แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น
แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่
"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"
อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน
"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"
ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้
"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"
คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะลึงและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
"เจ้า...แน่ใจหรือ"
"แน่ใจแน่นอนเจ้าค่ะ บ่าวเห็นกับตา ตอนนี้คุณชายใหญ่กำลังสนทนาอยู่กับนายท่านในห้องโถงเจ้าค่ะ บ่าวทั้งจวนล้วนแตกตื่นกันหมดเลยเจ้าค่ะ"
อวี้หลันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หัวใจเต้นรัวราวจะหลุดออกจากอก สีหน้าเรียบเฉยเริ่มสั่นคลอน ภาพความทรงจำเลือนรางของเจ้าของร่างเดิมผุดวาบขึ้นในห้วงความคิด เด็กชายตัวน้อย ดวงตากลมโตเปี่ยมด้วยความไร้เดียงสา มือเล็กๆ ที่เคยจับจูงกันวิ่งเล่นในลานเรือน เสียงเรียก "พี่หญิง" ยังก้องกังวานอยู่ในหัวไม่จางหาย
นับวัน จิตวิญญาณของนางยิ่งกลมกลืนไปกับร่างนี้ หัวใจที่แม้สงบนิ่งและแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานกระแสความโหยหาอันแผ่วเบานี้ได้ หรือเป็นเพราะความสัมพันธ์ของฝาแฝดที่ไม่อาจตัดขาด ทุกสัมผัส ทุกห้วงอารมณ์จึงคล้ายเชื่อมโยงกันอย่างลึกล้ำ
ริมฝีปากที่เคยเม้มแน่นค่อยๆ คลายออกเป็นรอยยิ้มบาง แต้มไว้ด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งจากนางในยามนี้
"ในที่สุด... เจ้าก็กลับมา"
เซิ่งซื่อแต่งกายงดงามเรียบร้อยในชุดผ้าแพรปักดิ้นทองลายเมฆมงคล เดินนำอวี้เหมยและอวี้คุนตรงไปยังเรือนใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง ริมฝีปากประดับรอยยิ้มนุ่มนวล ดวงหน้ายังคงอ่อนหวานละมุนเช่นเดิม ทว่าภายในใจกลับคล้ายมีคลื่นซัดกระหน่ำอย่างไม่หยุดหย่อน
นางไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงความปั่นป่วนในอก โดยเฉพาะในเวลานี้ ที่ทุกก้าวที่เดินคล้ายจะเหยียบอยู่บนหนามแหลมคม
อวี้เหมยที่ติดตามมาด้านหลัง อยู่ในชุดผ้าไหมสีฟ้าสดใส ใบหน้าแต่งแต้มอย่างบรรจงรับกับเค้าหน้าที่งดงามตามวัยไร้ที่ติ นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างภาคภูมิ ทุกฝีก้าวล้วนเปี่ยมด้วยความมั่นใจที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด สำหรับนางแล้ว การกลับมาของอวี้เฉินไม่มีค่าอันใดเลย เด็กคนนั้นก็แค่ลูกที่บิดาไม่ต้องการ เด็กที่ถูกทอดทิ้ง ไม่เคยมีที่ยืนในจวน และนับจากนี้ก็คงไม่มีทางมีได้
ส่วนอวี้คุนในวัยสิบสามก็หาได้ต่างจากพี่สาว เขาเดินอย่างองอาจจวนจะกลายเป็นเย่อหยิ่ง ใบหน้าเยาว์วัยประดับรอยยิ้มมั่นใจเต็มเปี่ยม เชื่อมั่นอย่างฝังรากลึกว่าตนคือผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลอวี้ ความมั่นใจนั้นไม่ได้บังเกิดขึ้นเอง หากแต่ซึมซาบจากคำของมารดาที่พร่ำบอกเขาอยู่ทุกวัน ว่าเขาคือคนที่บิดารักและวางใจที่สุด ไม่มีผู้ใดในจวนนี้จะเทียบเคียงได้
โดยไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อยว่า มารดาของพวกเขาในยามนี้ แบกรับบรรยากาศหนักอึ้งเพียงใด
เมื่อทั้งสามมาถึงหน้าห้องโถงหลัก ประตูไม้บานใหญ่ถูกผลักออกอย่างเงียบงัน ด้านใน บุรุษทั้งสามกำลังนั่งจิบชาสนทนากัน ไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ
เซิ่งซื่อลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
เป็นนางเองที่คิดมากเกินไป เรื่องนั้นผ่านไปตั้งแปดปีแล้ว หากพวกเขาจะระแคะระคาย ก็คงไม่ปล่อยให้มันเงียบงันมายาวนานถึงเพียงนี้
หรือบางที พวกเขาอาจไม่เคยรู้เลยว่าผู้ที่บงการทุกอย่างก็คือนาง
"คารวะองค์ชายใหญ่เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ"
เสียงคำนับของเซิ่งซื่อและบุตรทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน นางย่อตัวลงอย่างงดงาม ท่ามกลางรอยยิ้มอ่อนโยนที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้า แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเพียงใดก็ตาม
องค์ชายใหญ่พยักหน้ารับอย่างเฉยเมย ดวงเนตรสงบนิ่งกวาดมองผ่านทั้งสามโดยไม่เผยความรู้สึกใดๆ ยากนักที่จะคาดเดาว่าพระองค์กำลังคิดสิ่งใดอยู่
หลังจากทำความเคารพผู้สูงศักดิ์ เซิ่งซื่อก็เบนสายตาไปยังเด็กหนุ่มข้างกายผู้เป็นสามี ก่อนจะย่างเท้าก้าวเข้าไปหาด้วยท่าทางยินดี รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าอย่างแนบเนียน ทว่าแววตากลับฉายแววครุ่นคิดไม่จาง
นางหยุดยืนใกล้โต๊ะน้ำชาตรงหน้าสามี ขยับริมฝีปากเอ่ยเสียงนุ่มนวลเปี่ยมด้วยความเมตตา
"อาเฉิน…เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ดียิ่งนัก ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที"
นางกวาดสายตาไปยังเด็กหนุ่ม แววตาอ่อนโยนแลดูลึกซึ้ง
อวี้เฉินในชุดสีน้ำเงินเข้มยืดตัวตรง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองสบดวงตาของสตรีตรงหน้าโดยไม่หลบเลี่ยง นัยน์ตาคมกริบไร้คลื่นอารมณ์ ทว่าแฝงแรงกดดันเยียบเย็นอย่างยากจะหยั่งถึง
เขาลุกขึ้นยืน สบตากับแม่เลี้ยงอย่างสงบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แต่มีมารยาทครบถ้วน
"อวี้เฉิน คารวะฮูหยิน"
เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบาง แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่แตะถึงดวงตา
"ข้ากลับมาแล้วขอรับ"
รอยยิ้มบนใบหน้าเซิ่งซื่อคล้ายจะแข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะฉาบเคลือบด้วยความอ่อนโยนเช่นเดิม นางพยายามกลบเกลื่อนความอึดอัดกระอักกระอ่วนที่คืบคลานรอบตัว เอ่ยถามผู้เป็นสามีเสียงอ่อนหวานระคนสงสัย
"ท่านพี่...นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ เหตุใดอาเฉินถึงกลับมากับองค์ชายใหญ่ได้"
เสียงของนางพยายามควบคุมให้มั่นคง ทว่ากลับแผ่วเบาและฝืดเฝื่อนกว่าที่ตั้งใจไว้
อวี้จิ้งนั่งหลังตรง สีหน้าเรียบนิ่ง มือประคองถ้วยชาในท่วงท่าสงบ ทว่าในดวงตาลึกนั้นมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว เขาวางถ้วยชาลงกับโต๊ะเบาๆ เสียงกระทบของกระเบื้องและไม้คล้ายจะดังก้องกว่าปกติในความเงียบ
แต่คำตอบที่เซิ่งซื่อต้องการ กลับมิได้ออกมาจากปากของผู้เป็นสามี เสียงทุ้มเย็นของบุรุษอีกผู้หนึ่งเป็นฝ่ายตอบขึ้นแทน
