Share

บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน
บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน
Auteur: Aesmech

ออเรเลีย วอน อากาธีร์

Auteur: Aesmech
last update Dernière mise à jour: 2025-05-20 23:14:52

เด็กหญิงสะดุ้งตื่นจากหลับที่ไร้ซึ่งความสงบ เปลือกตาของเธอเบิกกว้างขึ้นเพื่อเผยให้เห็นความโอ่อ่าตระการรายล้อมตัว ห้องนี้ประดับประดาไปด้วยพรมแขวนผนังและเฟอร์นิเจอร์ปิดทอง เป็นภาพแสดงถึงความมั่งคั่งที่ดูเย็นชาและไม่เป็นมิตร ราวกับว่าผนังของพระราชวังเองก็กระซิบเล่าเรื่องราวแห่งความยิ่งใหญ่ แต่กลับซ่อนความลับไว้ใต้พื้นผิวที่ถูกขัดเกลาให้เป็นประกาย

เธอลุกขึ้นนั่งและขยี้ตาที่ยังเคลิบเคลิ้ม เธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงสามขวบ แต่มีลักษณะเด่นที่ทำให้เธอแตกต่างจากคนอื่น ผมของเธอพลิ้วไหวราวกับสายน้ำสีม่วงเข้ม โอบล้อมใบหน้าที่บอบบางของเธอไว้ ในขณะที่ดวงตาสีเขียวสดใสของเธอแผ่วบ่งบอกถึงความตระหนักรู้บางอย่างที่เกินวัย ผิวขาวบริสุทธิ์ของเธอเกือบจะเรืองแสงท่ามกลางโทนสีเข้มของห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ทำให้เธอดูราวกับเทพธิดาในสภาพแวดล้อมนี้

ความรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกประหลาดค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในทรวงอกน้อยๆ ของเธอ หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับร่างที่เธออาศัยอยู่นี้เคย "ทำบางสิ่ง—บางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว" มาก่อน แต่เมื่อเธอนั่งขึ้น นิ้วน้อยๆ ของเธอกำผ้าปูที่นอนไหมเอาไว้ เธอก็ไม่อาจจับรายละเอียดของสิ่งที่หลอกหลอนเธอได้ ความทรงจำเหล่านั้นถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา อยู่แค่เอื้อมแต่กลับจับต้องไม่ได้

เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วนอกหน้าต่างดึงความสนใจของเธอ เสียงร้องที่เปี่ยมสุขของพวกมันดูขัดแย้งอย่างชัดเจนกับความเงียบงันที่ห่อหุ้มพระราชวังไว้ ช้าๆ ออเรเลียหันศีรษะไปทางหน้าต่าง ที่ซึ่งแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านม่านหนัก ทอดแสงอ่อนลงบนพื้น หอมกลิ่นไหมลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับความเหนื่อยล้าที่ยังคงเกาะกุมเธอไว้ราวกับเงามืด

เธอสูดลมหายใจลึกๆ ปล่อยให้ช่วงเวลานี้ซึมซับเข้าไปในตัว เธอรู้สึกถึงน้ำหนักแปลกประหลาดที่กดทับอยู่บนหัวใจ เธอเป็นใคร? ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งสำคัญในตัวเธอหายไป? ความโหยหาอันยากจะอธิบายค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายใน เจือปนกับความไม่สงบในจิตวิญญาณของเธอ

เธอปล่อยให้เท้าเล็กๆ ของเธอสัมผัสกับพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือก แล้วค่อยๆ ยันตัวขึ้นมายืนอย่างไม่มั่นคง รอบตัวเธอ การตกแต่งอันหรูหรารู้สึกทั้งสวยงามและอึดอัด ราวกับว่ามันเป็นกับดักที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังเธอไว้ในกรงทองคำนี้ เธอมองไปรอบๆ พยายามหาคำตอบจากแสงสีทองที่สาดส่องเข้ามาในมุมมืดของห้อง

ไม่นานหลังจากที่เธอตื่นขึ้น พี่เลี้ยงของเธอก็เข้ามาในห้อง สายตาที่มองเหยียดขาดความเคารพพร้อมท่าทางที่แข็งกระด้าง สิ่งที่หญิงรับใช้แสดงออกมาคือความไม่พอใจที่เกาะกุมเธอเหมือนเมฆหนา "มาเถอะเพคะฝ่าบาท" พี่เลี้ยงพูดด้วยน้ำเสียงที่ขาดความอ่อนโยน "เดี๋ยวกระหม่อมจะทรงเครื่องให้เพคะ"

