมาะสมที่สุดในสายตาผู้คน
ขณะกำลังฝึก ข้าเผลอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง สวนดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ไปเดินเล่นแม้จะผ่านมาไม่นานแต่ความรู้สึกเหมือนผ่านมานับสิบปี ความงดงามราวกับภาพวาด ผีเสื้อโบยบินเล่นลม ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่ไหวเอน ข้ายังจำได้ดี มือที่เผลอกำแน่นทำให้หลุดออกจากภวังค์—ข้าเองก็อยากจะโบยบินออกไปเช่นกัน
...เป็นอิสระจากทุกสิ่งซักครั้ง...
แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน ข้าก็ยังอดปรารถนาไม่ได้
แต่ข้าจะไม่ยอมให้ความว่างเปล่ากลืนกินข้า ข้าจะใช้มันหล่อหลอมตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
ข้าหันกลับมาสนใจบทเรียนอีกครั้ง ก่อนกระซิบคำสัญญากับตัวเอง—ข้าจะอดทน ข้าจะหาความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ต่อให้ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ข้าก็จะยังมี ‘ตัวข้าเอง’
และตราบใดที่ข้ายังมีความหวัง ข้าจะไม่มีวันแตกสลาย
วันนี้เป็นวันเกิดปีที่สี่ของข้า แม้จะไม่ได้คาดหวังมากแต่ลึกๆ แล้ว ข้าแอบหวังว่าอย่างน้อยครั้งนี้ เสด็จพ่อจะจำมันได้บ้าง ข้าใช้เวลาสวมชุดเดรสสีลาเวนเดอร์อ่อน สีนุ่มนวลเหมือนดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ แต่งตัวให้สวยและน่ารักที่สุดตั้งแต่เช้า แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่อาจสลัดความผิดหวังที่หนักอึ้งบนบ่าคู่น้อยๆ นี้ไปได้เมื่อ...ข่าวที่ข้าหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตได้มาถึงหูของข้า
ของขวัญสุดพิเศษที่ควรจะเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ เค้กก้อนยักษ์ที่น่าอร่อย หรือคำชมของเสด็จพ่อที่ข้าพยายามเล่าเรียน กลับเป็นสาวใช้พี่เลี้ยงของข้ากลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นเต้นที่ทำให้ข้าสับสน
“เจ้าหญิงออเรเลีย!” นางเอ่ยขึ้น ดวงตาเป็นประกาย “องค์จักรพรรดินีทรงมีพระประสูติการแล้ว! องค์ชายพระองค์น้อยทรงประสูติแล้วด้วยสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์!”
ขณะที่ข่าวนั้นกระทบโสตประสาท ข้ากลับรู้สึกเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง นี่ควรจะเป็นวันพิเศษของข้าแท้ๆ แต่พระราชวังกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศเฉลิมฉลองที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เสียงหัวเราะดังระงมทั่วโถงทางเดิน เสียงระฆังดังกังวานไปทั่ว—เสียงสรรเสริญแห่งความปีติที่ข้าเองก็ปรารถนาจะสัมผัส ข้ายืนมองจากหน้าต่าง เห็นเหล่าข้ารับใช้เดินขวักไขว่กันให้ทั่วปราสาท เตรียมการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีที่ประดับด้วยตราประจำจักรวรรดิถูกแขวนขึ้น และอาหารเลิศรสมากมายถูกจัดและเตรียมขึ้นจนกลิ่นหอมโชยมาถึงที่วังที่ข้ายืนอยู่
แม้จะไม่เห็นแต่ข้าก็สัมผัสได้เสด็จพ่อของข้าเองก็กำลังอยู่ที่นั่น ณ ที่แห่งนั้น ยิ้มและหัวเราะ ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่ร่วมยินดีกับการประสูติขององค์ชายใหม่พร้อมกับพระมเหสี ภาพของเขา—พ่อของข้า—ผู้มอบความสุขแก่ผู้อื่นทั่วอนาจักรอย่างเต็มเปี่ยม แต่ไม่เคยมองมาที่ข้าเลย มันย้ำเตือนว่าข้านั้นเป็นเศษเดนแห่งชีวิตขนาดไหน
ข้าพยายามประมวลความรู้สึกตัวเองต่อเหตุการณ์นี้ ควรจะรู้สึกอิจฉาหรือเปล่า? ควรจะโกรธที่น้องชายเพิ่งเกิดมาก็ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าไม่เคยมี? แต่แทนที่จะเป็นความขุ่นเคืองหรือความน้อยใจ สิ่งที่ข้าสัมผัสได้มีเพียง ‘ความว่างเปล่า’ ความสงบจนน่าประหลาดใจที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความรู้สึกปั่นป่วนในใจ
