เรือนร่างระหงก้าวขาลงมาจากรถเบนซ์สีขาวคันโปรด เธอตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองผ่านเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เสื้อเชิ้ตชีฟองแขนยาว สีขาวพับแขน ถูกสวมใส่ทับด้วยกระโปรงสั้นทรงเอสีดำ ทรงผมที่ถูกมัดขึ้นอย่างเรียบร้อยและรองเท้าส้นสูงสีดำยิ่งเสริมให้เธอดูสง่า
อภิชญาจับกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กขึ้นมาสะพายบนไหล่ ก่อนจะกระชับซองเอกสารที่จำเป็นต่อการสมัครงานไว้แนบอก เธอระบายลมหายใจออกเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในของรีสอร์ต
หลังจากพูดคุยกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แผนกต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็มีพนักสาวสวยคนหนึ่งเดินนำเธอไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสัมภาษณ์งาน
อภิชญานั่งลงบนโซฟาหนังสีเทาที่ตั้งอยู่กลางห้อง โดยที่ด้านหน้าของเธอเป็นโต๊ะกระจกสีดำ ถัดออกไปเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และบรรดาตู้หนังสือ บรรยากาศภายในห้องนั้นคับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอไม่แน่ใจว่าที่นี่มันคือห้องรับรองแขกหรือว่าห้องทำงานกันแน่ แต่ก็เอาเถอะ จะอย่างไรก็ช่าง
จุดมุ่งหมายเดียวที่ทำให้เธอมานั่งอยู่ในห้องที่แอร์เย็นเฉียบแห่งนี้ ก็เพื่องานและเงิน!
อภิชญานั่งรออย่างเรียบร้อยภายในห้องด้วยความรู้สึกประหม่า เรียวแขนเล็กยกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกา ปรากฏว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววของผู้ที่จะมาสัมภาษณ์งานท่านอื่น รวมถึงคนที่จะมาสัมภาษณ์เธอเช่นกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก ทำเอาอภิชญาเด้งตัวลุกขึ้นมายืนโดยอัตโนมัติ ดวงตากลมโตกวาดมองไปยังประตู เพื่อดูว่าใครกันที่จะเป็นคนผลักประตูบานนั้นเข้ามา
ชั่วอึดใจชายหนุ่มในชุดสูทสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าเธอ เขาสูงราว ร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร เป็นผู้ชายที่ดูดีและมีความสุขุม เขาเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเอกสารทรงสี่เหลี่ยมสีดำ ซึ่งเธอเคยเห็นมันในหนังมาเฟียอยู่บ่อย ๆ
"สวัสดีครับ คุณอภิชญาใช่มั้ยครับ"
"ค่ะ สวัสดีค่ะฉันอภิชญาเองค่ะ"
"อ๋อครับ ยินดีที่ได้พบกันอย่างเป็นทางการครับ ผมคือคนที่นัดคุณมาสัมภาษณ์วันนี้เองครับ เรียกผมว่าสิงห์เฉย ๆ ก็ได้ เชิญนั่งก่อนครับ" เขาผายมือเชิญให้เธอนั่งอย่างสุภาพ อภิชญาที่ได้ยินเช่นนั้นจึงนั่งลงอีกครั้ง
"เรามาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ"
"ค่ะ" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้มือของเธอในตอนนี้ จะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อก็ตาม
"จากเอกสารที่คุณยื่นมา ผมเห็นว่าคุณสมัครตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ต หากพิจารณาจากการระดับศึกษาของคุณ คุณสามารถรับตำแหน่งนี้ได้ทันทีเลยครับ เพียงแต่ว่าคุณยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน ทางเราจึงค่อนข้างคิดหนักกับเรื่องนี้.. ผมจึงอยากเสนออีกตัวเลือกหนึ่งให้คุณ นั่นก็คือตำแหน่งเลขาของceo ซึ่งมันยังว่างอยู่ คุณสนใจที่จะมาทดลองทำงานตำแหน่งนี้ดูไหมครับ"
"ตำแหน่งเลขาของceoเหรอคะ.. เอ่อมันจะไม่ยากกว่าตำแหน่งผู้จัดการเหรอคะคุณสิงห์ อย่างที่คุณบอกเลยค่ะ ฉันไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน อีกอย่างตำแหน่งเลขาก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ ดิฉันว่ามันคงไม่เหมาะมั้งคะ.."
"ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องหน้าที่ต่าง ๆ หรือการทำงานผมจะเป็นคนช่วยสอนคุณเอง เราอยากให้โอกาสคนที่มีความสามารถได้ทำงานในตำแหน่งนี้น่ะครับ"
"ดิฉันขอทราบรายละเอียดมากกว่านี้ได้ไหมคะ.. ทั้งเรื่องวันหยุดหรือสวัสดิการต่างรวมถึงค่าแรง.. อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ"
ชายหนุ่มในชุดสูทที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ขยับขาแว่นเล็กน้อยด้วยความรู้สึกพอใจ เอาล่ะงานของเขากำลังจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว เหลือเพียงให้คุณอภิชญาลงชื่อบนเอกสารที่เขาเตรียมมาเท่านั้น!
"เรื่องวันหยุดและสวัสดิการคุณสามารถคุยกับบอสเป็นการส่วนตัวได้เลยครับ เพราะส่วนนี้ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ผมรู้เพียงแค่ว่า คุณสามารถเรียกเงินเดือนที่ต้องการได้เลยครับ"
"ระ..เรียกเงินเดือนได้เลยเหรอคะ เอ่อ..สำหรับดิฉันที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน สองหมื่นห้าจะมากไปหรือเปล่าคะ"
คุณสิงห์ไม่ตอบอะไร เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเปิดกระเป๋าสี่เหลี่ยมใบนั้นออกมาให้เธอดู ภาพที่เห็นทำเอาอภิชญาถึงกับตาลุกวาว เพราะด้านในนั้นมีแบงค์พันอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับในหนังที่เธอเคยดูไม่มีผิด
"ในนี้มีเงินอยู่หนึ่งแสนห้าหมื่นครับ เงินเดือนที่บอสเตรียมไว้ให้ผู้ที่จะมาทำตำแหน่งเลขาคือห้าหมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งที่คุณเสมอมามันน้อยเกินไปด้วยซ้ำสำหรับเรา เงินนี้คือเงินเดือนล่วงหน้าสำหรับสามเดือน และมันจะตกเป็นของคุณทันทีหากคุณเซ็นชื่อลงบนเอกสารแผ่นนี้ครับ โปรดอ่านและตัดสินใจให้รอบคอบก่อนเซ็นด้วยนะครับ"
อภิชญากลืนน้ำลายอึกใหญ่ จำนวนเงินกองโตที่วางอยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ และเงินนี้ก็มีไว้สำหรับผู้ที่จะมารับตำแหน่งเลขา.. ซึ่งถ้าหากเธอปฏิเสธไปตอนนี้นั่นหมายความว่าเงินก้อนนี้ก็จะตกไปอยู่ในมือคนอื่น!!
มือเรียวหยิบเอกสารสัญญาจ้างออกมาอ่านอย่างตั้งใจ โดยที่ไม่ปล่อยผ่านเลยแม้แต่บรรทัดเดียว เนื้อหาภายในสัญญาระบุไว้ว่า เธอต้องเตรียมพร้อมที่จะทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โดยจะต้องไปอาศัยอยู่ในวิลล่าเดียวกับผู้ว่าจ้าง คอยเตรียมความเรียบร้อยและจัดการนัดและตารางงานให้กับผู้ว่าจ้าง และสามารถเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดและต่างประเทศพร้อมกับผู้ว่าจ้างได้
โดยที่พักและอาหาร รวมถึงทุกการเดินทาง ผู้ว่าจ้างจะเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยที่ไม่มีการหักจากเงินเดือนหรือใดใดทั้งสิ้น
และสำคัญคือ ห้ามลาออกจนกว่าจะครบอายุขัยสัญญา ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งปี หากฝ่าฝืนจะต้องจ่ายเงินเดือนที่เหลือทั้งหมดให้กับบริษัทก่อนถึงจะสามารถลาออกได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเธอลาออกก่อนหมดสัญญาสองเดือน ก็ต้องชดใช้เงินให้กับบริษัทเป็นจำนวนหนึ่งแสนก่อน ถึงจะลาออกได้
นี่กะจะจิกหัวใช้กันให้คุ้มเงินเดือนเลยล่ะสิ คิดว่าเธอจะเอาหรือไงงานพรรค์นี้ คำตอบคือ..
เอาสิวะ!!
อภิชญาอ่านจนถึงบรรทัดสุดท้าย ก็ตัดสินใจว่าจะทำงานตำแหน่งนี้ แม้มันจะดูไร้อิสระไปบ้างที่ต้องแสตนบายรอทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ปกติเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบเที่ยวหรือสายปาร์ตี้อะไรขนาดนั้น เพราะเอาแต่กินกับนอนอยู่ที่บ้าน งานประมาณนี้คงไม่ทำให้เธอขาดใจตายหรอก
ว่าแต่บอสคงไม่ปลุกเธอมาตอนตีสามเพื่อให้ชงกาแฟหรอกใช่ไหม..
นิ้วเรียวขาวจับปากกาขึ้นมาด้วยความรู้กังวล มันจะต้องไม่เป็นไร ถ้าหากว่างานนี้มันไม่ดีจริง ๆ ก็แค่อดทนและหลับหูหลับตาทำไปให้ครบหนึ่งปี อย่างน้อยในสัญญาก็ไม่มีเรื่องอื่นมาข้องเกี่ยว เธอเป็นเลขาก็ทำเฉพาะหน้าที่ของตัวเอง ไม่ได้เปลืองเนื้อเปลืองตัวหรืออะไร
เธอพยายามคิดเช่นนั้นก่อนจะลงมือเซ็นชื่อลงบนเอกสารสัญญา
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