"ข้าเป็นผู้พาเขาออกจากจวน ย่อมต้องเป็นผู้มาส่งเขาด้วยตัวเอง นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว"
เสียงนั้นแม้นิ่งเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันและอำนาจจนห้องทั้งห้องคล้ายจะตกอยู่ในความเงียบงันชั่วขณะ
"อะ อะไรนะเพคะ"
เซิ่งซื่อหลุดถามออกมาด้วยเสียงที่เกือบสั่น หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันแทบจะทันที ก่อนที่นางจะเร่งเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่พยายามรักษาความสงบ แต่แววระแวงกลับไหลซึมขึ้นมาในดวงตาอย่างปิดไม่มิด
"พระองค์ตรัสว่าเป็นผู้มารับอาเฉินด้วยพระองค์เองเช่นนั้นหรือเพคะ องค์ชายใหญ่ทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้วกระมัง"
นางจำได้ว่า ผู้ที่มาพาตัวอวี้เฉินไปแต่งกายด้วยชุดสีดำมอซอ ใบหน้ารกครึ้มเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง ทั้งยังมีท่าทีแข็งกระด้าง ไร้ความเป็นสุภาพชน แตกต่างจากบุรุษตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง
หลี่เหวินหลงยังคงมีท่าทางนิ่งสงบ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาได้ว่ากำลังเย้าหยอก หยันเย้ย หรือเพียงแค่เบื่อหน่าย ดวงตาคมปลาบทอดมองนางเพียงครู่ ก่อนจะเอียงศีรษะแล้วไหวไหลเล็กน้อยแทนคำตอบ คล้ายจะบอกว่า จะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่เจ้า
ท่าทางเช่นนั้น... ช่างยียวนกวนอารมณ์ จนเซิ่งซื่อต้องกัดริมฝีปากแน่น กลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ไม่ให้สะท้อนออกมาทางสีหน้าและแววตา
"เป็นเช่นที่องค์ชายใหญ่ทรงตรัส"
อวี้จิ้งที่เงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เป็นผู้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงแววหนักแน่นดั่งตอกย้ำความจริงนั้น
เซิ่งซื่อคลี่ยิ้มบาง หัวเราะเบาๆ อย่างเขินอาย กลบเกลื่อนความหวาดหวั่นที่แล่นวูบขึ้นมาในอกอย่างควบคุมไม่อยู่
"หม่อมฉันนี่แย่จริงเชียวเพคะ ที่ในวันนั้นจดจำพระองค์ไม่ได้"
ถ้อยคำและท่าทางของนางแลดูอ่อนหวานนอบน้อม ทว่าไม่อาจปิดบังแววสั่นไหวในดวงตาได้แม้แต่น้อย นางหลุบตามองต่ำ หลบเลี่ยงสายตาทุกคู่ในห้องคล้ายรู้โดยสัญชาตญาณว่าเบื้องหลังนั้น ใครบางคนกำลังจ้องมองนางอยู่ด้วยความรู้เท่าทัน
นางรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างบอกไม่ถูก
ด้านอวี้เหมยกับอวี้คุนที่เดินมานั่งเบื้องหลังบิดา ต่างก็ลอบขบกรามแน่นแทบพร้อมกัน ดวงตาทั้งสองคู่ฉายแวววาววับด้วยความขุ่นเคืองและตึงเครียด การปรากฏตัวของอวี้เฉิน ผู้ที่พวกเขาคิดว่าไร้ความสำคัญ กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง
ความมั่นใจที่เคยมี กำลังสั่นคลอนทีละน้อย ทุกอย่างราวกับตาลปัตรในพริบตาเดียว
โดยเฉพาะสำหรับเซิ่งซื่อ ความหวาดระแวงต่อเบื้องหลังการกลับมาของอวี้เฉินเริ่มกัดกินหัวใจนางอย่างเงียบเชียบ
อวี้เฉินไม่เพียงกลับมาอย่างมีลมหายใจ แต่กลับมาพร้อมกับผู้อุปถัมภ์ที่มีอำนาจสูงล้ำ ผู้ซึ่งนางไม่อาจแตะต้อง นางไม่อาจกำจัดเขาได้ง่ายดายเช่นในอดีตอีกแล้ว
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม