“ค่ะ ปรายทราบแล้ว” เธอเชิดหน้ามองเขาตรงๆไม่กลัวคำขู่ของเขา “แต่ปรายก็อยากให้คุณทราบ ปรายมาอยู่ที่นี่ด้วยความจำเป็น แต่ไม่เคยคิดร้ายอะไรกับคุณ และโดยเฉพาะคุณท่านทั้งสอง”
ภูมิพยัตพนักหน้าและเหยียดยิ้มให้ เขาปล่อยให้เธอจัดการเก็บครัวเองแล้วเดินออกมาที่ด้านนอก พ่อของเขามองหน้าแล้วเรียกไว้
“ไอ้เสือพาพ่อไปห้องหนังสือหน่อยซิ”
“ครับ”
ชายหนุ่มรู้ดีว่า ถ้าพ่อเรียกให้พาไปห้องหนังสือทีไร ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ภูมิพยักพยุงพ่อเดินเข้ามาในห้องหนังสือเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือนานาชนิด ทั้งหนังสือสำหรับอ่านและบางเล่มเป็นหนังสือสะสม
“เอ็งไปเจอหนูปรายที่ไหน” คุณบุญมาเปิดประเด็น
“ก็...” จะบอกยังไงว่าแม่เล้าส่งมาให้ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็เข้าใจผิดว่าเขาเอาผู้หญิงอย่างว่าเข้ามาบ้าน
“เอาล่ะๆ หนูปรายบอกพ่อแล้วว่าเจนนี่ส่งตัวมาให้”
“มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดนะ”
“เอ็งรู้เรอะว่าข้าคิดอะไรอยู่”
“เอ่อ...เอ้า พ่อจะเอายังไงล่ะ จะให้ผมส่งกลับไหม?”
“ไม่ใช่! พ่อกับแม่สงสารหนูปราย เธอคงมีความจำเป็นอะไรบ้างอย่างที่ต้องมาทำงานแบบนี้”
“ก็เงินไง จะอะไรอีก” ภูมิพยัตพูดเหยียดๆ ผู้หญิงดีๆที่ไหนจะมาขายตัวแลกเงิน
“ก็ใช่ มันก็คงเรื่องเงินนั้นแหละ คนเราก็ทำงานแลกเงินกันทั้งนั้นไม่ใช่เรอะ เอ็งเองก็เหมือนกันนั้นแหละ อย่าได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นนักเลย”
“พ่อจะเอายังไงล่ะ เอาเงินไปไถ่ตัวมารึไง”
“แล้วเอ็งซื้อหนูปรายมาเท่าไหร่ละ?”
คราวนี้เขานิ่งเงียบไป จริงซิ ก็ไม่ได้ตกลงเรื่องเงินอะไรกับเจนนี่ เพราะไม่ได้ต้องการผู้หญิงบำเรอ ที่เขาสั่งให้เจนนี่หาให้ก็หาแม่บ้านจริงๆนั้นแหละ ตอนนั้นสั่งไว้ ถ้าได้แม่บ้านทำงานเป็นงานจริงก็มีค่านายหน้าให้ แต่เจนนี่ดันหาผู้หญิงอย่างว่ามาให้เสียนี่ เขาขู่จนหล่อนกระเจิงเลยไม่ได้ตกลงจะจ่ายค่านายหน้ายังไง
“ที่คุยกันไว้ก็จ่ายเงินเดือนเดือนละเก้าพันบาท ถ้าทำงานดีค่อยเพิ่มให้ ทำไม่ไหวส่งกลับทันที”
“แล้วหนูปรายไม่เรียกร้องเอาอะไรเพิ่มเลยเรอะ”
“ก็...ไม่มีนะครับ นอกจากเมื่อกี้ถามว่าเลิกงานกี่โมง”
“แล้วเอ็งให้หนูปรายนอนที่ไหน”
“ก็บ้านผมซิ มันมีห้องว่างอยู่ไง” ภูมิพยัตขมวดคิ้ว “พ่ออย่าบอกนะว่าจะให้หนูปรายของพ่อมานอนเรือนใหญ่ ผมไม่ยอมหรอก”
“อ้าว! ตกลงจ้างเป็นแม่บ้านหรือจ้างมาทำอะไร หวงจริง”
“ผมเป็นห่วงพ่อกับแม่ เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเธอ จะให้มาอยู่ใกล้พ่อกับแม่ได้ไง เผื่อทำให้เราตายใจแล้วนัดแหนะผัวมายกเค้าบ้านทำไงล่ะ”
“เฮ้ย! พ่อว่าหนูปรายไม่ใช่คนแบบนั้นน่ะ แล้วพ่อว่าหนูปรายยังไม่มีผัวด้วย”
“ก็เพราะพ่อเป็นแบบนี้แหละ ไว้ใจคนง่าย ให้ปรายอยู่บ้านผมนั้นแหละ เกิดอะไรขึ้นผมจะได้จัดการได้ทันเวลา”
“ขี้เกียจเถียงกับลูกหัวดื้ออย่างเอ็งแล้ววะ เอาเป็นว่าห้ามเอ็งรังแกหนูปรายเด็ดขาด”
“ผมจะรอดูว่าหนูปรายของพ่อจะเป็นคนดีสักแค่ไหนเชียว”
ภูมิพยัตเดินกลับมาที่บ้านของตัวเอง ไม่ได้เรียกให้เธอเดินกลับมาด้วย ไม่รู้ทำไมถึงหงุดหงิดนักเพียงแค่เห็นพ่อกับแม่ให้ความสนิทสนมกับไปรยามากเป็นพิเศษ คงแค่หลงไปกับหน้าตาน่ารักๆ และเอาอกเอาใจก็เท่านั้น เรื่องแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวได้หรอก เห็นแบบนี้เขาเคยเจ็บมาแล้ว และจะไม่กลับไปเจ็บกับผู้หญิงแบบนั้นอีกแน่ๆ
