เมื่อพลบค่ำมาถึง จางอี้เทานั่งเหม่อมองตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า แสงสีส้มช่างให้ความรู้สึกที่เศร้าหมองเหมือนดั่งครอบครัวของเขาในตอนนี้
ครอบครัวจางแต่เดิมพื้นเพเป็นคนเมืองหลวง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เป็นบุตรชายของฮูหยินเอกเพราะนางหูไป๋หงนั้นเป็นเพียงฮูหยินรองของคหบดีค้าผ้า แต่บิดากลับรักใคร่มารดาเขามากกว่าใคร ส่งผลให้ตัวเขาได้รับความรักความโปรดปรานจากบิดาไม่น้อย
เขาได้รับการศึกษาเล่าเรียนดั่งคุณชายคนหนึ่งจนสำเร็จเป็นบัณฑิต ต่อมาก็ทำงานเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา เมื่อถึงเวลาแต่งงานมีครอบครัว บัณฑิตหนุ่มก็พบรักกับหลี่อ้าย ลูกสาวร้านผ้าปักที่เป็นคู่ค้ากับตระกูลมาช้านาน เมื่อแต่งงานกันได้หนึ่งปี ก็มีจางอี้หมิงเป็นโซ่ทองคล้องใจ
สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้กับฮูหยินใหญ่ นางคิดเสมอว่าฮูหยินรองและบุตรชายไม่สมควรเทียบเคียงนางซึ่งถูกยกย่องเป็นเมียเอก หลังจากที่บิดาถูกโจรดักปล้นและเสียชีวิตในระหว่างเดินทางไปทำการค้าต่างเมือง ฮูหยินใหญ่ไม่แม้แต่จะให้เขาและมารดาได้ทำพิธีเคารพศพบิดาเป็นครั้งสุดท้าย นางมอบหนังสือแยกบ้านรองออกจากตระกูลหลัก หยิบยื่นเงินให้เพียงเล็กน้อยและไล่พวกเขามาอยู่บ้านบรรพบุรุษที่หมู่บ้านหลัวถงแห่งนี้
แต่แค่นั้นคงยังไม่สาแก่ใจท่านเทพแห่งโชคชะตา ระหว่างที่จางอี้เทาเดินทางมาหมู่บ้านของบรรพบุรุษ หอบความหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่มาเต็มเปี่ยม แต่ความหวังนั้นก็ถูกทำลายลงเมื่อครอบครัวของเขาถูกโจรดักปล้น ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องแลกไปกับทรัพย์สินทั้งหมดที่หอบหิ้วมาจากเมืองหลวง โชคยังดีที่หลี่อ้ายคว้าเอาห่อผ้าใส่โฉนดที่ดินของบ้านบรรพบุรุษและหนังสือแยกบ้าน รวมถึงเครื่องประดับเล็กน้อยมาไว้ได้
เมื่อหนีมาจนพ้นจากกลุ่มโจร จางอี้หมิงเริ่มจับไข้ไม่ได้สติหลายวัน กว่าจะมาถึงหมู่บ้านหลัวถง บุตรชายของเขาก็อาการหนักมากแล้ว เวลาผ่านไปจากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน แต่บุตรชายของเขายังคงไม่ฟื้นขึ้นมา
นับว่าสวรรค์ยังเมตตาอยู่บ้างที่คนในหมู่บ้านให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะหัวหน้าหมู่บ้านอย่างท่านลุงซุนถง ที่รวบรวมชาวบ้านมาช่วยปลูกบ้านให้อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่กระท่อมปลายนา ไม่มีแม้แต่ห้องนอนให้หลับสบาย เป็นแค่ห้องกว้าง ๆ ที่มุงหลังคาด้วยหญ้าเท่านั้น แต่เขาก็รู้สึกซึ้งใจมาก
ยังดีที่มีบ้านเป็นของตนเองไว้อาศัย แต่ความกังวลใจยังไม่หมดแค่นั้น เหมันต์ฤดูใกล้เข้ามาทุกที อีกเพียงไม่ถึงสามเดือนเท่านั้น จางอี้เทาไม่แน่ใจเลยว่าสภาพบ้านหลังนี้จะทนทานความหนาวเหน็บที่กำลังคืบคลานมาได้หรือไม่
อาหาร ข้าวสาร เสื้อผ้า ชาวบ้านต่างนำมาบริจาคให้กับครอบครัวของเขา ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มากไปด้วยน้ำใจ แตกต่างกับชาวเมืองหลวงบางกลุ่ม
“ท่านพี่ มานั่งเหม่อตรงนี้อีกแล้วนะเจ้าคะ” หลี่อ้ายส่งเสียงทัก นางเดินลงมายอบตัวนั่งข้าง ๆ
“น้องหญิง...พี่ขอโทษ พี่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ใช้ไม่ได้”
“ท่านพี่ อย่าได้ตำหนิตนเองเช่นนี้ แค่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ก็ดีที่สุดแล้ว เงินทองเราค่อยหามาเพิ่มทีหลังนะเจ้าคะ เชื่อข้า...พวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลี่อ้ายกล่าวปลอบใจสามีพลางดึงชายหนุ่มเข้ามาสวมกอดไว้ นางส่งกำลังใจผ่านอ้อมกอดนี้อย่างอบอุ่น ทำไมนางจะไม่รู้ว่าสามีต้องแบกรับภาระมากมายไว้บ่นบ่าทั้งสองมากขนาดไหนในฐานะหัวหน้าครอบครัว
สามีของนางเป็นบัณฑิต มือเคยจับแต่พู่กัน งานต่าง ๆ ล้วนมีบ่าวไพร่คอยรับใช้ เกิดและเติบโตมาดั่งคุณชาย เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเป็นผ้าไหมที่ตัดเย็บอย่างประณีต อาหารการกินเลือกเอาวันละสามอย่างไม่เคยซ้ำ รูปโฉมงดงาม เนื้อตัวสะอาดสะอ้านปราศจากกลิ่นเหงื่อไคล ท่วงท่าการก้าวย่างล้วนงามสง่าสมกับเป็นบัณฑิต ใครเล่าจะคิดว่าเพียงชั่วข้ามคืน ชีวิตจะพลิกผันได้ปานนี้
บ้านที่อยู่ในตอนนี้ไม่ต่างอันใดกับกระท่อมปลายนา เสื้อผ้าที่สวมใส่หรือก็เป็นเพียงผ้าที่หยาบกระด้าง อาหารการกินก็ต้องประหยัด บางวันถึงกับต้องอดเพื่อที่จะได้เหลือน้ำข้าวต้มจากธัญพืชหยาบไว้คอยป้อนให้กับจางอี้หมิง มือที่เคยจับแต่พู่กันต้องมาจับจอบจับเสียม
ในช่วงแรก ๆ ที่สามีนางกลับมาจากทำงานในไร่ มือของเขาเต็มไปด้วยตุ่มน้ำพุพองที่แตกเป็นน้ำใส ๆ สร้างความเจ็บปวดให้กับสามีของนางเป็นอย่างมาก
แม่สามีก็อายุมากแล้ว ทำอันใดไม่ได้มาก ส่วนนางต้องคอยดูแลจางอี้หมิงที่เจ็บไข้ จางอี้เทาจึงเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัวในตอนนี้ เขาต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อดูแลมารดาและภรรยาอย่างดีมาโดยตลอด ทำหน้าที่พ่อให้จางอี้หมิงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แน่นอนว่าบัณฑิตอย่างจางอี้เทาไม่เคยทำงานหนักมาก่อน ในตอนแรกแม้แต่จะพรวนดินยังยากนักหนา แต่ยังดีที่ได้ซุนซูเย่ บุตรชายของหัวหน้าหมู่บ้านคอยสั่งสอน ถือได้ว่าครอบครัวจางติดหนี้บุญคุณครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านมากมายจริง ๆ
“ท่านพี่ เข้าไปในบ้านเถอะเจ้าค่ะ เย็นแล้ว น้ำค้างเริ่มลง ท่านสมควรได้พักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานในไร่ของพี่ซูเย่อีก”
จางอี้เทาไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นยืนและเดินตามภรรยาเข้าไปในบ้าน
ในคืนนั้น ชายที่อยู่ในร่างเด็กน้อยนามจางอี้หมิงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกายมีนางหูไป๋หง ท่านย่าของร่างนี้นอนอยู่ข้าง ๆ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เตียงนอนเป็นแคร่ไม้ไผ่ ตัวเขานอนกับนางหู ส่วนบิดามารดานอนถัดไปอีกแคร่ที่อยู่ใกล้ๆ เขานอนเรียบเรียงความคิดเงียบ ๆ คนเดียว จนความทรงจำของร่างใหม่และความทรงจำเดิมผสานกันอย่างสมบูรณ์ อานนท์ วังศรีซ้าย คือเขาในโลกเดิม ก่อนที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างจางอี้หมิง เขาเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านอุ่นไอรัก เรียนจบแค่ชั้น ปวส. การตลาดภาคค่ำ เขาไม่ใช่คนที่เรียนเก่งหรือหน้าตาโดดเด่นอะไรเลย เป็นมนุษย์ที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างดาษดื่น แต่ถึงกระนั้น เขากลับเป็นคนที่มีฝีมือการทำอาหารในระดับที่น่าจับตามอง ไม่ได้อยากจะคุยโว แต่ลูกค้าหลายคนถึงกับออกปากแนะนำว่าเขาควรไปแข่งซูเปอร์เชฟไทยแลนด์เลยทีเดียว เขามีลูกค้าประจำหลายสิบคนแวะเวียนมาอุดหนุน ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เวียนไปเรื่อย ๆ พอได้มีเงินใช้ ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอะไรโลดโผนตื่นเต้นเหมือนในหนัง ส่วนอาชีพรองคือนักวิจัยข้อมูล ก็พูดไปซะหรูอย่างงั้นแหละ ความจริงแล้วมันคือการรับจ้างค้นคว้าหาข้อมูลในอากู๋นั
อานนท์ในร่างเจ้าตัวน้อยนามจางอี้หมิงนอนคิดทบทวนเรื่องราวไปมาอยู่กว่าสองชั่วโมงจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เขาพยักหน้าบอกตนเองให้ทำใจยอมรับและสุดท้ายก็นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงมารดาเอ่ยเรียกชื่อ“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนนานไปแล้วนะ ลุกขึ้นมาคุยกับแม่หน่อยเถอะ” เสียงหวานปนเศร้าปลุกให้จางอี้หมิงลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย“ท่านแม่...” “หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว” ดวงตาของผู้เป็นแม่เบิกกว้าง รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนใบหน้างาม “รอเดี๋ยวนะ แม่ไปบอกท่านพ่อของเจ้าก่อน”หลี่อ้ายรีบลุกขึ้นยืน นางเดินแกมวิ่งออกจากห้อง ปล่อยให้บุตรชายนอนรออย่างเงียบสงบ ดวงตากลมโตมองตามร่างของนางไปจนพ้นขอบประตู ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆเขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีที่ในตอนนี้ต้องมาทำตัวเป็นเด็กห้าขวบ ก็ไม่เท่าไรหรอก ต่างกันแค่ยี่สิบปีปีเอง...ซะที่ไหนล่ะเมื่อครู่แค่ตื่นมาปั้นหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ ยังยากแทบแย่ จะแนบเนียนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เพื่อความอยู่รอด เขาคงต้องปรับตัวครั้งใหญ่และคอยบอกตัวเองให้ยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่ใช่อานนท์ วังศรีซ้าย แต่คือ จางอี้หมิง เด็กน้อยอายุห้าขวบ“หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว
“ท่านพี่ วันนี้ช่างเป็นวันดียิ่งนัก หมิงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว ข้าคิดว่าจะไปช่วยท่านพี่ทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้าน เราไปทำสองคนอาจจะได้ธัญพืชเพิ่ม” หลี่อ้ายพูดขึ้นก่อนจะถามความเห็นสามี “ให้หมิงเอ๋อร์อยู่กับท่านแม่ ท่านพี่เห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ” “น้องหญิง แต่เจ้าไม่เคยได้ทำงานพวกนี้มาก่อน พี่กลัวว่าเจ้าจะเจ็บไข้ไปอีกคน มือของเจ้าเคยจับแต่เข็มปักผ้า จะให้ไปจับจอบจับเสียม แล้วเจ้าจะทำได้เช่นไร”“ท่านพี่ก็ไม่เคยจับจอบจับเสียม เคยแต่จับพู่กัน เพื่อครอบครัวแล้วท่านยังทำได้ ข้าก็จะเป็นเช่นท่านพี่” เสียงหวานตอบด้วยความอ่อนโยน นางคว้ามือหนามากอบกุมเอาไว้ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หมิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้ว เราต้องการอาหาร อีกอย่าง ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ถ้าไม่ตุนเสบียงเอาไว้มาก ๆ ข้าเกรงว่าพวกเราคงผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปไม่ได้ ท่านพี่ให้ข้าได้ลองไปดูก่อนเถิดนะเจ้าคะ”“อาเทา แม่จะดูแลหมิงเอ๋อร์ให้เอง พวกเจ้าไปทำงานให้สบายใจเถอะ” หูไป๋หงพูดเสริม สายตามองมายังบุตรชายที่กำลังคิดหนัก“ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้”สุดท้ายแล้ว จางอี้เทาก็ยินยอม เขาเองคิดมาสักพักแล้วเช่นกันว่าจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไร“ท่านแม่ ข้าขอโทษ น้
อาจจะเพราะเพิ่งฟื้นไข้และร่างกายนี้ก็ไม่ค่อยแข็งแรง จากที่กำลังงอนบิดาอยู่ดี ๆ จางอี้หมิงก็หลับไปจริง ๆ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนกำลังทำอะไรบางอย่าง เด็กน้อยจึงลุกขึ้นเดินไปทางหลังบ้าน ล้างหน้าล้างตาให้ปลอดโปร่งและเริ่มมองหาต้นตอของเสียงน่าสงสัยเดินมาไม่นาน เด็กชายก็เห็นท่านย่าของตนเองกำลังตัดฟืนจากไม้อันเล็ก ๆ นางตัดไว้จำนวนเยอะพอสมควร“ท่านย่า ตัดฟืนหรือขอรับ”“อ้าว หมิงเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”“ข้าสบายดีขอรับ แข็งแรงขึ้นมาก ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ข้าสามารถวิ่งรอบบ้านได้สามรอบเลยขอรับ” จางอี้หมิงตอบหญิงชรา เขาวิ่งไปรอบ ๆ ย่าของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้พูดเกินจริง“หมิงเอ๋อร์ พอก่อน ย่าเชื่อแล้ว ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย มา ๆ ช่วยย่าเอาฟืนเข้าไปในบ้าน ย่ากำลังจะทำอาหารไปส่งให้พ่อกับแม่ของเจ้าที่ทำงานในไร่”จางอี้หมิงได้ยินดังนั้นจึงหยุดวิ่ง เขาเดินไปช่วยหูไป๋หงเก็บฟืนเข้าบ้าน นำไปวางใกล้ ๆ กับพื้นที่ซึ่งแยกไว้เป็นส่วนครัว “โอ้โหท่านย่า เก่งมากเลยขอรับ ท่านย่าจุดไฟได้”จางอี้หมิงเอ่ยชม จากความทรงจำที่ได้รับมา ท่านย่าของเขาไม่เคยเข้าครัวทำอาหาร ไม่เคยต้องทำ
“ท่านย่า ท่านย่าขอรับ ข้ากลับมาแล้ว”เสียงตะโกนที่ดังลั่นมาแต่ไกลทำให้นางหูถึงกับสะดุ้ง มือเหี่ยวย่นเกือบจะปล่อยหม้อที่ถือไว้หลุดจากมือ นางหันหน้าไปมองหลานชายและเอ่ยเสียงดุ “หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงส่งเสียงดังนักเล่า ย่าเกือบทำหม้อหลุดมือ”“ท่านย่า ข้ามีของดีมาฝากขอรับ”จางอี้หมิงวางตะกร้าผักบนพื้น เขาก้มลงหยิบสิ่งที่ถือไว้ออกมา มันเป็นห่อขนาดไม่ใหญ่นัก ทำมาจากใบไม้ใหญ่ซ้อนกัน มือเล็ก ๆ คลายออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แม้จะเก็บมาเพียงเล็กน้อย แต่เขามั่นใจว่านางหูไป๋หงต้องพอใจอย่างแน่นอน อี้หมิงยื่นมันให้ท่านย่าดูพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะสิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่คำชมอย่างที่ตนหวัง แต่เป็นเสียงดุยกใหญ่“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเก็บสิ่งใดมา ย่าไม่เห็นรู้จัก เอาผักป่ามาให้ย่าได้แล้ว”“ท่านย่า ท่านไม่รู้จักสิ่งนี้หรือขอรับ”“มันคืออะไรเล่า”“มันคือผำหรือไข่น้ำขอรับ นำมาทำน้ำแกง ผัดใส่ไข่ อร่อยมากเลยขอรับ ข้าเก็บมานิดเดียว เพราะว่ากลัวตกลงไปในบึง รอบหน้าข้ารบกวนท่านย่าไปเก็บให้ข้าหน่อยได้ไหมขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าเจ้าเดินออกนอกเส้นทางไปทางบึงน้ำ มันอันตรายมาก ครั้งหน้าเจ้าห้
แคว้นที่เขาอาศัยอยู่นี้มีชื่อว่าแคว้นฉิน มีการปกครองด้วยองค์จักรพรรดิ เมืองหลวงมีชื่อว่า ซูโจว ที่นั่นเคยเป็นบ้านของเขาก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเมืองไห่ถัง เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดนัก แม้แต่การเดินทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านหลัวถงเองก็ใช้เวลานานกว่าสิบวันขณะนี้ บ้านเมืองอยู่ในช่วงสงบศึกหลังสงครามเพียงแค่ สิบห้าปี อาหารจึงยังไม่เพียงพอ แรงงานยังคงขาดแคลน แต่ศิลปะการแสดงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งสำหรับการเดินทางจากหมู่บ้านหลัวถงเข้าไปในเมืองไห่ถัง ใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งชั่วยาม หากเดินทางด้วยเกวียนจะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นรถม้าหรือม้า ก็จะย่นระยะเวลาไปอีกครึ่งหนึ่งของการเดินทางด้วยเกวียนค่าแรงชาวบ้านทั่วไปขั้นต่ำอยู่ที่ยี่สิบอีแปะต่อวัน โดยคนจ้างไม่ได้เลี้ยงอาหาร ชาวบ้านกินอาหารวันละสองมื้อ คือมื้อแรกเวลาประมาณ ยามอู่ (11.00 – 12.59) มื้อสุดท้ายประมาณยามโหย่ว (17.00 – 18.59) การซื้อขายสินค้าจ่ายเป็นเงินตำลึง ครอบครัวจางไปรับจ้างทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแลกกับธัญพืชโดยไม่รับเงินค่าจ้างแต่อย่างใดค่าเงินหนึ่งพัน