“ข้าควรจะรู้สึกอะไรบางอย่างสิ… แล้วทำไมถึงไม่มีอะไรเลย?” ข้าพึมพำกับตัวเอง มองไปยังบรรยากาศอันครึกครื้นที่อยู่ไกลออกไป
งานเฉลิมฉลองจัดขึ้นยาวนานถึงสามวัน เสียงแห่งความสุขฟังดูเหมือนเสียงสะท้อนที่ไกลเกินเอื้อม ข้ายกมือขึ้นแตะกระจกหน้าต่างเย็นเยียบราวกับพยายามสัมผัสความมีชีวิตชีวาที่อยู่อีกฟากหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นเพียงเงาจางๆ ที่ล่องลอยอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ เป็นเพียงวิญญาณที่ไร้ตัวตนและไม่มีใครเห็น
งานเฉลิมฉลองดำเนินต่อไปโดยไม่มีข้า และเมื่อเฝ้ามองภาพนั้น แสงแดดที่เคยส่องเข้ามาในห้องก็เริ่มถูกเงามืดกลืนกินไปเรื่อยๆ หนักแน่นพอๆ กับความรู้สึกที่ข้าแบกรับอยู่ นี่ข้าควรจะเสียใจหรือเปล่านะ? หรือบางทีความโดดเดี่ยวนี้อาจเป็นที่ของข้า...
ข้าละสายตาจากหน้าต่าง ข่มกลั้นหยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาบนขอบตา เด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันคงจะได้ล้อมรอบด้วยครอบครัว ได้รับความรักและความสุขจากคนรอบข้าง แต่สำหรับข้า… ความจริงกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ข้าไม่เคยรู้เลยว่าวันเกิดที่มีแต่ความสุขมันเป็นยังไง
ทำไมถึงเป็นข้าที่ไม่มีโอกาสแบบนั้นบ้าง
ข้าจะรู้จักอ้อมกอดที่อบอุ่น เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความรัก หรือคำอวยพรที่เอ่ยถึงข้าโดยเฉพาะสักครั้งในชีวิตหรือเปล่านะ?
ความคิดนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยปวดร้าว ข้าหลับตาลง โอบกอดตัวเองแน่นราวกับจะหาความอบอุ่นจากตัวเองเพียงลำพังและน่าอัศจรรย์ที่มันเหมือนจะได้ผล หัวใจของข้าเหมือนได้รับการเยียวยาจากบางสิ่งแม้ ณ ข้างกายข้าจะไม่มีใครอยู่เลย ทุกสิ่งทุกอย่างในพระราชวังยังคงหมุนเวียนต่อไป โดยที่ไม่มีข้าเป็นส่วนหนึ่งของมันเลย
วันนี้เป็นวันเกิดของข้า แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนเป็นเพียงดวงดาวที่ถูกลืมเลือนบนผืนฟ้ายามราตรี—เจิดจ้าเพียงลำพัง ไร้ซึ่งสายตาใดที่เฝ้ามอง และทั้งหมดที่ข้าทำได้คือยืนอยู่ตรงนั้น… เฝ้าฝันถึงวันที่หัวใจของข้าจะมีที่ยืนอยู่จริงๆ สักวันหนึ่ง.
ขณะที่วังเต็มไปด้วยความยินดีจากการประสูติของพระอนุชา ชีวิตของออเรเลียกลับดำเนินต่อไปอย่างโดดเดี่ยว ในวันนี้เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ในลานฝึกซ้อม ที่ซึ่งเธอจะต้องเข้าร่วมการฝึกดาบเป็นครั้งแรกกับอัศวินผู้ชำนาญและเป็นกัปตันแห่งราชองครักษ์
ความรู้สึกตื่นเต้นปะปนไปกับความกังวล ลานฝึกเต็มไปด้วยเสียงกระทบกันของดาบและเสียงคำรามแห่งการฝึกฝนของเหล่าอัศวิน แต่ในขณะที่คนอื่นมองว่าที่นี่ประหนึ่งสนามรบ ออเรเลียกลับรู้สึกว่าที่นี่คือที่ของเธอ
อัศวินหนุ่มก้าวเข้ามาหาเธอ ชุดเกราะของเขาสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย เขาเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งของอนาจักร
"กระหม่อมมีนามว่า เอลเดรด แห่งฟอล์คเกรฟ " น้ำเสียงของเขาทุ้มและหนักแน่น
ตระกูล ฟอล์คเกรฟ เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลดยุคแห่งอนาจักรขึ้นชื่อในด้านชำนาญการรบที่สุด โดยส่วนใหญ่จะประจำการอยู่ที่แดนเหนือและไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวงเสียเท่าไหร่ไฉนครั้งนี้เขาถึงมาเป็นผู้ฝึกสอนข้าโดยตรงกันนะ?