เด็กสาวพยักหน้า เด็กสาวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สู่สวนอันกว้างใหญ่ ขณะที่พี่เลี้ยงช่วยเธอแต่งตัว—ดึงเสื้อผ้าให้เธอด้วยความรวดเร็วที่ดูเหมือนการฝึกทหารมากกว่าการดูแลอย่างเอาใจใส่— ต้นไม้และดอกไม้สีสันสดใสเรียกเธอ ความงดงามของมันตัดกับความรู้สึกภายในที่มืดมนของเธออย่างชัดเจน

“ฝ่าบาทเพคะ นี่ของหวานที่ทรงโปรด”

เสียงของหญิงรับใช้ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับถาดเงินที่มีขนมอบวางอยู่ เธอหันไปมอง สีหน้าเธอไม่เปลี่ยนแปลงนัก มือเล็กเอื้อมไปหยิบขนมขึ้นมา มองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดคำเล็กๆ

หวาน แต่ไม่อร่อย

รสชาติของขนมอบนี้ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งที่เธอเคยลิ้มลองมาก่อน แต่กลับแตกต่างอย่างน่าประหลาด เหมือนเธอรู้จักมันดี แต่ขณะเดียวกันก็นึกไม่ออกว่าเคยกินมันเมื่อไหร่ ความคิดนี้ทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะวางขนมลงอย่างเสียไม่ได้

หญิงรับใช้มองเด็กหญิงอย่างลังเลเล็กน้อย

“ฝ่าบาท…ไม่ทรงโปรดหรือเพคะ?”

“เป่า....” เธอตอบสั้นๆ แต่ไม่อาจอธิบายเหตุผลที่แท้จริงได้

ในห้องอาหารที่กว้างขวางแห่งนี้ ทุกสิ่งดูหรูหรา เพดานประดับด้วยลวดลายทองคำ ผนังตกแต่งด้วยภาพวาดวิจิตร แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างราวกับกล่องอันกว้างใหญ่ที่ขังเธอเอาไว้ เด็กสาวนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนประดับด้วยเมฆขาวลอยละล่อง เธอชอบมองท้องฟ้า มันทำให้เธอรู้สึกสงบ...หรือบางทีอาจเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือน ‘อิสระ’ ที่เธอไม่มี

เธอรู้ว่าตัวเองชื่อ ‘ออเรเลีย’ เป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดิและตัวเธอ...ก็เป็นเพียงองค์หญิงที่ถูกมองข้าม ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครใส่ใจ ทุกสิ่งเหล่านี้เธอรับรู้ แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีใครเคยบอกเธอแท้ๆ แต่กลับรับรู้ได้อย่างน่าประหลาด คำพูดต่างๆ ที่ไหลออกมาจากคนรับใช้ สัมผัสของความเงียบงันในห้องนี้ที่เหมือนเคยรู้สึก ความชินกับความเย็นของพื้นใต้ฝ่าเท้า ทุกอย่างดู ‘คุ้นเคย’ จนน่าขนลุก

แต่เธอกลับจำอะไรไม่ได้เลย

มันเหมือนมีเงาบางอย่างหล่นทับในห้วงความคิดของเธอ ไม่อาจมองเห็น ไม่อาจจับต้อง แต่ก็มีตัวตนอยู่จริง

 

"ยายี่ ข้าอยากไปเดินเล่นที่ฉวน"

หญิงรับใช้มองเด็กสาวด้วยความตกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบรับประสงค์ของผู้เป็นนาย "เพคะฝ่าบาท"

เมื่อพร้อมแล้ว ออเรเลียถูกพาออกไปสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยแสงแดด แต่ก็ยังกลับรู้สึกเหมือนถูกขังไว้ในกรงอยู่ดี หัวใจน้อยๆ ของเธอจับผ้าชุดไว้แน่นขณะที่พวกเธอเดินเข้าไปในสวน กลิ่นหอมของดอกไม้โอบล้อมเธอ ช่วยให้จิตใจเธอเบาลงชั่วคราว สวนแห่งนี้เป็นเหมือนภาพวาดขนาดใหญ่ ที่ประดับไปด้วยดอกไม้หลากสี—ลาเวนเดอร์ กุหลาบ และทิวลิปหลากสีสัน แสงแดดส่องผ่านใบไม้ด้านบน สร้างเงารูปแบบต่างๆ บนพื้นดิน