ชายหนุ่มเดินกลับมาถึงบ้านก็ตรงดิ่งไปที่ตู้เย็น หวังจะหยิบเบียร์มาดื่มแก้เมื่อยเหมือนทุกวัน แต่แล้วก็ต้องชะงักมือไป เพราะที่ว่างในกระเพาะไม่เหลือให้เติมเครื่องดื่มแล้ว ก็ต้มข่าไก่ใส่เห็ดของโปรดนั้นนะซิ ทำให้กินข้าวได้ตั้งสองจานพูนๆ มันอร่อยเสียจนลืมอิ่มไปเลย แต่จะใช่ฝีมือไปรยาจริงหรือเปล่าหรือแม่เขาแกล้งอำก็ไม่รู้ ในเมื่อดื่มเบียร์ไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนใจไปอาบน้ำให้สบายเนื้อตัวแทน
หลังจากไปรยาจัดการเก็บครัวแล้วก็ตรวจดูความเรียบร้อยของเรือนหลังใหญ่แล้วขอตัวกลับมาพักผ่อนที่เรือนหลังเล็กของภูมิพยัต แม้จะห่างไม่มาก แต่ทางเดินค่อนข้างมืดทำให้เธอรีบวิ่งเร็วๆ จนเท้าไปสะดุดก้อนอิฐบล็อกตัวหนอนเข้าให้
“ว้าย!”
“ยัยขาสั้นเอ๊ย!”
“คุณพยัต”
ร่างเล็กซุกอยู่ในวงแขนกว้าง ถ้าไม่มีร่างใหญ่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอคงได้หน้าคว่ำคะมำจูบพื้นดินไปแล้ว เนื้อตัวของเขายังเปียกชื้น แต่กระนั้นลมหายใจของเขาก็ร้อนเสียจน เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดง แม้เขาจะมองราวกับเสือจะกินเนื้อกระต่าย แต่เขาจับไหล่ประคองเธอไว้ให้ทรงตัวยืนได้
“เดินแค่นี้ก็ล้ม”
“ก็มันมืดมองไม่เห็นทางนี่คะ ปรายกลัวงูนี่”
“เห็นงูแล้วหรือไงถึงได้กลัว”
“ถ้าเห็นแล้วค่อยกลัว ถึงตอนนั้นก็คงโดนฉกแล้วล่ะ”
“ก็ได้ พรุ่งนี้จะให้คนมาต่อไฟให้ ปกติมันก็มีอยู่หรอกแต่ผมเดินคนเดียวไม่เคยหกล้มสักที”
“ก็ใช่นี่ พ่อคนขายาว” เธอเถียงเขาแล้วดันตัวออกห่าง ทำท่าจะเดินเข้าบ้านแต่เขากลับโอบไหล่เหมือนประคองขณะเดิน
“คุณเข้าบ้านมาแล้วไม่ใช่เหรอคะ หรือมาตาม คุณต้องการอะไรหรือเปล่า”
“ก็แค่ออกมาสูดอากาศเท่านั้นแหละ ถ้าผมไม่ยืนตรงนั้นพอดี คุณได้หน้าคว่ำดั้งหักไปแล้ว”
“ปากนะ! ถ้าเป็นเด็กจะลงโทษให้ตบปากตามอายุตัวเองเลย!”
“อะไร?” เขางุนงง “คุณเลี้ยงเด็กด้วยเหรอ”
“เอ่อ..อ้อ..ใช่ค่ะ เด็กเจ็ดแปดขวบนะ” เกือบหลุดปากบอกว่าเป็นครูสอนเด็กประถมไปแล้ว
“ดูท่าทางจะเข้ากันได้ดีกับพ่อแม่ของผมจริงๆนะ”
ไปรยามองหน้าเขาแล้วหัวเราะออกมา แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้ามุ่ยเสียนี่
“หัวเราะอะไร”
“แหม! ก็คุณทำเหมือนเด็กกลัวโดนแย่งความรักนี่คะ”
“บ้าซิ ผมไม่ใช่เด็กเล็กๆนะ”
“โอ๋! เด็กน้อย”
ไปรยายิ้ม หยุดยืนที่หน้าประตูบ้าน เมื่อยืนใกล้กันขนาดนี้ เธอจึงรู้สึกได้ชัดว่าตัวเองเตี้ยกว่าเขามาก แต่กระนั้นเธอก็เขย่งปลายเท้ายื่นมือไปยี้ผมด้านหน้าของเขา ทำเหมือนเวลาที่หยอกเด็กที่โรงเรียน แต่ชายหนุ่มคว้ามือของเธอไว้รั้งเอวบางมาแนบชิด เธอสะดุ้งเฮือกและนึกได้ว่าเขาเป็นผู้ชาย ผู้ชายตัวใหญ่มากเสียด้วย
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่เด็ก”
“ขอโทษค่ะ”
ภูมิพยัตเห็นอีกฝ่ายหลบตา เขาก็ยอมปล่อยเธอออกอย่างง่ายดาย เพราะเธอเอาแต่ก้มหน้าเขาเลยไม่รู้ว่าเธอหน้าแดงจัดขนาดไหน เพียงเขาเบี่ยงตัวให้คนตัวเล็ก เธอก็รีบเข้าไปในบ้านทันที
“อาบน้ำแล้วก็รีบนอนซะ พรุ่งนี้คุณต้องไปดูแลพ่อกับแม่ผมแต่เช้า”
“ค่ะทราบแล้ว”
ภูมิพยัตเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ท่าทางเขินอายแบบนั้นจะแสร้งแกล้งทำหรือเป็นจริง คงต้องใช้เวลาพิสูจน์กัน ไปรยา!