เวลาสำหรับมื้ออาหารผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางหูและจางอี้หมิงจึงพาหลี่อ้ายกลับบ้าน เด็กน้อยบอกลาจางอี้เทาที่กำลังกลับไปทำงานตามปกติ พวกเขาเดินตามเส้นทางเดิม แต่เพราะขากลับมีคนป่วยมาด้วย การเดินทางจึงช้าลงไปเกือบเท่าตัว “หลี่อ้าย นอนพักตรงนี้ก่อน แม่จะไปเอาน้ำมาให้เจ้าดื่ม” หูไป๋หงเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางให้หลี่อ้ายนั่งรอใต้ร่มไม้ก่อนจะเดินไปตักน้ำ พวกเขาเดินกันมาได้สักพักแล้ว จางอี้หมิงมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่รู้ว่าตรงนี้คือที่ใดและเวลาใดจึงเอ่ยถาม“ท่านย่าขอรับ ตอนนี้ยามไหนแล้วขอรับ”“น่าจะยามเว่ย (13.00 – 14.59) นะหมิงเอ๋อร์ มีอะไรหรือ”“ข้าอยากขึ้นเขาไปหาผักป่าหรือของกินขอรับ ถ้าเรารีบไปตอนนี้อาจจะหาอะไรมากินได้บ้างก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน” “ไม่ได้นะหมิงเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาวันนี้ เหตุใดจึงดื้อรั้นอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก รอให้บิดาของเจ้ากลับมาจากไร่เสียก่อน ถ้าบิดาเจ้าไม่อนุญาต ย่าก็ไม่อนุญาตเช่นกัน ตอนนี้มารดาเจ้าล้มป่วยอยู่คนหนึ่งแล้ว หากเจ้าต้องมาล้มป่วยอีกคน ครอบครัวเราคงรับไม่ไหวแน่” นางหูถึงกับปฏิเสธทันควัน สถานการณ์ตอนนี้เป็นดังคำที่นางว่า คร
นางหูและจางอี้หมิงช่วยกันเก็บผักบุ้งมาได้พอประมาณ ทั้งสองรีบกลับไปหาหลี่อ้าย ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง เพียงไม่นาน หัวหน้าครอบครัวก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมธัญพืชหยาบที่ได้จากการไปทำงานในวันนี้“ท่านแม่ เข้าบ้านก่อนเถอะขอรับ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”จางอี้เทาเดินเอาห่อธัญพืชหยาบกับห่อเนื้อสัตว์วางไว้กลางบ้าน เขานั่งลงเพื่อพักผ่อนจากอาการปวดล้า จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำมาให้บิดา เขาไม่ลืมเอาผ้าเช็ดหน้าพร้อมขันน้ำใบเล็กมาด้วย“หมิงเอ๋อร์ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ขอบใจเจ้ามาก”“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานเหนื่อย ข้าอยากช่วยท่านพ่อทำงานขอรับ” “อาเทา นี่มัน....” นางหูที่เดินเข้าไปดูห่อผ้าถึงกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือเนื้อสัตว์แน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนเนื้อติดประปราย ที่เหลือมีแต่ไขมันเป็นส่วนมากก็เถอะ แต่ก็มีค่ามากนัก เนื้อชินนี้หากกะด้วยสายตาก็น่าจะประมาณเกือบห้าชั่ง“มีอะไรหรือเปล่าอาเทา”“วันนี้ทำงานที่ไร่วันสุดท้ายแล้วขอรับ พืชผลเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ท่านพี่เย่จ่ายค่าจ้างเป็นธัญพืชตามที่เราแจ้งไป แต่ท่านพี่เย่คงสงสารบ้านเรา จึงแบ่งเนื้อ
คุณชายรองจวนเจ้าเมืองไม่นึกสงสัยในคำบอกเล่าของเถ้าแก่หลินอีกแล้ว เมื่อเช้านี้ เถ้าแก่หลินไห่ได้ไปเชิญท่านพ่อและครอบครัวของเขาให้มาในการเปิดตัวอาหารชนิดใหม่ เห็นเถ้าแก่เล่าถึงความฉลาดและเรื่องราวของเด็กน้อยบนตักให้ทุกคนได้รับฟังด้วยความภูมิใจนักหนา เขายังแปลกใจปนสงสัยในความฉลาดเกินเด็กของหลานชายบุญธรรมเถ้าแก่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้ยินข้อเสนอนี้แล้ว เขาก็ไม่สงสัยอีกต่อไปหวงห่าวหรานหันหน้าไปมองจางอี้เทา แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ความคิดความอ่านช่างดีนัก สามารถสอนบุตรชายให้เก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ น่าคบหาเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว“พี่ชายอี้เทา ท่านช่างสอนหมิงหมิงน้อยได้ดียิ่งนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาเถ้าแก่หลินไห่เถอะ บอกว่าเจ้าแก้ไขปัญหาได้แล้ว และข้ายินดีทำตามที่เจ้าต้องการ จะทำเช่นไรนั้นค่อยปรึกษากันทีหลัง ดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยชมจางอี้เทา ก่อนก้มหน้ายอมรับข้อเสนอของเด็กน้อยบนตักตนเองด้วยรอยยิ้มสมแล้วที่เป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง เพียงได้ฟังคำบอกจากเขาก็เข้าใจได้ทั้งหมดจางอี้หมิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มกว้างตอบ ขยับตัวลงจากตักของคุณชายหวงแล้ววิ่งไปหาท่านปู่หลินทันที“ท่านปู่ขอรับ ท่านมีท
