ในคืนนั้น ชายที่อยู่ในร่างเด็กน้อยนามจางอี้หมิงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกายมีนางหูไป๋หง ท่านย่าของร่างนี้นอนอยู่ข้าง ๆ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เตียงนอนเป็นแคร่ไม้ไผ่ ตัวเขานอนกับนางหู ส่วนบิดามารดานอนถัดไปอีกแคร่ที่อยู่ใกล้ๆ
เขานอนเรียบเรียงความคิดเงียบ ๆ คนเดียว จนความทรงจำของร่างใหม่และความทรงจำเดิมผสานกันอย่างสมบูรณ์
อานนท์ วังศรีซ้าย คือเขาในโลกเดิม ก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างจางอี้หมิง เขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านอุ่นไอรัก เรียนจบแค่ชั้น ปวส. การตลาดภาคค่ำ เขาไม่ใช่คนที่เรียนเก่งหรือหน้าตาโดดเด่นอะไรเลย เป็นมนุษย์ที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างดาษดื่น
แต่ถึงกระนั้น เขากลับเป็นคนที่มีฝีมือการทำอาหารในระดับที่น่าจับตามอง ไม่ได้อยากจะคุยโว แต่ลูกค้าหลายคนถึงกับออกปากแนะนำว่าเขาควรไปแข่งซูเปอร์เชฟไทยแลนด์เลยทีเดียว เขามีลูกค้าประจำหลายสิบคนแวะเวียนมาอุดหนุน ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เวียนไปเรื่อย ๆ พอได้มีเงินใช้ ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอะไรโลดโผนตื่นเต้นเหมือนในหนัง
ส่วนอาชีพรองคือนักวิจัยข้อมูล ก็พูดไปซะหรูอย่างงั้นแหละ ความจริงแล้วมันคือการรับจ้างค้นคว้าหาข้อมูลในอากู๋นั่นเอง คนจ้างมีตั้งแต่เด็กมัธยมไปจนถึงพนักงานบริษัท ลูกค้าหลัก ๆ มีสอง ประเภท คือกลุ่มนักเรียนนักศึกษา และอีกกลุ่มคือนักเขียน หากแปลกใจว่าทำไมจึงมีนักเขียนเข้ามาอยู่ในกลุ่มลูกค้าหลัก อานนท์ก็จะขอตอบอย่างง่าย ๆ ว่า มาจ้างหาข้อมูลประกอบการเขียน
โดยเฉพาะนักเขียนแนวจีนโบราณ คิดดูสิว่าประเทศจีนมีประวัติศาสตร์มายาวนานแค่ไหน ในแต่ละยุค แต่ละสมัยมีวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป เขามีหน้าที่ในการค้นคว้าและสรุปย่อยเรื่องราวออกมาให้ผู้ว่าจ้าง ซึ่งนับว่าเป็นงานที่เขาชอบทีเดียว มันทำให้ได้ความรู้เยอะ เพราะปกติเขาก็เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว พอมาทำงานด้านนี้ มันเลยเข้าทางซะอย่างนั้น
อาจจะเพราะวัน ๆ เอาแต่ทำงานประจำและงานหาข้อมูล ยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวันก็หมดไปซะแล้ว อานนท์จึงยังคงสถานะโสด เขาไม่เคยมีแฟน จะว่าไปแล้วการเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าก็มีข้อดีอยู่นะ เพราะว่ามันทำให้เขาแข็งแกร่งทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ งานทุกอย่างที่ทำเงินได้ อานนท์รับทำเกือบทั้งหมด