ไปรยาตื่นเช้าเป็นปรกติ น่าแปลกทั้งที่เธอเจอเรื่องเลวร้ายมาแท้ๆ แค่กลับหลับสนิทยิ่งกว่าบ้านตัวเองเสียอีก เธอรู้ว่าต้องพูดความจริงกับเขา ปิดบังไว้นานวันเข้าจะไม่ดี แต่ความสุขใจที่ได้รับมันมากเกินกว่าจะเธอจะทำลายมันลง หรืออย่างน้อยเธอก็ขอเป็นคนเห็นแก่ตัวที่จะเก็บเกี่ยวความสุขไว้กับตัวให้มากที่สุดก่อนจะจากไป
หญิงสาวมองดูเสื้อผ้าสองสามชุดที่เตรียมมา จะหาซื้อเสื้อผ้าถูกๆ ใส่ดีไหม? กลัวว่าจะถูกส่งกลับก่อนจะได้ใส่เสื้อใหม่จนคุ้ม? ทำงานเป็นแม่บ้านไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสวยก็ได้ แต่เธอก็มีแต่ชุดกระโปรงเท่านั้นนี่นะ ไปรยาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอแหงนหน้ามองไปทางชั้นบน คิดว่าเขาคงยังไม่ตื่น เมื่อคืนพออาบน้ำเสร็จเธอก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเพราะกลัวเขา
หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์โกรธที่เขาจะมองเธอในแง่ร้ายแบบนั้น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ บางทีก็อ่อนโยนกับเธอ บางครั้งก็ดูดุร้ายเหมือนชื่อของเขานั้นแหละ หรือเพราะเขาคือเสือ เวลาอยู่ใกล้เธอเลยคอยหวาดระแวงว่าจะโดนตะครุบทุกทีไปรยาเดินไปเรือนหลังใหญ่ เดินอ้อมไปด้านหลังก็ถึงห้องครัว เป็นไปตามคาดว่าคุณรำเพยตื่นแต่เช้าตรู่แล้ว“ให้หนูช่วยนะคะคุณท่าน”“ตื่นแต่เช้าเลยนะหนูปราย”“ตื่นเวลานี้จนชินแล้วค่ะ” เธอรีบเข้าไปยืนข้างๆ จะได้ดูว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง “คุณท่านจะทำอะไรคะ”“เตรียมอาหารจะใส่บาตรจ๊ะ”“น่าจะบอกปรายตั้งแต่เมื่อวานนะคะ จะได้มาช่วยเตรียมให้เร็วกว่านี้ มาค่ะ คุณท่านเดี๋ยวหนูทำเอง” ไปรยาหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมแล้วลงมือหุงข้าว “เอาเป็นผัดผักกับต้มจืดไหมคะ”“แม่ก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันจ๊ะ”“ปกติคุณท่านทำอาหารใส่บาตรทุกวันหรือคะ ปรายจะได้เตรียมให้”“จ๊ะ แต่หนูปรายไม่ต้องลำบากก็ได้นะ”“ไม่ลำบากเลยค่ะ ปรายตื่นเช้าอยู่แล้วจะได้ทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง คุณท่านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวปรายจัดสำรับไว้เตรียมถวายพระให้ค่ะ”“ก็ดีเหมือนกันค่ะ พระท่านจะผ่านมาป
มีเพียงสายตาคมกริบที่จ้องมองไปรยาก่อนที่ก้าวออกมา ภูมิพยัตมองไปยังทางเดิน คิดถึงร่างเนียนนุ่มในวงแขนและกลิ่นหอมละมุนที่ชวนให้เขากระสับกระส่าย เขาไล่ให้เธอไปนอนแต่หัวค่ำ แต่ตัวเขาเองที่นอนไม่หลับ จนต้องเดินลงมานั่งจิบเบียร์อยู่ตามลำพัง และเฝ้ามองว่าเธอจะเปิดประตูห้องออกตอนไหน และ..เขาพบว่าตัวเองนั้นคอยเก้อมือใหญ่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีน กดเบอร์คนสนิทแล้วกรอกเสียงลงไป“ไอ้ตุ้มเหรอ”“ครับเจ้านาย”“มาซ่อมโคมไฟทางเดินที่บ้านให้หน่อยซิ”“มันก็เสียตั้งนานแล้วนี่ครับ แล้วผมก็บอกเจ้านายให้ซ่อมนานแล้วด้วย”“เออ! แต่ตอนนี้อยากให้มาซ่อม เอ็งจะมาซ่อมไหม? หรือว่าจะให้คนอื่นมาทำแทนแล้วเอ็งก็ไปหางานที่อื่นทำ!”“ครับๆเจ้านาย ผมเอาอุปกรณ์แล้วจะเข้าไปเลยครับ”“เออให้มันเร็วเหมือนเวลาเรียกไปกินเหล้าหน่อย”“ครับเจ้านาย”ภูมิพยัตไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน จะไปห่วงทำไมยัยเด็กตัวเล็กขาสั้นแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อวานเขาไม่เดินมาส่องดูว่าเธอจะกลับมายังไง ป่านนี้คงหน้าตาบวมปูนเพราะล้มกลิ้งไปแล้ว แต่นอกจากโคมไฟที่หัวเสาแล้ว พื้นที่ปูอิฐตัวหนอนก็ไม่เป็นระเบียบ เขาปล่อยทิ้งไม่ให้ใครมาดูแลนานแล้ว ชายหนุ่
ไปรยายิ้มหวาน เธอกลับเข้ามาในครัว เมื่อวานทำแกงไว้สามหม้อ มีเหลือเก็บใส่ตู้เย็นพอได้กินอยู่ แต่เธออยากทำอาหารใหม่ๆให้คุณท่านทั้งสองทานมากกว่าอุ่นของเก่า พอเห็นมีคนงานมาก็เลยลองถามดู ข้าวสวยก็น่าจะพอกินอยู่ และเธอใช้เวลาสิบนาทีจริงๆ อาหารก็อุ่นให้ร้อนพร้อมรับประทาน เธอตักใส่ถ้วยวางบนถาดแล้วเดินถือออกมาให้ คนงานเห็นเข้าก็รีบเข้ามาช่วย หามุมนั่งกินข้าวเที่ยง“น่ากินทั้งนั้นเลยครับคุณปราย เป็นบุญปากพวกเราจริงๆ”“พูดเกินไปแล้วค่ะ” หญิงสาวยิ้มเขินๆ“นี่มันอะไรกัน ทำงานกันเสร็จแล้วหรือไง” น้ำเสียงดุดันดังมาจากด้านหลัง ลูกน้องแต่ละคนพากันสะดุ้งโหย่งไม่คิดว่าภูมิพยัตจะกลับมาที่บ้านตอนนี้“นี่มันเที่ยงแล้ว พวกเขาก็พักทานอาหารมันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือคะ” ไปรยาเถียงหน้าตาเฉย บรรดาลูกน้องของภูมิพยัตถึงกับมองด้วยความตะลึง มีใครที่ไหนกล้าเถียงเจ้านายเขาล่ะ“แล้วนั้น!ต้มข่าไก่ใส่เห็ดของผมนี่!” มือใหญ่ชี้นิ้วไปที่ชามกับข้าว“ของแค่นี้ปรายทำให้ใหม่ก็ได้ค่ะ” ไปรยาส่ายหน้าไปมา นี่มันนิสัยเด็กชัดๆ ห่วงขนมของกินเนี้ย “คุณก็ทานข้าวพร้อมลูกน้องก็ได้นี่”ภูมิพยัตโคลงศีรษะไปมา “ผมต้องไปจันทบุรีสักสองวัน
“ฉลองกันหนักไปนิดหนึ่งครับคุณปราย” วินพูดขึ้นแล้วสะอึก กลิ่นเหล้าก็โชยคลุ้งไม่แพ้กัน “ช่างเถอะค่ะ เดี๋ยวปรายดูแลต่อเองค่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”“ครับคุณปราย” วินยกมือไหว้ลา เดินตัวเซไปถึงประตูแล้วนึกได้ หมุนตัวกลับเอากุญแจรถยื่นให้พร้อมยิ้มแห้งๆ ไปรยาได้แต่ถอนหายใจ มองดูลูกน้องทั้งสองกลับไปพร้อมมอเตอร์ไซค์ที่ขับตามมาเมื่อครู่ เธอเดินไปปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้วไปดูสภาพคนเมา อะไรจะเมาได้ขนาดนี้ เธอถอนหายใจแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้าและอ่างใส่น้ำ เดินกลับมาก็เห็นเขาเอนหลังพิงโซฟา ศีรษะพาดไปกับพนักพิงหลัง มือเรียวหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆแล้วเช็ดใบหน้าของเขา มือใหญ่ปัดมือเธอออกคล้ายรำคาญ พลอยทำให้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดไปด้วย“อยู่นิ่งๆ สิคะ ปรายจะเช็ดตัวให้ จะได้สบายเนื้อสบายตัว”เธออดดุเขาไม่ได้ เสียงดุของเธอไม่ดังนักแต่ก็ทำให้เขาลืมตาขึ้นมอง ดวงตาของเขาฉ่ำหวาน โครงหน้าคมและเหนือริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆนั้นมีเรียวหนวดบางๆ เสื้อเชิ้ตของเขายับยู่ ไปรยาพยายามไม่สนใจสายตาของเขา บรรจงเช็ดใบหน้าและลำคอให้ มือเรียวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเขาครางในลำคออย่างพอใจ หญิงสาว
ลมหายใจสม่ำเสมอบอกได้ชัดเจนว่าหญิงสาวหลับไปแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้เธอหลับเพียงลำพัง เธอยังนอนหนุนท่อนแขนของเขาอยู่ และเขาก็รู้สึกอุ่นในอกทีได้ใช้วงแขนปกป้องใครสักคน มันเนิ่นนานเหินห่างความรู้สึกแบบนี้ไปนานเท่าไหร่ เขาเคยคิดว่าแผลในใจของเขาไม่มีวันดีขึ้น เขาไม่อาจเปิดใจมีความรักใหม่ได้อีก แต่เขารู้ว่าสิ่งที่คิดนั้นมันผิดไปถนัด ตั้งแต่น้ำตาของเธอรินไหล เขาก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของเขายังรู้เป็นไม่ด้านชาอย่างที่คิด เวลาที่ได้พบกัน รู้จักกันมันน้อยเกินกว่าจะตัดสินอะไรได้ เขาไม่อยากบังคับเธอ อยากได้ยินความจริงจากปากเธอ ไม่ว่าเรื่องราวจะเลวร้ายเพียงใด ขอให้เธอเป็นคนบอกเขาเอง