"วันนี้เราจะเน้นเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความอดทนของท่านกันก่อนพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่จะฝึกเทคนิคการต่อสู้จริงร่างกายจะต้องพร้อมรับต่อทักษะเหล่านั้นก่อน"
จากนั้นดยุคเอลเดรคก็เริ่มสั่งให้เจ้าหญิงทำการวอร์มอัพและฝึกฝนร่างกาย ออเรเลียปฏิบัติตามคำสั่งของเขา ผลักดันตัวเองให้ผ่านชุดการฝึกที่หนักหน่วง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งขณะที่เธอฝึกเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนหน้าผาก แต่แทนที่จะรู้สึกอ่อนล้า เธอกลับรู้สึกมีชีวิตชีวา ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเธออีกทั้งมันยังช่วยให้เธอลืมเรื่องต่างๆได้เป็นอย่างดี
"หนึ่ง... สอง... สาม..." เธอพูดออกมาเป็นจังหวะตามลมหายใจ ร่างกายของเธอแข็งแกร่งขึ้นในทุกครั้งที่ขยับ
จนกระทั่งถึงเวลาที่เธอได้จับดาบไม้ หัวใจของเธอเต้นแรง ทันทีที่เธอกำด้ามดาบ มันให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกนั้นทำให้เธอทั้งตื่นเต้น
ด้วยการเคลื่อนไหวที่เฉียบคม เธอฟันดาบไปข้างหน้า กล้ามเนื้อของเธอตอบสนองด้วยทักษะที่เหนือวัย เธอร่ายรำวิชาดาบประหนึ่งเหมือนกำลังเต้นรำอยู่ก็ไม่ปาน
อาจารย์ฝึกมองเธอด้วยความตกตะลึง "กระหม่อมไม่เคยรู้ว่าพระองค์เคยผ่านการถือดาบมาก่อนแล้ว" เขากล่าว พลางสังเกตการณ์เคลื่อนไหวที่แม่นยำและมั่นคงของเธอ
"เปล่า...ไม่ใช่" คำพูดของเด็กสาวทำให้ชายร่างโตต้องเอียงคอสงสัยในสิ่งที่นางพูด "นี่เป็นครั้งแรกของข้า"
ดยุคเอลเดรค ตะลึงกับคำพูดของเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะสงบจิตแล้วกลับมาเคร่งขรึมตามเดิม "เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ"
บทเรียนยังคงดำเนินต่อไป ออเรเลีย ยิงฝึกฝนยิ่งรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ทำไมเธอถึงใช้ดาบได้คล่องแคล่วราวกับฝึกฝนมาหลายปี? นิ้วมือเล็กๆ ของเธอกำด้ามดาบอย่างมั่นคง ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเธอมาตลอดได้อย่างไร
ดยุคเอลเดรคที่คอยจับตามองเธอ ก็สังเกตถึงความสามารถที่เกินมาตรฐานของเด็กวัยนี้ ยิ่งเขาดูเธอมากเท่าไร เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าออเรเลียไม่ใช่เด็กธรรมดา
"นับจากนี้กระหม่อมมิมีสิ่งใดที่จะสอนให้พระองค์ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ด้วยเวลาเพียงห้าเดือน เจ้าหญิงออเรเลีย สามารถสำเร็จวิชาดาบได้อย่างรวดเร็วอาจจะรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเลยก็ว่าได้ "ขอบคุณท่านมาก ดยุคเอลเดรค ที่ช่วยฝึกฝนข้าตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา"
ดยุคเอลเดรค ครุ่นคิด ขณะที่มองเจ้าหญิงตัวน้อยด้วยความกังวลก่อนจะเอ่ยถาม "กระหม่อมมิได้ทำอะไรมากเลยพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมสอนให้ท่านเป็นเพียงแค่การขจัดจุดอ่อนทางร่างกาย และเป็นคู่ฝึกแต่เพียงแค่นั้น ส่วนทักษะต่างๆ พระองค์ทรงปรีชาสามารถด้วยตนเอง กระหม่อมขอชื่นชมจากใจจริง"
เด็กสาวเงยหน้ามองด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ แม้จะดูห้วนๆและหยาบกระด้างแต่นั่นคือคำชมแรกเธอได้ยินหลังจากผ่านมาเนิ่นนานจนเธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
"ท่าน....ท่านชมข้าหรือ?"