“เมื่อถึงคราวครบกำหนดส่งเครื่องบรรณาการ ทุกเมืองในแคว้นฉินจะต้องหาเครื่องบรรณาการที่ล้ำค่าที่สุดส่งเข้าไปให้กับเมืองหลวงเพื่อคัดเลือกเป็นสิ่งของล้ำค่า ราวกับเป็นตัวแทนแคว้นฉินส่งมอบให้กับแคว้นจ้าว หากเมืองไหนได้รับเลือก เมืองนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีที่จะต้องส่งให้กับเมืองหลวง และยังได้เงินอีกจำนวนหนึ่งเป็นของรางวัลด้วย เมืองไห่ถังมิเคยได้รับเลือกเป็นตัวแทนสักครั้ง ท่านพ่อจึงหวังว่าในครั้งหน้า เมืองไห่ถังจะได้รับเลือก”“ท่านเจ้าเมืองช่างเป็นคนดียิ่ง” จางอี้เทาเปรยออกมาอย่างชื่นชม“แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนในการหาสิ่งของที่มีมูลค่า จะประกาศออกไปก็เห็นทีจะทำไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นการเปิดเบาะแสให้เมืองอื่นนำความคิดไปใช้ ข้าได้ข่าวลับมาว่าแคว้นจ้าวกำลังหาของขวัญเพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดกับองค์หญิงพระองค์หนึ่งซึ่งหลงใหลในภาพวาดและงานเขียนเป็นอย่างมาก ท่านพ่อจึงคิดจะหาภาพวาดเพื่อมอบให้กับองค์หญิง” หวงห่าวหรานถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เขาพูดออกมาเสียยืดยาวโดยลืมคิดไปเลยว่าเด็กตัวกระจ้อยแค่นี้จะมาเข้าใจอะไร“หมิงหมิงน้อย ข้าขอโทษเจ้าด้วย เจ้ายังเป็นเด็ก ข้าก็ช่างเลอะเลือน เอาปัญห
“ใช่แล้วขอรับคุณชายหวง อี้หมิง ทำความเคารพคุณชายหวงห่าวหรานเสียสิ คุณชายหวงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมือง คุณชายหวงขอรับ เด็กน้อยคนนี้เป็นหลานบุญธรรมของข้า ชื่อว่าจางอี้หมิง และนั่นจางอี้เทา บิดาของเขาขอรับ” หลินไห่เอ่ยแนะนำอี้หมิงให้รู้จักกับชายหนุ่ม“คารวะคุณชายหวง” สองพ่อลูกสกุลจางเอ่ยทักทายตามคำบอกของเถ้าแก่หลิน“ยินดีที่ได้รู้จักเด็กฉลาดเช่นเจ้านะ หมิงหมิงน้อย เห็นทีว่าเถ้าแก่หลินคงไม่สะดวกในวันนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยถามเสียงทุ้ม“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบ แต่ในใจกลับคิดไปไกล หล่อโอ้ปป้าเกาหลีแบบนี้นี่เอง คุณหนูใหญ่ของทั้งสองจวนถึงแย่งกันขนาดนี้ แม้แต่การพูดยังคุณช๊ายคุณชาย “คุณชายหวงอย่าได้เป็นกังวล ข้าขอจัดการปัญหาสักครู่ เชิญคุณชายนั่งรอก่อนขอรับ” หลินไห่วางเด็กน้อยลงบนพื้นก่อนที่จะหันไปเชิญหวงห่าวหรานให้นั่งลงก่อน“ซีฮัน เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เถ้าแก่หันไปถามคนงานด้วยน้ำเสียงจริงจังซีฮันจึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เขาเปิดรับการจองลำดับอาหารทั้งหลายตามจำนวนที่เถ้าแก่ได้สั่งไว้ แต่ปรากฏว่าสามสหายท่องหล้าอันดับสุดท้ายนั้น เขาไม่รู้จะมอบ
“ขอถามท่านปู่ทั้งสอง พวกท่านสามารถเลื่อนการชิมอาหารไปในครั้งหน้าได้หรือไม่ ข้าจะให้พี่ซีฮันให้ท่านอยู่ลำดับแรก ๆ เลยขอรับ” “เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาแทรกการสนทนาของผู้ใหญ่” ผู้เฒ่าคนแรกเอ่ยถามขึ้นจางอี้หมิงพิจารณาการแต่งกายของคนตรงหน้าแล้ว คาดว่าคงจะไม่ใช่คหบดีหรือเศรษฐี ถ้าเดาไม่ผิดอาจจะเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของจวนไหนสักแห่ง“ตอบท่านปู่ ข้าชื่อจางอี้หมิง เป็นหลานชายบุญธรรมของท่านปู่หลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูขอรับ” จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนตัวตรง ยกมือคารวะไปยังสองผู้เฒ่าพร้อมกับตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนฉะฉาน“หน้าตาของเจ้าช่างคุ้นนัก มิใช่เด็กน้อยที่ตะโกนขายน้ำตาลผักที่ร้านเถ้าแก่หวังหรอกหรือ”“เป็นข้าเองขอรับ” “ไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยคนนั้นจะเป็นถึงหลานชายบุญธรรมของเถ้าแก่หลินไห่ ข้าชื่อหานอี้ เป็นหัวหน้าพ่อบ้านคหบดีหานอี้ฝาน รับคำสั่งจากคุณหนูใหญ่ให้มาทำการจองลำดับในวันนี้ แต่ไม่นึกว่าจะต้องมาเจอกับเจ้าเฒ่าหน้าเหม็นจวนผิงไปเสียได้” หานอี้อธิบาย เขามองไปยังผู้เฒ่าอีกคนด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เจ้าเฒ่าหาน อย่ามากล่าวหาข้าลอย ๆ เช่นนี้ นึกว่าข้าจะอยากมาเจอตาเฒ่าเช่นเจ้าหรือไร เพียงแต่