อย่าให้เขาต้องไปรับรู้จากคนอื่น อย่างที่เขาเคยเจอมาจากคนรักเก่าเลย ภูมิพยัตดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มทั้งสองคน เธอหลับไปแล้ว และหลับจริงๆจังๆเสียด้วย แต่เขาละ ผู้ชายทั้งแท่งมีผู้หญิงตัวนุ่มหอมกรุ่นในวงแขนนี่ ไอ้ที่ตื่นอยู่นี่จะข่มให้มันหลับลงไปได้ยังไง เขาเผลอหัวเราะในลำคอแล้วก้มลงจูบขมับเธอเบาๆ“นี่เธอกำลังลงโทษฉันอยู่ใช่ไหมไปรยา”แสงแดดจากภายนอกแทรกผ่านผ้าม่านลายลูกไม้มาแตะเปลือกตา ปลุกคนที่หลับใหลให้รู้สึกสึกตัว ไป
“ทานอาหารเช้ากันดีกว่าค่ะ” ไปรยาพูดแทรกขึ้น เธอตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้วระหว่างฟังพ่อแม่ลูกพูดคุยกันอย่างน่าอิจฉา เธอมักจะเป็นส่วนเกินของคำว่า“ครอบครัว”เสมอ“วันนี้ผมขอยืมตัวแม่บ้านคนโปรดของพ่อกับแม่ไปใช้งานหน่อยนะครับ” ภูมิพยัตไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดพูดประชดประชันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“เสร็จงานแล้วก็พาน้องไปเที่ยวดูนั้นดูนี่บ้างก็ได้นะ” คุณบุญมาแนะนำลูกชาย“แถวนี้จะมีอะไรให้เที่ยว” ลูกชายคนเดียวส่ายหน้าไปมา“ไม่เป็นไรค่ะ เสร็จงานแล้วปรายจะรีบกลับมารับใช้คุณท่านค่ะ”ไปรยายิ้มหวาน ทุกคนรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เธอก็รีบจัดเก็บถ้วยชามให้เรียบร้อยจะได้ไปทำงานพร้อมภูมิพยัตที่นั่งจิบกาแฟหน้านิ่ง ราวกับเมื่อวานไม่ได้เมาปลิ้นกลับบ้านมา ภูมิพยัตสังเกตเห็นใบหน้าหวานวันนี้แต้มแต่งเครื่องสำอางไม่จัดนัก แต่ก็ทำให้ใบหน้าเธอดูสดใสน่ามอง ซึ่งมันก็ลบรอยช้ำรอบดวงตาได้บ้าง ร่างสูงก้าวเดินนำออกมาเมื่อเห็นว่าเธอเสร็จงานในครัวแล้ว เขาหยุดยืนที่ประตูรถฝั่งคนนั่งรอจนร่างเล็กพาตัวเองเดินเร็วๆมาถึงรถจึงเปิดประตูให้“จะเอาบันไดไหม?” “ปรายปีนขึ้นเองได้ค่ะ”เธอเบ้ปากใส่เขาแล้วก้าวขึ้นรถโฟร์วิล โดยไม่รู้ว่าภูมิพย
“ผมเป็นเจ้าของโรงงาน เลิกงานครึ่งวันจะเป็นไรไป” ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้หรอกนะ เรื่องงานมาก่อนหญิงเสมอ แต่คราวนี้ให้ตัวเองสักวันก็แล้วกัน“ไปหยิบกระเป๋าเถอะ”“ค่ะ”ไปรยาเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่ ภูมิพยัตเดินไปหยิบกุญแจรถแล้วเดินมาเปิดประตูห้องให้เธอก้าวออกมาก่อน เขาหันไปบอกเลขาฯหน้าห้องว่าจะไม่กลับเข้ามาอีก ไปรยารู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครถามอะไรเกี่ยวกับเธอ ทุกคนเคารพเจ้านายอย่างภูมิพยัตมาก หญิงสาวหยุดที่ประตูรถแล้วหันมาบอกเขาก่อนที่เขาจะทำอะไร“ฉันขึ้นรถเองได้ คุณไม่ต้องอุ้มขึ้นหรอก”“ก็ได้ ผมจะยืนดูเผื่อคุณตกผมจะได้หัวเราะได้ทันเวลา”ไปรยาถลึงตาใส่ เขากลับมาเป็นผู้ชายปากร้ายแต่เพิ่มเติมคือจูบของเขาแสนหวานและเร่าร้อนจนเธอแทบจะละลายไปทันที เขารอเธอจึงขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงเดินอ้อมมาฝั่งคนขับ ใบหน้าคมอมยิ้มนิดๆก่อนที่รถจะเลื่อนตัวออกไป เขาขับรถวนไปรอบๆบริเวณโรงงาน“นี่โรงงานผม จริงๆมันเป็นของพ่อผม พ่อมาตั้งโรงงานที่นี่เพราะมันใกล้สวนยางพาราของชาวบ้าน ไม้พวกนี้มันหมดอายุแล้ว น้ำยางไม่มี ชาวสวนก็โค่นทิ้งปลูกใหม่ แต่ผมมาขยับขยายโรงงานแปรรูปไม้เต็มรูปแบบตามความต้องการของตลา