"แน่นอน พ่ะย่ะค่ะ"
"ข้า...ข้าทำได้ดีแล้วใช่ไหม?"
"ไร้ที่ติ พ่ะย่ะค่ะ"
"ท่านมิได้โกหกข้า...ใช่ไหม"
"อัศวินมิอาจโป้ปดได้ พ่ะย่ะค่ะ"
จู่ๆน้ำตาที่ไม่ได้ไหลออกมานานก็พรั่งพรูอาบแก้มของสาวน้อยอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยคำชมห้วนๆและแข็งกระด้าง ที่ไม่มีความนุ่มนวลเลยแม้แต่น้อยแต่มันกลับอบอุ่นเหมือนดวงไฟเล็กๆได้จุดขึ้นมาภายในตัวหญิงสาวอีกครั้ง "เอ๋?! พระองค์?! กระหม่อม...."
เจ้าหญิงตัวน้อยใช้แขนปาดน้ำตาก่อนจะกลับมายิ้มให้อย่างเข้มแข็งกับ ดยุคเอลเดรค นั่นทำให้เขาหายจากท่าทีกระวนกระวายเมื่อครู่แล้วใช้มืออันหนาใหญ่ลูบไปที่หัวเจ้าหญิงตัวน้อยเบาๆ "กระหม่อมขอประทานอภัยที่ต้องกราบทูลถามเช่นนี้ พระองค์อยากจะให้กระหม่อมกราบทูลเรื่องพระปรีชาสามารถนี้แก่องค์จักรพรรดิหรือไม่?"
"ไม่ต้องหรอก ข้าอยากจะทูลองค์จักรพรรดิด้วยตนเอง"
"ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัว"
"ท่านจะไปแล้วหรือ?"
"พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องไปเตรียมตัวเพื่อกลับแดนเหนือแล้ว"
"เราจะได้พบกันอีกไหม?" เจ้าหญิงตัวน้อยถามด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย ชายร่างใหญ่เดินกลับตรงมาที่เจ้าหญิงตัวน้อยก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมจับมือน้อยๆนั้นขึ้นมาจุมพิต "แน่นอน พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคือดาบและโล่ที่คอยปกป้องอนาจักรและพระองค์ ไม่ช้านานเราจะได้พบกันอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ"
ชายร่างใหญ่ลุกเดินจากไป
ค่ำคืนนี้ พระราชวังเงียบสงัดผิดปกติ ความเงียบงันโอบล้อมข้าไว้ราวกับผ้าคลุมอันหนักอึ้ง ข้านอนนิ่งอยู่บนเตียง จ้องมองเพดานเหนือศีรษะ ขณะที่หัวใจเต้นแรงด้วยความมุ่งมั่น คืนนี้ ข้าจะลอบออกจากห้อง เพื่อไปหาพ่อที่พระราชวังของจักรพรรดิ ข้าอยากบอกท่านเกี่ยวกับคำชื่นชมที่ได้รับจากอาจารย์สอนดาบ บางที… เพียงแค่ครั้งนี้ ข้าอาจได้รับการยอมรับจากพ่อบ้างก็ได้
ข้าค่อยๆ ก้าวออกจากห้อง เดินผ่านทางเดินอันคุ้นเคยอย่างเงียบเชียบ แสงจันทร์อันอ่อนโยนทอดเงาลงบนพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือก หัวใจของข้าเต้นระรัวไปพร้อมกับความตื่นเต้นและความประหม่า แต่แทนที่จะเดินไปยังห้องทำงานของพ่อ เท้าของข้ากลับพาข้าไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด—สู่ห้องของน้องชายข้า
เมื่อมาถึงหน้าประตู ข้าสังเกตเห็นว่ามันแง้มอยู่เล็กน้อย ความอยากรู้อยากเห็นเข้าครอบงำข้า ข้าจึงค่อยๆ ผลักมันออกอย่างแผ่วเบา และเมื่อก้าวเข้าไปในห้อง สายตาของข้าก็จับจ้องไปที่ร่างเล็กๆ ที่นอนอยู่ในเปลทองคำ น้องชายของข้ากำลังหลับสนิท ใบหน้าไร้เดียงสาของเขาทำให้ข้ารู้สึกสับสนในอารมณ์ของตัวเอง
ข้าทั้งดีใจ ทั้งอิจฉา ทั้งรัก ทั้งน้อยใจ ทั้งเศร้า และอยากขอโทษ ทุกความรู้สึกปะปนกันยุ่งเหยิง เขาเป็นชีวิตใหม่ที่ทุกคนในวังชื่นชมยินดีแน่นอนครั้งนี้ข้าก็ด้วย แม้ในขณะที่ข้ากลับรู้สึกราวกับอยู่ในเงามืดของพระราชวังก็ตาม