ภายในสวน ออเรเลียสังเกตเห็นโต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ถูกจัดวางอย่างสมบูรณ์แบบด้วยถ้วยชาที่สวยงาม ราวกับว่ามันกำลังรอคอยใครสักคน แต่กลับโดดเดี่ยว—เป็นเหมือนโอเอซิสที่เงียบสงบ

พี่เลี้ยงดึงเธอเบาๆ ให้เดินตาม แต่เท้าของออเรเลียกลับหยุดอยู่กับที่ เธอรู้สึกหลงใหลในความงามของดอกไม้ที่รายล้อม อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอเดินไปเรื่อยๆ ความสับสนก็ค่อยๆ โอบล้อมเธอ สวนแห่งนี้กว้างใหญ่และซับซ้อนเต็มไปด้วยทางเดินที่วกวน เด็กสาวเดินหน้าไปตามทางเรื่อยๆประหนึ่งเหมือนมีบางสิ่งกำลังเรียกหาเธอ สองเท้าเล็กๆเดินไปตามทางได้อย่างชำนาญเหมือนเคยเดินผ่านเส้นทางนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

ขณะที่เธอเดินไปตามทางที่คดเคี้ยว หัวใจของเธอเริ่มเจ็บปวดกับความรู้สึกโหยหาบางอย่างหรือบางคนที่เธอไม่สามารถจับต้องหรือพบเจอได้ กลีบดอกไม้ที่สวยงามรอบตัวเริ่มพร่ามัว ความงามที่เคยมีกลายเป็นน้ำหนักที่ทับถมอกของเธอ เธอรู้สึกถึงความเศร้า ที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ราวกับว่าดอกไม้กำลังกระซิบถึงความสุขที่เธอไม่สามารถเข้าถึงได้ น้ำตาไหลลงแก้มเธอโดยไม่ทันตั้งตัว เป็นสัญลักษณ์ของความว่างเปล่าภายในที่เธอรู้สึก

มือเล็กๆ ของออเรเลียสัมผัสดอกไม้ขณะที่เธอดันตัวเองไปข้างหน้า เพื่อหาความสบายใจท่ามกลางกลีบดอกไม้ เธอรู้สึกเชื่อมโยงกับสถานที่แห่งนี้ ความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในหัวใจของเธอ ราวกับว่าสวนแห่งนี้สะท้อนความทรงจำของเสียงหัวเราะและแสงสว่างที่เธอไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ดึงเธอออกจากความคิด ออเรเลียหันไปเห็นชายร่างสูงอายุราวยี่สิบกลางๆ ก้าวเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจ ผมสีทองของเขาเป็นประกายใต้แสงแดด และเขาสวมชุดที่หรูหราสมฐานะของจักรพรรดิ สีหน้าของเขาแสดงถึงความโกรธ และออร่าของอำนาจรอบตัวเขาที่เหมือนเข็มพุ่งตรงทิ่มแทงมาที่เด็กสาว

"เจ้ามาทำอะไรที่นี่?" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด เต็มไปด้วยความดุดันที่ทำให้อากาศรอบตัวสั่นไหว "ใครอนุญาตให้เจ้าสามารถมาเหยียบย่ำสถานที่แห่งนี้?" คำพูดของเขาเหมือนน้ำแข็งที่ตัดผ่าน หยาบเกินไปสำหรับเด็กอายุเพียงสามขวบ ถ้าเป็นเด็กทั่วไปถูกดุด้วยเสียงดังขนาดนี้จะต้องหวาดกลัวไม่ก็ร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เด็กสาวกลับไม่เป็นเช่นนั้น ออเรเลีย หยุดนิ่งไม่ได้ตอบกลับอะไร 

"นิ่งแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ข้ากำลังถามเจ้า หูหนวกไม่ได้ยินหรือไม่มีปากให้พูดรึ?

ก่อนที่เด็กสาวจะรวบรวมความคิดได้ สาวใช้พี่เลี้ยงของเธอก็รีบเข้ามา ใบหน้าซีดด้วยความกังวล "ขออภัยเพคะฝ่าบาท" สาวใช้พี่เลี้ยงพูดพร้อมโค้งคำนับอย่างลึก เสียงของเธอสั่นด้วยความหวาดกลัว "กระหม่อมจะพาองค์หญิงออกไปตอนนี้เพคะ" เธออุ้มออเรเลียขึ้นและรีบพาเธอออกจากความโกรธของจักรพรรดิด้วยท่าทีร้อนรน

ออเรเลียแทบไม่มีเวลาที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่สาวใช้พี่เลี้ยงจะพาเธอกลับไปตามทางสู่ปราสาท ขณะที่อยู่ในอ้อมกอดสาวใช้พี่เลี้ยง ออเรเลียเหลือบมองกลับไปที่จักรพรรดิ ร่างของเขายืนโดดเด่นท่ามกลางดอกไม้ ราวกับว่าเป็นภาพวาดที่งามวิจิตร ความสับสนโถมทับเธอ ทำไมเธอถึงรู้สึกโหยหาเขา แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากถอยห่างจากสายตาของเขา?

"ฝ่าบาททรงแอบหนีไปไหนด้วยตัวคนเดียวโดยไม่บอกหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ!" พี่เลี้ยงดุเธอเบาๆ ขณะที่พวกเขาเดิน "ฟังให้ดีนะเพคะฝ่าบาท วังนั้นเป็นวังต้องห้ามหลังจากนี้ห้ามท่านไป ณ ที่แห่งนั้นอีกเป็นอันขาด"

"ข้าขอโทษ ยายี่"

"หม่อมฉันชื่อ รารี่ เพคะฝ่าบาท" สาวใช้พี่เลี้ยงถอนหายใจ ด้วยบรรยากาศที่แปลกไปของเด็กสาวตรงหน้าในวันนี้ทำให้นางเผลอลืมตัวไปว่าเด็กสาวตรงหน้านางเป็นเด็กวัยเพียงแค่สามขวบที่ยังไม่ประสีประสาต่อโลก 

ออเรเลียกัดริมฝีปากของเธอ เก็บกดความอยากที่จะเถียง ภายในใจลึกๆ ของเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังตื่นขึ้น พร้อมกับคำถามที่ว่าเธอทำอะไรผิด? แต่ไม่นานความโกรธเกรี้ยวนั้นก็สงบลง เหมือนมีบางอย่างมาคอยดึงรั้งสติของเธอไว้ให้กลับมาใจเย็นลงแล้วเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดแทน

เด็กสาวกลับถึงห้องของเธอ ความว่างเปล่ากลืนกินความคิดของเธอ เด็กสาวครุ่นคิดถึงความเชื่อมโยงที่แปลกประหลาดกับชายคนที่เธอเพิ่งพบ 

"เสด็จป่อ?"


วันต่อมาหลังจากเหตุการณ์ในสวน ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นลอยอยู่ในอากาศเหมือนเมฆก่อนพายุ ออเรเลียรู้สึกได้ถึงมัน เธอตระหนักดีถึงปัญหาที่เธอสร้างให้กับสาวใช้พี่เลี้ยง ซึ่งตอนนี้ปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทางเย็นชาที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการดุด่าใดๆ มันเหมือนกับกำแพงกั้นขนาดใหญ่ที่เจ้าหญิงน้อยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อทลายมัน

สาวใช้พี่เลี้ยงของเธอเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วดูแลความต้องการของ ออเรเลีย แค่เฉพาะเท่าที่จำเป็นในบางครั้ง ออเรเลียก็สังเกตเห็นความหงุดหงิดที่แวบขึ้นในสายตาของสาวใช้พี่เลี้ยงบางคน

ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นเด็กดีมากขึ้น ออเรเลีย ตัดสินใจปรับปรุงตัวเธอเอง ในแต่ละวัน เธอพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเชื่อฟัง ตั้งใจฟัง และทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในวังแห่งนี้ที่เธออาศัยอยู่เพื่อไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนของเหล่าสาวใช้

บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เจ้าหญิงน้อยนั่งอยู่ในห้องเล่นที่เต็มไปด้วยแสงแดด ล้อมรอบไปด้วยของเล่นนุ่มๆ และหนังสือ เธอมองดูพี่เลี้ยงของเธอที่กำลังจัดห้องอย่างประณีต มือของเธอเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ และทันใดนั้น ออเรเลีย ก็รู้สึกถึงความโหยหาความผูกพัน ออเรเลีย รวบรวมความกล้าของเธอเดินไปจับชายกระโปรงสาวใช้พี่เลี้ยงกระตุกเบาๆ

“ยายี่...” ออเรเลียพูดเบาๆ หัวใจของเธอเต้นเร็ว “ข้าเหงามาเล่งกับข้าหน่อยได้ไหม?”

พี่เลี้ยงของเธอหยุดชั่วครู่ ปรับชายผ้ากันเปื้อนของเธอ จากนั้นก็กลับมาจัดของต่อโดยไม่มองมาที่ออเรเลีย “ไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าหญิง หม่อมฉันมีหน้าที่ต้องทำ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้เยื่อใย

ความผิดหวังถาโถมเข้ามาในใจของ ออเรเลีย แต่เธอไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าหรืออารมณ์ได้ เธอไม่อยากให้ตัวเองดูอ่อนแอหรือเป็นที่น่ารำคาญ—หรือแย่กว่านั้น เป็นตัวปัญหา เพียงแต่.... 

“บางที... บางทีถ้าแค่กอดกันสักหน่อยได้ไหม?” เธอถาม ด้วยเสียงเล็กๆ ของเธอ

ในชั่วขณะนั้น มีแต่ความเงียบ มีเพียงเสียงติ๊กต็อกของนาฬิกาโบราณบนผนัง แต่ละเสียงดังเหมือนสะท้อนถึงความว่างเปล่าในหัวใจของเจ้าหญิงน้อย พี่เลี้ยงของเธอยังคงทำงานต่อไป วางของเล่นต่างๆ บนชั้นอย่างระมัดระวัง โดยหันหลังให้ออเรเลีย

 “หามิได้เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าหญิงหม่อมฉันเป็นเพียงแค่สาวรับใช้ อีกอย่างการที่เจ้าหญิงมีเวลาว่างมากเช่นนี้ หากทรงกรุณาใช้เวลาส่วนนั้นเสด็จไปศึกษาหาความรู้ด้วยพระองค์เอง อาจจะเป็นการดีไม่น้อยเพคะ”

คำพูดเหล่านั้นเหมือนก้อนหินหนักๆ ที่บอกเธอถึงความจริงเกี่ยวกับสถานะและภาระหน้าที่ของตน "ข้าเข้าใจแล้ว..."

ออเรเลีย มองออกไปนอกหน้าต่าง ที่ซึ่งบนต้นไม้มีรังนกและครอบครัวของมันแสนน่ารักอยู่ พ่อและแม่นกที่บินคาบอาหารมาให้ลูกนกอย่างน่าเอ็นดู

เวลาผ่านไป แม้ว่าจะถูกปฏิเสธจากสาวใช้พี่เลี้ยงอย่างเย็นชา แต่ลึกๆ แล้ว ออเรเลีย ยังคงมีความหวังเล็กๆ เธอเชื่อว่า หากเธอพยายามอีกหน่อย หากเธอทำให้ตัวเองมีประโยชน์ขึ้น เข้มแข็งขึ้น ฉลาดขึ้น เก่งขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เธออาจจะได้ความรัก ความอบอุ่น และการยอมรับ

ในชั่วขณะนั้น เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะกลายเป็นเจ้าหญิงที่สมบูรณ์แบบ ได้รับความรัก—ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เงา แต่เป็นแสงสว่างแห่งความสุขที่สามารถทำให้หัวใจของคนรอบข้างอบอุ่นขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่บริสุทธิ์ของเด็กน้อย เธอจึงเริ่มฝึกฝนทักษะต่างๆด้วยตัวเอง เช่น การพูดให้ชัด และลุกเดินเองให้คล่อง


ดวงอาทิตย์ลอยสูงบนท้องฟ้า สาดแสงสว่างเจิดจ้าลงบนพระราชวัง ไม่นานหลังจากที่มีข่าวลือเกี่ยวกับ เจ้าหญิงออเรเลีย ที่มีพัฒนาการเกินวัย องค์จักรพรรดิก็ได้มีรับสั่งให้ส่งครูฝึกมา ณ วังของเจ้าหญิงออเรเลีย เธอรู้สึกถึงความตื่นเต้นผสมกับความกังวลใจขณะถูกพาไปยังห้องโถงใหญ่ที่ซึ่งครูฝึกของเธอกำลังรออยู่ ประตูสูงตระหง่านเปิดออกเผยให้เห็นหญิงสาวผู้มีรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าที่เคร่งขรึม สายตาเย็นชาของนางมองมาที่เจ้าหญิงตัวน้อย

“เจ้าหญิงออเรเลีย” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ “วันนี้เราจะเริ่มการฝึกพื้นฐานเกี่ยวกับการเดิน การพูด และมารยาทของราชวงศ์ เตรียมตัวให้พร้อม”

ออเรเลียพยักหน้า รู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดนั้น นี่ไม่ใช่แค่บทเรียน—มันคือการทดสอบ

สิ่งแรกคือการเรียนรู้การเดินอย่างถูกต้อง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ภายใต้สายตาที่เข้มงวดของครูฝึก มันกลายเป็นความท้าทายที่น่าหวาดหวั่นเล็กน้อย ออเรเลียจัดวางเท้าของเธออย่างระมัดระวัง พยายามจำคำแนะนำของเธอเกี่ยวกับการวางตัวและความสง่างาม ขณะที่เธอก้าวไปข้างหน้า เธอรู้สึกถึงสายตาของครูฝึกที่จับจ้องอยู่ทุกการเคลื่อนไหว แม้การเคลื่อนไหวของเจ้าหญิงจะถูกต้องเพียงใด แต่เท้าเล็กๆที่ผ่านการฝึกมาอย่างยาวนานก็เริ่มออกอาการอ่อนล้า เธอสะดุดอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างของเด็กสาวล้มลงแต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยพยุงเลยแม้แต่น้อย

“ลุกขึ้นเพคะ!” เธอตะคอกด้วยเสียงที่เฉียบคมราวกับแส้ “พระองค์ทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งอนาจักร ไม่ใช่ตุ๊กตา! จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นมิได้เพคะ! ยืนตัวให้ตรง! เดินให้สง่างาม”

ทุกครั้งที่เธอทำผิด ออเรเลีย รู้สึกถึงแรงกดดันของความคาดหวังที่ถาโถมเข้ามา เธอทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนความแห้งในลำคอเริ่มทำให้เจ็บ และเหงื่อเล็กๆ ไหลลงมาบนหน้าผากของเธอ แต่เธอยังคงอดทน มุ่งมั่นที่จะทำให้ครูฝึกพอใจและพิสูจน์ว่าเธอเป็นเด็กดี เสด็จพ่อและสาวใช้จะได้หันมามองที่เธอบ้าง

ทักษะการพูด เขียน อ่าน เจ้าหญิงออเรเลีย ได้เรียนพวกมันทั้งหมด แม้จะเหนื่อยล้า แต่บางสิ่งที่น่าทึ่งกำลังก่อตัวขึ้นภายในตัวเธอ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ออเรเลียเริ่มปรับตัวกับการฝึกฝนที่เข้มงวด เธอแสดงความอดทนที่เกินกว่าที่เด็กสามขวบทั่วไปจะทนได้ เธอขจัดข้อผิดพลาดของตัวเองได้เกือบหมดภายในเวลาไม่กี่วัน ทักษะของเธอเติบโตแข็งแกร่งและคล่องแคล่วภายใต้การจับตาอย่างเข้มงวด

ครูฝึกของเธอก็เริ่มสังเกตเห็นความก้าวหน้าที่ผิดปกติ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเอ่ยปากชมเชยก็ตาม แต่เธอได้มอบหนังสือเล่มภาพเล่มหนึ่งให้เธอ—เรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งความรัก—ออเรเลียก็ดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มที่ คำต่อคำ เธออ่านข้อความและจ้องมองรูปภาพเหล่านั้น นิ้วเล็กๆ ของเธอลากตามตัวอักษร ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบรวมกับเป็นคนละคนกับไม่กี่วันก่อนหน้านี้

เสียงกระซิบเริ่มแผ่วเบาเริ่มกระจายไปตามห้องโถงของพระราชวัง สาวใช้ต่างส่งสายตาและพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำแบบกระซิบ 

เจ้าหญิงต้องเป็นอัจฉริยะเป็นแน่” 

เพียงสามชันษาก็ทรงอ่านออกเขียนได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ยังทรงมีพระสุรเสียงอันชัดเจนอีกด้วยขนาดข้ากว่าจะพูดเริ่มชัดยังต้อง 5 ขวบ

น่ากลัว....พระองค์ยังทรงเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่าเนี่ย