“ค่ะ ฉันพอเข้าใจ” เธอมองไปรอบๆ “ที่นี่สงบร่มรื่นจริงๆค่ะ อุ้ย!นั้นลูกแกะนี่น่า น่ารักจัง”“ไปดูใกล้ๆ ได้นะครับคุณปราย” เม่นพูดขึ้น“ได้หรือคะ” เธอหันมาถามพร้อมรอยยิ้มสดใส“ตามสบายเลยครับ”ไปรยามองหน้าภูมิพยัตเป็นเชิงขออนุญาต เขาพยักหน้าให้ทำให้ไปรยารีบเดินไปดูคอกที่กั้นไว้เลี้ยงแพะ เธอหยิบหญ้าป้อนให้และลูบหัวแต่ละตัว“ใครนะ” เม่นถามมองดูหญิงสาวร่างเล็กเพลิดเพลินกับการให้หญ้าลูกแกะที่เขาเลี้ยงไว้“ก็แนะนำไปแล้วไง”“หมายถึงเป็นใคร แฟนนายหรือไงไอ้พยัต”“ไม่ใช่” ตอบเร็วเหมือนไม่ต้องคิด แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง“แล้วอยู่กับนายในฐานะอะไรวะ”“เธอเป็นแม่บ้าน”“พูดเป็นเล่น สวยแบบนั้นนะเหรอแม่บ้าน” เม่นกระแทกไหล่เพื่อนเบาๆ “ปรายไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด คนเป็นเพื่อนสนิทเข้าใจในทันทีว่าไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่น“แต่ถ้าคุณปรายไม่ได้เป็นอะไรกับนาย ฉันก็จีบได้ซินะ”“เฮ้ย! เจอกันไม่ถึงสิบนาทีจะจีบแล้วเหรอ”“เป็นไรไป ถ้าคนมันใช่มันใช่นั้นแหละ” เม่นยักไหล่ภูมิพยัตถอนหายใจหนักๆ นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่มาที่นี่ เม่นไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไรแค่อ่อนไหวง่ายไปนิด แต่พอคิดว่าจะมีใ
ปรินทรเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทำอะไรมากเพียงนี้ เพราะคราบเลือดจางๆ บนที่นอนเขานะหรือ? สงสารหรือเห็นใจล่ะ? คนอย่างนายปรินทรเคยรู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยหรือไง ชายหนุ่มหงุดหงิดตัวเอง ไม่อยากคิดใคร่ครวญหาคำตอบในเวลานี้ เขาสั่งให้คนขับรถจอดที่ร้านขายเสื้อผ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง จำได้ว่าเคยมากับแม่ตอนที่แม่ยังอยู่ แต่ก็นานมากแล้วจริงๆ เดินเข้าไปในร้านแล้วก็ชี้ๆ เอาเสื้อผ้าสองสามชุดเผื่อให้หญิงสาว รวมทั้งชุดชั้นในด้วย สีหน้าเรียบนิ่งเล่นเอาพนักงานเองก็ไม่กล้าชวนคุยอะไร“เอ่อ...ใช่คุณมังกร ลูกชายคุณจำปาหรือเปล่าจ๊ะ”“ครับ”ปรินทรพยักหน้ารับ แปลกใจที่มีคนจำแม่ของเขาได้อยู่ ไม่ค่อยมีใครทักเขาแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่จะทักเขาว่าใช่ลูกกำนันทรงชัยหรือเปล่า“ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มขนาดนี้เชียว” เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยห้าสิบกว่าๆ “ป้ามารศรีจ๊ะ หลานคงจำไม่ได้แล้วมั้ง”“ป้ามารศรีที่ย้อมผ้าไหมหรือเปล่าครับ” เขาถามกลับอย่างไม่แน่ใจ“ใช่ๆ ป้าเองจ๊ะ แก่แล้วไม่มีแรงย้อมผ้าเองแล้ว เลยมาช่วยงานหน้าร้านแทน มาเยี่ยมพ่อหรือจ๊ะ”“ครับ” เขาโกหก มาเพราะโดนพ่อตามตัวมากกว่า“มีลูกมีเมียหรือยังละ”“ผมยังไ
“คุณแพ้กุ้งไหม?”“อะไรนะคะ” เธอถามกลับเมื่อตั้งสติได้“ในครัวทำข้าวต้มกุ้ง”“อ้อ พั้นซ์ทานได้ค่ะ ไม่ได้แพ้กุ้ง” หญิงสาวตอบแล้วก็มองเห็นเดินมานั่งที่ขอบเตียง ตบที่ว่างข้างๆเหมือนเรียกลูกแมวและเธอก็เดินเข้าไปอย่างแสนเชื่อง มือใหญ่รั้งให้เธอนั่งลงบนตักแล้วลูบผมเธอเบาๆ“ตกใจ?”“ค่ะ” เธอเริ่มชินกับวิธีการพูดของเขา สั้นๆ ได้ใจความ เป็นทั้งคำบอกเล่าและประโยคคำถามในคราวเดียว“อย่าห่วงเลย ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับคุณอีก” “ไม่เป็นไรคะ พั้นซ์จะพยายามช่วยตัวเองให้ได้” หญิงสาวขมวดคิ้ว เขาจะได้อะไรกับการช่วยเธอ เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้เธอหน้ามุย แต่ก็ยังยืนว่าจะดูแลตัวเองให้ได้“ถ้าเมื่อวานผมไปไม่ทัน ป่านนี้คุณจะเป็นยังไง” ปลายนิ้วเกี่ยวพันเส้นผมเธอแล้วดึงเล่นเบาๆ“จริงๆแล้ว พั้นซ์ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยค่ะ” เธอสารภาพไปตามตรง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่“คุณพร้อมจะฟังหรือยังล่ะ” เขาถามแล้วกอดเธอไว้ราวกับกลัวเธอจะรับความจริงไม่ได้ แต่เมื่อหญิงสาวพยักหน้า เขาก็เอ่ยปากเล่า“นายนิพัฒน์เป็นหนี้พนันในคาสิโน่ของพ่อผมอยู่สองแสนห้า เขาเสนอให้คุณเป็นสินค้าใช้แทนหนี้เค้าบอกใครต่