ข้ายืนอยู่ตรงนั้น จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะลองยื่นนิ้วไปสัมผัสแก้มของน้องชายตัวน้อย มันนุ่มและแปลกใหม่ ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักเปิดออก และร่างสูงของเสด็จพ่อก็ยืนขวางทางเข้า สีหน้าแตกตื่นปนหวาดกลัวของท่านจ้องมองมาที่ข้า และข้ารู้สึกถึงกระแสความรู้สึกหรืออะไรบางอย่างแล่นผ่านร่าง
"เจ้าอีกแล้ว?" เสด็จพ่อเอ่ยเสียงเข้ม "แล้วนั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?!" เขาหันไปมองเด็กชายตัวน้อยสุดบอบบางที่กำลังนอนอยู่ในเปลทองคำ
ข้าสะดุ้งเฮือก พยายามจะอธิบาย ข้าอยากจะบอกท่านถึงความสำเร็จของตัวเองในวันนี้ ข้าอยากให้ท่านภูมิใจในตัวข้าที่ข้าร่ำเรียนวิชาดาบสำเร็จ ให้ท่านชื่นชมข้าเหมือนที่ดยุค เอลเดรค ทำแต่คำพูดทั้งหมดกลับจุกแน่นอยู่ในลำคอ
"ออกไป!" เสด็จพ่อสั่งเสียงดัง ก้องกังวานไปทั่วห้อง ข้าสะดุ้งถอยหลัง แม้แต่น้องชายก็สะดุ้งตื่นร้องไห้ ร่างกายข้าสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น (?) ในเสี้ยววินาทีนั้น ข้ารู้สึกเหมือน....
เหล่านางกำนัลและพระมเหสีกรูเข้ามาในห้อง ดวงตาของพวกเขาล็อกเข้ากับข้า และข้าสัมผัสได้ถึงน้ำหนักแห่งการพิพากษา ราวกับว่าข้าได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อเด็กทารกตรงหน้า
ข้าวิ่งหนีออกจากห้อง เสียงกระซิบกระซาบและลมหายใจตกใจของพวกเขาดังก้องในหัวข้า ทุกย่างก้าวของข้าหนักอึ้งไปด้วยความละอาย
เมื่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง ข้ารีบกระโจนขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว ราวกับจะตัดขาดจากโลกภายนอก หัวใจของข้าร้าวรานด้วยอารมณ์อันหลากหลายที่ถาโถมเข้าใส่
"ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด" ข้ากระซิบเบาๆ กับตัวเอง ขณะที่ความหงุดหงิดเริ่มเดือดพล่านขึ้นมา "แล้วทำไมพวกเขาต้องมองข้าราวกับว่าข้าเป็นตัวร้ายหรือปีศาจ?"
คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาเห็นอะไรในตัวข้ากันแน่?
"....ไม่ซิแล้วข้าเป็นตัวอะไรกันแน่?" ข้าคิด รู้สึกเหมือนกำลังจมลึกลงไปในความสับสน
ใต้ผ้าห่ม ข้าปล่อยให้ความโกรธและความสับสนเผยตัวออกมา ข้าเป็นเจ้าหญิงก็จริง… แต่ในคืนนี้ ข้ารู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดที่ทุกคนชิงชังและหวาดกลัว
เงารอบตัวข้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ความมืด แต่มันคือสัญลักษณ์ของเคียดแค้นชิงชังที่ข้าต้องเผชิญ
ข้านอนนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้น้ำตาซึมลงหมอน เฝ้าตั้งคำถามว่าข้ามีที่ยืนอยู่ตรงไหนในโลกอันกว้างใหญ่นี้ และบางที… มันอาจไม่มี...
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ
ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัวเขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน“ได้โ
ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดาเอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้
วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?""ไม่,