“ขอบคุณที่เข้าใจเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า จึงไม่ได้เห็นสายตาลุ่มลึกยากจะคาดเดาของเขา
ยามค่ำคืนหยางซีซวนนั่งจิบชาราวกับเฝ้ารอคอยเรื่องบางอย่าง ใบหน้าที่มักจะส่งยิ้มออดอ้อนฮูหยินของตนบัดนี้เรียบเฉยไร้ท่าทางหยอกเย้าเช่นทุกครั้ง แต่ในสายตาของผู้ติดตามแซ่เจียวทั้งหมด ทุกคนย่อมทราบดีว่านี่เป็นนิสัยปกติของผู้เป็นนาย ยามอยู่กับฮูหยินต่างหากที่คุณชายของพวกตนดูไม่ใคร่ปกตินัก
พรึ่บ! บุรุษชุดดำสองคนเข้ามาทางหน้าต่างก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย
“ว่ามา” คุณชายหยางกล่าวพลางหมุนจอกชาเล่น
“คุณหนูหม่าลอบพบคุณชายกวางอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก ข้าน้อยจึงสืบต่อจนพบว่าทั้งสองแท้จริงเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่กันขอรับ”
“กวางเหลียงอี้ล่ะ”
“มือปราบกวางนอกจากไปมาหาสู่กับคุณหนูหม่า ยังติดต่อกับกลุ่มนักเลงเพื่อให้ลงมือกับคุณหนูซูในวันนี้ขอรับ”
แต่คงลงมือไม่ได้สินะ เพราะเขาจงใจถ่วงเวลาด้วยการพานางแวะกินของอร่อยอยู่หลายครั้งทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าเดิมเกือบสองวัน
“ใครเป็นคนวางแผน”
“คุณหนูหม่าขอรับ นางเป็นคนส่งจดหมายเรียกให้คุณหนูซูเร่งรีบกลับเมืองหลวง โดยอ้างว่าเจ้ากรมอาญาซูป่วยหนัก”
“เปิดทางให้พวกนั้นลงมือ”
“ขอรับ”
“อย่าลืมตามเก็บหลักฐานเอาไว้ให้ครบ” เขากล่าวพลางยกชาขึ้นจิบ
“เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้พวกมันลงมือ ไม่กลัวนางเป็นอันตรายหรืออย่างไร” ลู่จื้อเอ่ยถามสหาย
“เพราะข้ามั่นใจว่าข้าปกป้องนางได้ อีกอย่างหากไม่ปล่อยให้พวกนั้นลงมือในตอนนี้ อย่างไรพวกมันก็ต้องหาโอกาสลงมืออยู่ดี มิสู้ปล่อยให้พวกมันทำแล้วคอยเก็บหลักฐานเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ”
“เจ้าจะปล่อยให้พวกนั้นได้ใจแล้วค่อยจัดการเช่นนั้นหรือ”
“อืม ข้าจะเก็บหลักฐานทั้งหมดเอาไว้จัดการในคราวเดียว” หากคิดลงมือต้องทำให้คนพวกนั้นมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย
“ในฐานะที่ข้าเป็นสหายของเจ้า ข้าขอถามหน่อยเถิด เจ้าไปรู้จักสตรีผู้นั้นตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดเจ้าถึงได้หลงใหลนางมากถึงเพียงนี้” รักตั้งแต่แรกพบหน้าก็คงจะไม่ใช่
“เจ้ารู้เพียงว่าข้ารักและปรารถนาเพียงนางก็พอแล้ว ส่วนจะเพราะเหตุใดนั้น ไปคิดกันเอาเอง” คำตอบของคุณชายหยางทำให้สหายสะบัดหน้าหนี
“คิดว่าข้าอยากรู้มากหรือไร”
“ในตอนนี้มีพวกมันจับตาดูเราหรือไม่”
“มีขอรับ พวกมันซุ่มดูอยู่ด้านนอกไม่กล้าเข้ามาในโรงเตี๊ยม”
“อืม คุ้มกันไว้ให้ดีอย่าให้พลาด พรุ่งนี้เราค่อยลดการคุ้มกันเพื่อให้มันได้โจมตีขบวนรถม้าของเรา” หยางซีซวนกล่าวกับผู้ติดตามของตน
“ข้าต้องเตรียมตัวด้วยใช่หรือไม่” แม้จะเป็นเพียงหมอเทวดาผู้หนึ่งแต่ทว่าด้วยชาติกำเนิดเขาจึงต้องร่ำเรียนวรยุทธ์มาบ้าง แม้จะไม่นับว่าเก่งกาจแต่ก็พอเอาตัวรอดได้
“ใช่ เพราะรถม้าที่จะถูกโจมตีคือรถม้าเจ้า”
“เหตุใดต้องเป็นข้า” ลู่จื้อทำท่าจะโอดครวญ
“แลกกับจวนในเมืองหลวง”
“ใหญ่หรือไม่”
“ก็เลี้ยงสตรีได้ราวๆ สิบนาง”
“เหตุใดต้องเลี้ยงสตรีไว้มากมายเช่นนั้น” เปลี่ยนเป็นเลี้ยงงูหรือสัตว์มีพิษสักสามสิบสี่สิบชนิดไม่ดีกว่าหรือ
“ข้ามอบจวนให้เป็นชื่อเจ้าแล้ว เจ้าจะเลี้ยงสตรีหรือสัตว์มีพิษอันใดของเจ้าก็แล้วแต่ ตกลงหรือไม่” หยางซีซวนถามย้ำ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติบ่งบอกว่ารำคาญท่าทีลังเลของสหายไม่น้อย
“ตกลง แล้วเจ้าจะทำอย่างไรให้รถม้าข้ากลายเป็นเป้าโจมตี”
“ทิ้งรถม้าคันที่เจ้านั่งไว้ที่นี่ เราจะแสร้งนั่งรถม้าคันเดียวกัน เจ้ามียาสงบใจหรือยานิทราหรือไม่”
“มี”
“เช่นนั้นดีเลย” เขายิ้มก่อนจะเล่าแผนการให้สหายผู้รับชะตากรรมฟัง
วันต่อมากลุ่มของคุณชายหยางก็ออกเดินทางด้วยรถม้าหนึ่งคันพร้อมกับผู้ติดตามที่ควบม้าตาม
“รถม้าคันนั้นพวกเราคงต้องฝากเถ้าแก่เอาไว้ก่อนนะขอรับ” บุรุษแซ่เจียวกล่าวกับเถ้าแก่ของร้านแล้วส่งก้อนตำลึงเงินให้อีกฝ่ายสองสามก้อน
“มิเป็นไรๆ พวกท่านอย่าได้ห่วง ข้าจะหาคนมาซ่อมรถม้าให้”
“เช่นนั้นฝากด้วยนะขอรับ พวกข้าไปล่ะ” เจียวโจวกล่าวก่อนจะขึ้นควบม้า
แม้ภายในรถม้าจะกว้างขวางไม่น้อย แต่พอต้องมานั่งรวมกันสามคนแล้วมันก็ดูคับแคบลงเป็นอย่างมาก
“ฮูหยิน เจ้าอดทนเห็นหน้าบุรุษที่รูปงามน้อยกว่าพี่เพียงครู่เดียวอีก ไม่นานเราก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว” เขากล่าวพลางรินชาใส่จอกให้นางอย่างเอาใจ
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”