วันพรุ่งนี้เขาจะอายุครบยี่สิบห้าปี อานนท์จึงขอลางานกับเจ้านายไว้เป็นที่เรียบร้อย เขาวางแผนว่าจะกลับไปบ้านอุ่นไอรัก บ้านเด็กกำพร้าที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมา ทุกวันเกิดตั้งแต่ออกมาอยู่ตัวคนเดียว เขาจะกลับไปเยี่ยมน้อง ๆ และแม่ครู พร้อมกับเลี้ยงอาหารทุกปี แม้ว่าทุกเดือน เขาจะนำเงินไปให้แม่ครูส่วนหนึ่งอยู่แล้ว
ในคืนที่อานนท์กำลังนั่งหาข้อมูล ในตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่รับ แต่เพราะผู้ว่าจ้างต้องการข้อมูลด่วน ทำให้ค่าจ้างสูงขึ้นมาเป็นเท่าตัว เขาจึงตกลงรับงานอย่างไม่ลังเล หวังว่าจะได้เงินเพิ่มมาอีกหน่อย จะได้เอาเงินให้แม่ครูมากขึ้น
แต่เพราะตอนกลางวัน อานนท์ต้องไปขายอาหารตามสั่ง และเพราะช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวติดกันหลายวัน ทำให้คนไปเดินห้างเยอะขึ้น โอกาสทองแบบนี้ต้องรีบกอบโกย เขาขายอาหารไม่หยุดพัก จนห้างปิดในเวลาเกือบสี่ทุ่ม พอกลับมาห้องแล้วยังต้องมานั่งทำงานหาข้อมูลในเวลาดึกดื่น ดังนั้นร่างกายของอานนท์จึงรับไม่ไหว ทำให้วูบและหมดสติไปในที่สุด
เพียงแต่ว่าการหมดสติของเขาในวันนี้ไม่ใช่จุดจบของชีวิต หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ อานนท์ไม่รู้ว่ามันคือความฝันหรือความจริงกันแน่ การตื่นขึ้นมาในร่างเด็กชาย แถมยังอยู่ในยุคสมัยจีนสมัยโบราณแบบนี้อีก ทำให้เขายากจะทำใจยอมรับ
ก่อนอื่นเขาต้องรู้ให้ได้ว่ายุคนี้มันมีในประวัติศาสตร์หรือเปล่า หรือมันเป็นแค่โลกคู่ขนานเหมือนในนิยายที่เขาเคยอ่านมา ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงต้องรีบหาคำตอบให้เร็วที่สุด
ส่วนท่านเทพหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้ ขอร้องล่ะ อย่าให้เขาได้เกิดใหม่ในยุคที่มีสงครามเลย ถ้าจะแย่ก็ขอเพียงแค่เป็นยุคที่ข้าวยากหมากแพงก็พอ แต่ถึงอย่างไร เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป ไม่แน่ว่าในครั้งนี้ เขาอาจจะได้มีครอบครัวอย่างที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้เสียที...หรือเปล่านะ
ตัวเขาเองเป็นนักวิจัยค้นคว้าข้อมูล หาอ่านเรื่องพวกนี้มาก็เยอะ การทำใจยอมรับจึงอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าคนอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่อานนท์รู้สึกว่ามันขาดไป คือระบบมิติต่าง ๆ หรือสัตว์เทพ พวกมันมีอยู่ในนิยายหลายเรื่อง บางเรื่องที่เคยอ่านก็มีพลังวิเศษติดตัว ทว่าเวลาผ่านมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
พลังวิเศษ สัตว์เทพ ระบบมิติ หรือเรื่องราวชวนให้อัศจรรย์ใจ...ไม่มีเลย
ไม่มีสักอย่าง มีแค่ตัวเขาในร่างจิ๋วและครอบครัวธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยเป็นขุนนางในเมือง เฮ้อ! พลังเทพดูท่าจะไม่มีอยู่จริง แล้วเขาที่เป็นแค่คนธรรมดาในโลกที่จากมาจะทำอะไรได้ ความสามารถพิเศษอะไรที่จำเป็น...ไม่มีสักอย่าง
ดูท่าว่าชีวิตจริงมันจะไม่สวยหรูเท่าในนิยายแฮะ...
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง
แม้จะกังวลแต่ความโชคดีนี้เขาขอรับเอาไว้เอง
ตอนนี้ เขาคือ จางอี้หมิง อายุห้าขวบ บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง
แต่พระเจ้า การมีครอบครัวที่อบอุ่นมันก็ดีนะ
แต่ไหง..ทำไมถึงยากจนขนาดนี้
เมื่อมีสิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้น ย่อมต้องมีบททดสอบตามมาด้วย ดูท่าจะจริงดั่งเขาว่า
แต่เขาไม่ยอมแพ้หรอก
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของจางอี้หมิงทุกอย่าง กลยุทธ์นี้จางอี้หมิงอ่านเจอในนิทานพื้นบ้านท้องถิ่นของภาคอีสาน เขาจึงนำมาปรับใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของพ่อครัวหลวงนั้นเย่อหยิ่งและเขาจะต้องเร่งทำอาหารให้เสร็จโดยไว แล้วก็เป็นไปตามที่จางอี้ หมิงคาดไว้ เหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมเสร็จตั้งแต่ต้นยามอู่ (11.00 – 12.59) ซึ่งคณะผู้ตัดสินต่างก็อิ่มอาหารจากที่บ้านมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงชิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจางอี้หมิงจึงให้พ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้พร้อมในช่วงเวลานั้น คล้ายกับการขยับเวลาออกไป เมื่อเหลือเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย พวกเขาจึงเริ่มลงมือทำอาหาร ในชาติก่อนแค่เพียงไข่เจียวธรรมดา ถ้าต้องมาได้กลิ่นในยามที่หิวจัด กลิ่นของไข่เจียวก็หอม กระตุ้นต่อมอยากอาหารได้มากโข จางอี้หมิงจึงใช้ความจริงข้อนี้มาทำให้เกิดข้อได้เปรียบของเหลาซิ่งฝูแม้แต่แขกผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลองกับความอดอยาก พวกเขากินข้าววันละสามมื้อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมานานเสียจนเลยเวลามื้ออาหารกลางวันมาถึงยามเว่ยแล้ว ความหิวจึงมาเยือนได้ง่าย พอถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นไข่เจียวร้อ
เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ท่านลุงอู๋เจ๋อเริ่มทำการปรุงอาหารของเหลาอาหารซิ่งฝูทันที โดยรายการอาหารที่จางอี้หมิงเลือกใช้ในการแข่งขันนี้คือไข่ม้วนข้าวผัดกุ้ง เนื่องจากอู๋เจ๋อฝึกการทำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งมาตลอดหนึ่งเดือนนี้จึงมั่นใจว่าตนทำได้ดี แต่เมื่อต้องมาทำต่อหน้าเหล่าชาวบ้านชาวเมือง เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตนเอง จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยให้กำลังใจท่านลุงอู๋อีกที“ท่านลุงอู๋ ไม่ต้องตื่นเต้นนะขอรับ ทำตามที่เราฝึกกันมา ท่านลุงอู๋เก่งอยู่แล้ว ท่านทำได้แน่นอน”“หมิงหมิงน้อย การทำอาหารชนิดนี้มันยังไม่เคยมีมาก่อนนะ ข้ากลัวว่ามันจะสู้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำปักษาล่องลมเชียวนะ แล้วไข่ม้วนของเราจะสู้ได้หรือไม่”อู๋เจ๋อเปรยออกมาเบา ๆ หากเขาเป็นกรรมการก็คงให้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ชนะเช่นกัน“ท่านลุงอู๋มิเชื่อฝีมือข้าหรือขอรับ พวกเราต้องชนะแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทั้งปลอบใจและให้กำลังใจไปด้วยในคราเดียวในการทำไข่ม้วนสิ่งสำคัญคือการม้วนไข่ไม่ให้ขาดและไม่ติดหม้อ หากเป็นในยุคปัจจุบันอี้หมิงจะไม่มีความกังวลเ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามไก่นึ่งของทางเหลาอาหารเฟิ่งฟูก็สุกได้ที่ เล่อหยุนจึงทำการรมชาเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อคำนวณเวลาโดยประมาณแล้ว ฝั่งของเขาจะเสร็จก่อนเวลาที่กำหนดถึงหนึ่งชั่วยามการรมชาทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ก่อนทำการรมชา เล่อหยุนนำน้ำผึ้งผสมด้วยซีอิ๊วมาทาลงไปบนตัวไก่ที่นึ่งสุกแล้วเพื่อให้ตัวไก่มีสีสันสวยงาม หลังจากนั้นจึงนำข้าวสาร น้ำตาล และใบชาชั้นดีลงไปคั่วในหม้อจนน้ำตาลเริ่มละลาย เมื่อควันเริ่มลอยออกมาจึงนำหม้อนึ่งไก่ลงไปอบด้วย เขาใช้เวลาประมาณ 60 ลมหายใจ ก่อนจะยกหม้อลงจากเตาและทำการรมควันแบบนั้นไปอีกหนึ่งเค่อ เพียงเท่านี้ก็จะได้ปักษาล่องลมที่มีสีสันน่ากินและรสชาติล้ำเลิศแล้วเล่อหยุนตกแต่งอีกเพียงเล็กน้อย เขาทำการตัดชิ้นส่วนของปักษาล่องลมให้พอดีคำ ง่ายต่อการชิมของคณะผู้ตัดสิน นอกจากนำไปส่งให้กับคณะผู้ตัดสินแล้ว อาหารอีกหนึ่งชุดถูกนำไปขึ้นโต๊ะให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายได้ทดลองชิมเช่นกัน“ไก่ชิ้นนี้อร่อย นุ่ม หอมกลิ่นชาเมื่อกินกับข้าวร้อน ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว”“ในเมืองหน้าด่านเช่นนี้ เพียงอาหารที่อร่อยและใช้วัตถุดิบน้อย ก็เป็นสิ่งที่พ่อครัวต้องคิดถึงเช่นกัน ปักษาล่องลม ถือว่าได้คุ
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นทันทีที่เสียงประกาศจบลง บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูการแข่งขันของสองเหลาอาหารชื่อดังต่างพากันเงียบเสียงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการปรุงอาหารของผู้แข่งขัน หนิงอ๋องแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจจางอี้หมิงเมื่อเด็กน้อยเพียงหนึ่งเดียวก้มศีรษะคารวะทำความเคารพไปยังที่นั่งของแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายอดีตพ่อครัวหลวงอย่างเล่อหยุนเองก็ยิ้มย่อง รายการอาหารที่เขาเลือกนำมาปรุงในวันนี้คือ ปักษาล่องลม หรือ ไก่รมชา นั่นเอง ขั้นตอนการปรุงปักษาล่องลมนั้นก็ไม่ยุ่งยากวัตถุดิบน้อยอย่างแต่กลับมีรสชาติที่น่าทึ่ง เล่อหยุนใช้ไก่ทั้งตัว ล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าขาวซับน้ำให้ตัวไก่แห้งสนิท ตามด้วยสมุนไพรฮวาเจียว ขิง ต้นหอม ใส่ลงไปในตัวไก่เสร็จแล้วจึงกลัดด้วยไม้เสี้ยนเพื่อให้เครื่องเทศอยู่ในตัวไก่ไม่หลุดออกมาหลังจากนั้นใช้เกลือเม็ดมาทาทั่วทั้งตัวไก่แล้วตามด้วยพริกหอมฮวาเจียวอีกครั้ง ก่อนนำไปพักไว้ให้ตัวไก่ได้ดูดซับเอาเครื่องเทศเข้าไป ทางเหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมทั้งหมด 5 ตัว ในระหว่างที่รอหมักไก่ให้เข้าที่ พ่อครัวหลายคนของเหลาเฟิงฟู่ก็เดินมายืนชมพ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูพลางส่งเสียงเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด“อา
ดั่งสายลมพัดผ่าน สายน้ำมิเคยไหลกลับ กาลเวลาเคลื่อนคล้อยตามที่ควรจะเป็น เช้าวันนี้ในเมืองไห่ถังต่างคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวบ้าน คหบดี หรือข้าราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองไห่ถังเองหรือชาวเมืองใกล้เคียงบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน สมกับเป็นงานรื่นเริงประจำเมืองที่จะจัดขึ้นในทุกๆ ปีมีกลุ่มคนบางคนรับทายผลการพนันว่าเหลาอาหารไหนจะได้ตำแหน่งไปครอบครอง ถึงแม้ว่าจะมีการรับพนันแบบลับๆ ก็ตาม โดยเหลาอาหารเฟิงฟู่ยังคงเป็นที่นิยมของชาวเมือง เนื่องจากข่าวที่เหลาอาหารเฟิงฟู่ได้อดีตพ่อครัวหลวงมาเป็นพ่อครัวในการลงแข่งขันนั้นถูกกระพือออกไปให้รู้กันถ้วนหน้า ในส่วนของเหลาอาหารซิ่งฝูถึงแม้ว่าระยะเวลาหนึ่งปีมานี้จะมีลูกค้าหนาแน่น อาหารน่ากินและแปลกใหม่ก็ตาม แต่ก็เหมือนการแบ่งแยกชนชั้นว่าเป็นเหลาอาหารของชาวบ้านมากกว่า จึงยังคงเป็นรองเหลาอาหารเฟิงฟู่อยู่ขั้นหนึ่งณ ลานกลางเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดการแข่งขันการทำอาหาร บัดนี้ถูกแบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง เจ้าเมืองได้เดินทางมาเป็นประจักษ์พยาน นอกจากนั้นยังมีหนิงอ๋อง อ๋องน้อยหนิงเทียน อาจารย์เทียน และพ่อครัวหลวงบางคนที่ท่านเจ้าเมืองได้เชิญมาเพื่อเป็นเกียรติแก่
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวจางที่มีงานรัดตัว อีกเพียงสามวันก็จะถึงวันแข่งขันทำอาหารเพื่อชิงตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่ง บรรดาเหลาอาหารเล็กๆต่างพากันถอนตัวออกไปมาก ด้วยพวกเขาทราบกันว่าพ่อครัวของเหลาอาหารเฟิงฟู่เป็นถึงอดีตพ่อครัวหลวง ผู้ซึ่งเคยประกอบสำรับถวายฮ่องเต้แคว้นฉินมาแล้ว หากดึงดันลงแข่งไปก็หาทางเอาชนะได้ยาก ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเหลาอาหารเฟิงฟู่และเหลาอาหารซิ่งฝูเท่านั้นในการจับไม้สั้นไม้ยาว เหลาอาหารเฟิงฟู่จะได้ทำอาหารก่อนและตามด้วยเหลาอาหารซิ่งฝู ผลการแข่งขันจะมาจากการให้คะแนนของชาวเมืองไห่ถังหนึ่งส่วน โดยให้ชาวเมืองนำเงินไปหย่อนลงในกล่อง หนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งคะแนน เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว เงินจำนวนนี้จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยไม่มีเงินหาหมอต่อไปและอีกหนึ่งส่วนเป็นการให้คะแนนจากพ่อครัวจากเหลาอาหารในเมืองหลวง จำนวน 5 ท่าน เมื่อนำคะแนนมารวมกันแล้วเหลาอาหารใดได้คะแนนมากที่สุด จะได้ขึ้นป้ายเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังต่อไปเกณฑ์การนับคะแนน สถานที่แข่งขัน และวันเวลาในการแข่งขัน ล้วนถูกประกาศออกไปทั้งหมดแล้ว ชาวเมืองต่างพากันอดใจรอไม่ไหวที่