ความน่าทึ่งในการเรียนรู้ของเธอเป็นที่เลื่องลือสำหรับสาวใช้ในวังของนาง แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นข่าวลือถึงความน่ากลัวของเธอที่มีพัฒนาการเหมือนไม่ใช่เด็กอายุแค่ 3 ขวบ

ยิ่งเธอเรียนรู้มากเท่าไหร่ ความมั่นใจก็เริ่มเบ่งบานภายในตัวเธอมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าการฝึกฝนจะเหน็ดเหนื่อย แต่มันก็สร้างความแข็งแกร่งและความอดทนที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมี คืนแล้วคืนเล่า ออเรเลีย ทุ่มเทให้กับบทเรียนของเธอ ประวัติศาสตร์ การคำนวณ เศรษฐศาตร์  สังคมศาสตร์ ศิลปะ มารยาท ทุกอย่างองค์หญิงน้อยสามารถเล่าเรียนและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งเพียงแค่เห็นหน้าตำราก็เหมือนสามารถบอกเนื้อหาภายในจนหมดเล่มได้เสียด้วยซ้ำ

แต่ภายใต้ความมุ่งมั่นที่กำลังเติบโตนั้น ความโหยหาความอบอุ่นและความเข้าใจยังคงอยู่ แม้ว่าเธอจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง แต่ระยะห่างระหว่างเธอกับทุกคนยังคงมีอยู่ องค์จักรพรรดิที่ไม่เคยเยี่ยมเยียน เหล่าสาวใช้พี่เลี้ยงที่ยังคงเย็นชา ครูฝึกที่ไร้คำชม ดูเหมือนการฝึกฝนทักษะของราชวงศ์เป็นสิ่งหนึ่ง แต่การหาความรักและการยอมรับที่เธอปรารถนานั้นเป็นอีกการต่อสู้หนึ่ง

เมื่อเธอวางหนังสือกลับที่ชั้นหลังจากวันฝึกฝนอันยาวนาน ออเรเลีย มองออกไปนอกหน้าต่างสู่สวนที่เคยไปเดินเล่นก่อนหน้านี้ในช่วงเวลานั้น เธอตระหนักว่าแม้ว่าเธอจะเชี่ยวชาญในศิลปะของการเป็นเจ้าหญิงที่เพียบพร้อมเพียงใด แต่สิ่งที่เธอยังคงแสวงหานั้นกลับไม่ได้รับการเติมเต็มเลยแม้แต่น้อย

เส้นทางข้างหน้ายังยาวไกล แต่ออเรเลีย เตรียมใจสำหรับการเดินทางนั้น วันแล้ววันเล่า เธอจะไม่เพียงแต่พยายามที่จะเป็นเจ้าหญิงที่สมกับตำแหน่งของเธอ แต่ยังจะสร้างตัวตนของเธอเองท่ามกลางการฝึกฝนที่เข้มงวดและความคาดหวังที่ไม่อาจหยุดยั้ง อนาคตยังไม่แน่นอน แต่ภายในหัวใจและความคิดของเธอ เธอได้เก็บความหวังเล็กๆ ไว้ที่ว่าเธอจะเป็นที่รักเหมือนเจ้าหญิงในหนังสือภาพ

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   อรุณเบิกนภา

    ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่พิธีราชาภิเษก ข้าก็ยังคงอยู่ในวังหลวง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยพลังงานแห่งการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง สถาบันเอลโดเรียยังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ทำให้คาลิเบลมักวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ข้า เขาแวะเวียนมาที่ห้องของข้าอยู่บ่อยครั้ง ราวกับอยากชดเชยช่วงเวลาที่เราห่างหายกันไปนานและด้วยความคิดถึงกระมั้ง ข้ายินดีต้อนรับการมาเยือนของเขาเสมอ บอกตามตรงความร่าเริงของเขาเป็นเสมือนดวงไฟอุ่นที่ช่วยปลอบประโลมข้าให้คลายจากความกดดันในบรรยากาศของวังหลวงยิ่งไปกว่านั้น เฟลิกซ์กับโรซลินก็มักจะแวะมาเป็นครั้งคราว และที่น่าแปลกใจที่คือ ทั้งคู่คือเพื่อนที่คาลิเบลเคยเอ่ยถึงในจดหมายที่ส่งมาให้ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรแต่โลกช่างกลมยิ่งนักอย่างไรก็ตาม ข้ากลับไม่อาจสลัดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองไปได้เลย หลังจากวันพิธี ข้าเริ่มได้รับคำเชิญไปงานน้ำชาจากขุนนางชั้นสูงอย่างต่อเนื่อง มากกว่าทุกครั้งที่เคยได้รับในช่วงที่อยู่ที่ชีทูเรีย เป็นไปได้ว่าท่าทีของข้าในวันนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาจับตามอง บันทึกไว้ราวกับเป็นวัตถุจัดแสดงที่น่าสนใจ ช่างน่าขำนี่ขนาดยังไม