“พี่ซีฮัน ข้ากับท่านพ่อเพิ่งมาถึง เหตุใดข้าจึงเป็นสาเหตุของเรื่องราววุ่นวายได้ล่ะขอรับ”จางอี้หมิงเกาหัวตนเองอย่างสับสนมึนงง เขาไม่เข้าใจว่าตนเองไปเป็นต้นเหตุของเรื่องราวได้เช่นไร เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาได้ไม่เท่าไรก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุเสียแล้ว เสียงดังโหวกเหวกพวกนี้มีมาก่อนหน้านี้แล้วมิใช่หรือ“เพราะรายการอาหารใหม่ที่จำกัดจำนวนการขายเป็นความเห็นของเจ้าเช่นไรเล่า ลูกค้าพวกนั้นถึงทะเลาะกันอยู่อย่างนี้” ซีฮันถึงกับเล่าไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาต้องยืนอยู่ตรงกลางชายชราทั้งสองคนมานานกว่าสองเค่อแล้วเห็นว่าเป็นชายชราเช่นนั้นหรือ ฮึ! หลอกลวงทั้งเพ ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา ไม่เห็นใจคนที่อยู่ตรงกลางเช่นเขาเลยสักนิด“พี่ซีฮันอย่าเพิ่งโมโหไปขอรับ รบกวนพี่ซีฮันไปแจ้งแก่พวกเขาทุกคนว่าให้อยู่ในความสงบ ขอข้าได้รับฟังเรื่องราวสักนิด คงใช้เวลาไม่นานที่จะหาทางออกของปัญหาให้ขอรับ” “ได้ ๆ” เสี่ยวเอ้อร์อันดับหนึ่งของเหลาอาหารซิ่งฝูรีบไปจัดการตามที่เจ้านายตัวน้อยกล่าว เมื่อเขานำความไปแจ้งแก่ลูกค้ากลุ่มนั้น พวกเขาจึงเงียบเสียงลงและเดินไปนั่งรอคอยว่าเหลาอาหารซิ่งฝูจะจัดการปัญหาเช่นไร
“เถ้าแก่เอาน้ำตาลผักกับเกลือผักมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ขอรับ เพราะเกลือผัก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการทำ ระยะเวลาในการทำ รวมถึงการดูแลรักษายุ่งยากกว่าน้ำตาลผักมาก แต่ถ้าหากว่าเถ้าแก่คิดว่าแพงเกินไป กลุ่มการค้าหลัวถงก็คงต้องขอนำเกลือผักไปเสนอให้กลุ่มการค้าอื่นแทน ท่านว่าดีหรือไม่ขอรับ”“มะ ไม่ดีหมิงหมิงน้อย ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้นเอง ได้ฟังเจ้าอธิบายมาเช่นนี้แล้ว ข้าพอจะเข้าใจและยอมรับได้ เช่นนั้นก็ตกลงที่ราคาสิบอีแปะเท่าราคาเครื่องเทศนั่นแหละ” ฮึ! ช่างเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์เสียจริง เห็นรูปร่างเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ ประมาทไม่ได้เสียแล้ว ในเรื่องการต่อรอง เขาต้องระวังตัวเช่นนี้เชียวหรือ เฮ้อ! หมดกันกับฉายาเถ้าแก่หวังผู้ไม่เคยพ่าย เถ้าแก่ร้านขายของชำถึงกับยกมือขึ้นซับเหงื่อตรงบริเวณหน้าผากทั้งที่ไม่มีเหงื่อออกมาเลยสักหยด“ท่านพ่อ ข้าขอตัวอย่างเกลือผักด้วยขอรับ” จางอี้หมิงขอเกลือผักจากบิดา เด็กน้อยได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเกลือผักต้องขายได้หลังจากที่ได้ยินเถ้าแก่หวังบอกเหตุผลตั้งแต่วันที่มาคุยเรื่องการค้าครั้งใหญ่ อีกอย่าง ในฐานะพ่อค้า เหตุใดจะไม่หาหนทางให้ขายได้ ถ้าเกลือผักนำออกขายไม่ได้ นั่นล่ะที่
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน สุริยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่สมาชิกตระกูลจางต่างก็พากันลุกขึ้นมาจัดการหน้าที่ของตนเองแล้ว แม้แต่เด็กน้อยอย่างจางอี้หมิงก็ตื่นนอนมาเตรียมตัวด้วยเมื่อวานตอนเย็นหลังจากที่ได้พูดคุยตกลงกัน พวกเขาได้ข้อสรุปแล้วว่าจะลงหลักปักฐานเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หมู่บ้านหลัวถงนี้ดังนั้นแล้ว จางอี้หมิงจึงได้ขอโฉนดที่ดินมาจากท่านย่าเพื่อนำมาวางแผนผังการใช้สอยที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินของตระกูลจางมีทั้งหมดสามสิบหมู่และอยู่ท้ายหมู่บ้าน บ้านที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างให้ตอนนี้อยู่ห่างจากลำธารพอสมควร จางอี้หมิงจึงเสนอให้แบ่งที่ดินออกเป็น 5 ส่วน ในเมื่อสกุลจางตกลงที่จะเป็นพ่อค้าคนกลางแล้ว ที่ดินที่จะใช้ในการปลูกพืชผักจึงตัดออกไปเสียมาก เหลือเพียงไว้ใช้ปลูกพืชผักเพื่อกินเองเท่านั้นบริเวณหน้าบ้าน อี้หมิงตั้งใจจะสร้างเป็นสถานศึกษาในอนาคต ที่ดินจึงถูกกันไว้มากหน่อย บ้านที่กำลังจะสร้างในอีกไม่กี่วันนี้เป็นแบบชั่วคราวเพื่อรอให้ชาวบ้านร่ำรวยและสร้างไปพร้อมกัน จึงจัดไว้ตรงกลาง เหลือพื้นที่หลังสุดที่อยู่ใกล้ลำธารสำหรับสร้างบ้านที่สวยงามและมีขนาดใหญ่ในภายหลังเมื่อวาดแบบออกมาอย่างคร่าว ๆ
“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ต้นหญ้าหวานมีเป็นภูเขา ถึงแม้จะมีใบสั่งซื้อจำนวนมาก ทว่าในการทำหัวเชื้อ เราใช้ต้นหญ้าหวานนิดเดียวเท่านั้น ท่านพ่อลืมแล้วหรือขอรับว่าเราไม่ต้องตากต้นหญ้าหวานแล้ว ในเมื่อเราใช้ใบสดในการทำน้ำตาลผัก ปริมาณที่ใช้จึงลดลงตามไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือใบหญ้าหวานสดหนึ่งจินใช้ทำหัวเชื้อได้ประมาณสิบไหเลยนะขอรับ”“จริงเช่นหมิงเอ๋อร์พูด พ่อช่างเป็นคนขี้ลืม หมิงเอ๋อร์บอกว่าจะปรับสูตรการทำหัวเชื้อเช่นนั้นหรือ ในเมื่อวันนี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทดลองแล้ว เช่นนั้นค่อยทดลองวันอื่นกันเถอะ”“หมิงเอ๋อร์ พรุ่งนี้หลังจากที่เราส่งน้ำตาลผักรอบสุดท้ายและตกลงจ้างงานกับเถ้าแก่หวังเสร็จแล้ว พ่อว่าเราไปหาท่านปู่หลินให้ช่วยเรื่องการสร้างบ้านกันเถอะ เรื่องสร้างบ้านพ่อไม่ถนัด เกรงว่าจะพูดคุยกับช่างไม่รู้เรื่อง แล้วหมิงเอ๋อร์พอรู้เรื่องการสร้างบ้านหรือไม่” จางอี้เทาปรึกษาบุตรชายอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่ง“ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยห้าขวบ ไหนเลยจะรู้เรื่องการสร้างบ้านเล่าท่านพ่อ แต่ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ ข้าต้องการสิ่งใดบ้าง ในวันที่คุยกับช่าง ข้าจะอธิบายให้ท่านพ่อและช่า
“หมิงเอ๋อร์ แล้วถ้าเกลือผักสามารถทำออกมาขายได้เล่า เจ้าได้วางแผนไว้เช่นไรบ้าง” หลังจากที่เอ่ยชมกันไปมาแล้ว อี้เทาจึงถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านพ่อ เกลือผักข้าจะไม่หวงสูตรขอรับ เพราะเกลือผักใช้เวลาในการทำนานกว่า ขั้นตอนยุ่งยากกว่า แต่ข้าจะขอส่วนแบ่งจากการขายแทนขอรับ อีกหนึ่งเหตุผลคือหากเราคิดค่าสูตรทุกอย่าง ชาวบ้านอาจจะต่อต้านเราเหมือนกับท่านพี่หลวนซาน เราแค่ขอส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”“แต่ท่านพ่ออย่าลืมนะขอรับ ถึงแม้จะเพียงแค่หนึ่งอีแปะ แต่ถ้าปริมาณการขายเป็นหมื่นเป็นแสนห่อ ท่านพ่อคิดว่ามันจะมีรายได้เกิดขึ้นเท่าไรขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเหมือนกับท่านปู่ของเจ้ายิ่งนัก” นางหูเอ่ยชมออกมาหลังจากที่ได้ฟังความคิดของหลานชายสามีของนางทั้งเป็นคนดี รักครอบครัวและเก่งกาจในการทำการค้ายิ่งนัก เมื่อเห็นว่าอี้เทาชื่นชอบการเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ก็ไม่เคยบังคับให้สืบต่อกิจการค้าผ้า น่าเสียดายที่สามีของนางอายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความน่ารักและเฉลียวฉลาดของหลานชาย“ข้าเก่งเหมือนท่านพ่อแล้ว ข้ายังเก่งเหมือนท่านปู่ด้วยขอรับ ฮิฮิ” “เจ้าเด็กหลงตัวเอง” นางหูถึงกับส่ายหน้าแต่ก็ยกยิ้มกว้าง นางเพ