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   อีกา และ ราชสีห์

    รองเท้าส้นสูงของข้ากระทบสู่พื้นท้องพระโรงสถานที่จัดพิธี เสียงฮือฮาแห่งความตื่นเต้นยังคงถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นซัดหลังจากเสียง ของมหาดเล็กสิ้นสุดลง ใต้แสงระย้าจากโคมไฟระย้าหรูหรา การตกแต่งสีทองอร่ามส่องประกายเจิดจ้า ทว่าในขณะที่ข้าเดินไปที่บัลลังค์ข้างซ้ายองค์จักรพรรดิ เสียงกระซิบแห่งการดูแคลนและแปลใจต่างแทรกผ่านหมู่ชน ราวกับอสรพิษแฝงตัวกลางฝูงคนไม่หยุดหย่อน เหมือนข้าเป็น"องค์หญิงน้อยคนนั้นใช่ เจ้าหญิงออเรเลีย ใช่ไหม? ข้าพึ่งจะเคยเห็นนางครั้งแรกเลย""ข้าเองก็ไม่เคยเห็นนางออกงานสังคมที่ไหนมาก่อนเช่นกัน ขนาด ท่านคาลิเบล ข้ายังเคยเข้าเฝ้าในงานวันคล้ายวันประสูติ แต่ข้าไม่เคยเห็นนางสักครั้ง""มีเพียงขุนนางชั้นสูงบางคนที่เคยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเคยเห็นนางเท่านั้นเอง"“ข้าได้ข่าวว่า นางถูกไล่ให้ไปอยู่แถวชานเมืองจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เองด้วยนะ”"ที่ ชิทูเรีย ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินข่าวว่านางเปลี่ยนแปลงเมืองนั้นยกใหญ่เลยนี่""ไม่ใช่ว่านั่นเป็นฝีมือของเจ้าเมืองและนางแอบอ้างชื่อตนเองเพื่อเอาความดีไปถวายองค์จักรพรรดิหรอกหรือ?""ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางน่าจะโง่เขลาพอสมควรที่จะเอาใจองค์จักรพรรดิเช่นนั้น

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   ราตรีแห่งหน้ากาก

    ข้ากวาดตามองห้องที่เคยเป็นที่พักพิงของข้ามาหลายเดือน แม้จะรู้ดีว่าสักวันจะต้องจากไป แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ หัวใจกลับรู้สึกหนักอึ้งกว่าที่คิด ข้าปิดหีบสัมภาระใบสุดท้าย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับไปมอง เมื่อข้ามาถึงลานกว้างหน้าเรือนหลัก รถม้ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับวังหลวง พวกคนรับใช้ยืนรอส่งข้าอย่างเงียบงัน ข้ารู้สึกเศร้าที่ต้องกล่าวอำลาพวกเขา โดยเฉพาะสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ประตู เอลลี่และเซอร์ไอเดน ข้าหยุดยืนตรงหน้าเอลลี่ ก่อนจะยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับนาง "เอลลี่... หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าค่อยเปิดอ่านจดหมายนี้นะ" ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ดวงตาของเอลลี่เต็มไปด้วยความลังเล ข้ารู้ว่านางอยากจะถาม แต่ข้ากลับรีบพูดต่อก่อนที่นางจะเอ่ยปาก "ลองปรึกษากับเซอร์ไอเดนดู ไม่ว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจกันอย่างไรข้าก็จะยอมรับมัน นี่อาจเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว ใจจริงข้าไม่อยากลากพวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ว่า..." ข้าพูดไม่จบประโยค เพียงแค่ดึงเอลลี่เข้ามากอดแน่น ข้ารู้ว่านางกำลังสั่นเทา และข้าเองก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะอย

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   สารแห่งโชคชะตา

    เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   ทรยศ?

    เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   เส้นทางที่ไม่อาจบรรจบ

    ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status