ปรินทรไม่รู้ว่าทำไมตัวเองหงุดหงิด โมโห น้อยใจ อีกสารพัดความรู้สึกที่เกิดขึ้น เขาเดินตัวเปล่าไปหยิบเสื้อผ้าที่เด็กรับใช้เอามาให้หญิงสาวแล้วคลี่ออกดู มันเป็นเพียงเสื้อยืดกับผ้านุ่งสีพื้น เสื้อผ้าที่เธอใส่มาสภาพมันก็แทบกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว เขาถอนหายใจเบาๆ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าตัวเอง หยิบเสื้อยืดตัวใหญ่ของเขาออกมาจากตู้ ตัวนี้คงพอให้เธอใส่ไปก่อน แล้วค่อยให้เด็กไปหาซื้อเสื้อผ้าดีๆให้เธอใส่สักชุดเขาเดินกลับมาจะเอาเสื้อมาให้ แต่พอเห็นก้อนผ้าห่มบนเตียงก็ทำหน้าไม่ถูก ทั้งที่เมื่อครู่โกรธเธอจะแย่ แต่เห็นแบบนี้แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เขานั่งลงที่เตียงข้างก้อนผ้าห่มแล้วโน้นหน้าลงไปค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะของเธอ“เดี๋ยวก็ขาดอากาศหายใจหรอก ผมไม่อยากให้ใครมาตายบนที่นอนผมนะ”“คุณ...คุณ...คุณไม่ใส่เสื้อผ้า”“ฮืม คุณก็ไม่ได้ใส่นี่จะอายทำไม เราเสมอกันนะ” เขากลั้นหัวเราะหญิงสาวโผล่หน้าออกมาแล้วจ้องมองใบหน้าของเขาก่อนค่อยๆไล่สายตาไปที่แผงอกกว้างและ..ท่อนล่างของเขากับบางสิ่งที่มันทำให้เธออ้าปากค้างแล้วมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง“คุณช่วยนุ่งอะไรหน่อยได้ไหม” เธอส่งเสียงมาจากใต้ผ้าห่มผู้หญิงคนนี้ประ
เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆกะพริบตา หญิงสาวปรับสายตากับความมืดในรอบกายจนพอมองเห็นทุกสิ่งในห้องได้ชัดขึ้น ห้องนอนที่ค่อนข้างกว้าง ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับที่เธอเจอมาก่อนหน้านี้ พิชญนรีไม่อยากคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเจออะไรมา ทำไมเธอต้องมาเจอเคราะห์กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เหมือนน้ำตาจะรื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอพยายามกลั้นมันไว้ เปล่าประโยชน์ที่จะมาร้องไห้ในเวลาแบบนี้ร่างบางรู้สึกถึงวงแขนที่กระชับรั้งเธอกอดแนบแน่นขึ้น หญิงสาวตัวเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อนึกได้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตามลำพังบนเตียงนุ่มนี้ มือเรียวกอดผ้าห่มไว้ราวกับเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจะขยับตัวหนีแต่มือแข็งแกร่งกอดเธอแน่นขึ้นจนเธอไม่กล้าหันกลับไปมอง“ยังไม่เช้าหรอก นอนต่ออีกสักนิดเถอะ”น้ำเสียงที่พูดแผ่วๆ อยู่ข้างหูทำให้พิชญ์นรีต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น สมองยังสับสนไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่เหมือนคนตัวใหญ่ที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังจะรับรู้ เขาเพียงกอดเธอแน่นขึ้นอย่างหวงแหน แรงสั่นสะเทือนน้อยๆ นั้นปลุกให้เขาตื่นนานแล้ว“ที่นี่...ที่ไหนคะ” “บ้านพ่อของผมเอง” เขาพึมพำแล้วลูบผมเธอเบาๆ “นี่ห้องนอนผม”
เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านก็เกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ปรินทรแกะมือของเธอที่หนึบหนับอย่างกับหนวดปลาหมึกออกจากร่างตนเองแล้วลงจากรถ เขาไม่ให้ใครเข้ามาช่วย รีบอุ้มร่างที่เปียกชื้นจนเหมือนจะเปลือยเปล่าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน“พ่อล่ะ” เขาถามเด็กรับใช้ที่รอเปิดประตูให้“คุณท่านเข้าห้องนอนแล้วเจ้าคะ”เขาเหลือบตามองเด็กรับใช้ประเมินด้วยสายตา เล่นเอาเด็กสาวเขินอายจนหน้าแดงจัด“เอาเสื้อผ้าเธอมาให้ฉันชุดนึง”“อะไรนะคะ?”“ได้ยินแล้วนี่”“ค่ะๆ”ปรินทรอุ้มร่างของพิชญ์นรีไปที่ห้องนอนของเขา หญิงสาวหอบหายใจแรง ใบหน้าหวานแดงจัด เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง รู้สึกลำคอแห้งผากไปหมด และเนื้อตัวก็คันยุบยิบเหมือนมีอะไรไต่ เธอถอดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างรวดเร็ว“เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง มองหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องที่บนตัวเหลือเพียงชุดชั้นในลูกไม้สีหวานเท่านั้น“มันคัน คันยุบยิบไปทั้งตัว” เธอลูบเนื้อตัวของตนเอง“รู้แล้ว” ปรินทรส่ายหน้าไปมา ไปโดนยาเม็ดไหนเข้าไปนะ เขาหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าไปหาแต่เธอกลับยื่นมือไปประคองใบหน้าเขาไว้แล้วเขย่งปลายเท้าจูบริมฝีปากเขา ชายหนุ่มถึงกับตกใจไปอึดใจ ลิ้นเล็กๆ ตวัดเลียริมฝ
“ตั้งสติหน่อยพิชญนรี” พิชญนรีบอกกับตัวเองแล้วลองเดินไปเขย่าประตู มันล็อกจากด้านนอก ไม่กี่นาทีต่อมา ร่างกายเธอก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ มันผ่าวร้อนและทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงจนทรุดไปนั้งกับพื้น เธอมองรอบตัวอีกครั้ง อย่างไรก็ไม่ยอมเป็นเหยื่อง่ายๆ เด็ดขาด! เสี่ยกำธรเดินเข้ามาในห้องรับแขก เขากระตุกยิ้มเมื่อเห็นปรินทรนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แม้จะสวมเสื้อยืดทับด้วยแจ็ตเก็ตสูทเรียบๆ แต่ก็ดูโดดเด่นไม่เหมือนผู้ชายที่จะมาเที่ยวซ่องเท่าไหร่นัก“ลมอะไรหอบเสี่ยมังกรมาถึงที่นี่ละครับเนี้ย” เสี่ยกำธรพูดราวอายุเท่านั้น ทั้งที่อีกฝ่ายรุ่นลูกด้วยซ้ำไป“ผมมาซื้อของ” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ“ของแบบไหนที่คนระดับเสี่ยมังกรต้องมาซื้อเองแบบนี้ครับ”“ผู้หญิง”“ผู้หญิง?” เสี่ยกำธรถึงหัวเราะออกมา“ผู้หญิงคนที่นายนิพัฒน์เอามาขายนั้นแหละ” เขาพูดตรงไปตรงมา ต้องการปิดเกมให้เร็วที่สุด เธอถูกจับตัวมาตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง“เสี่ยมังกรหูไวตาไวไม่เบา ของเพิ่งมาถึงผมมือก็รู้ไปถึงหูเสี่ยมังกรแล้ว”ปรินทรส่ายหน้าไปมา “เสี่ยจะเอายังไงก็ว่ามาเถอะ ผมอยากเห็นของชิ้นนั้นแล้ว”“แสดงว่าสำคัญมากถึงข
“ครับ ผมทราบว่าคุณปรินทรเองก็มีธุรกิจมากมาย โดยเฉพาะธนาคารของคุณ ซึ่งคุณคงไม่ยอมให้ตัวเองแปดเปื้อนเพราะเรื่องพวกนี้แน่ๆ”“ครับ” ปรินทรประเมินสถานการณ์ด้วยสายตา“ผมอยากได้ข้อมูล เพื่อให้คนของผมแทรกตัวเข้าไปได้โดยไม่ถูกจับได้เสียก่อน”ปรินทรพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นผมพอช่วยได้”“ยังไงก็ขอรบกวนด้วยก็แล้วกัน”“ครับ ผมยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่”ทั้งสามพูดคุยหารือกันอยู่พักใหญ่ ปรินทรก็ขอตัวเดินออกมาหน้าบ้าน สารวัตรวรดรเดินตามมาด้วย“ยังไงก็ต้องขอบคุณล่วงหน้าที่ให้ความร่วมมือนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ คนเยอะ ดูแลลำบาก แถมยังมีช่องทางให้ไปประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายๆอีก” ปรินทรพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และทางที่ดีคุณสารวัตรไม่ต้องแวะมาบ้านผมบ่อยจะดีที่สุด”“อ้าว ทำไมละครับ” สารวัตรวรดรหัวเราะร่วนทั้งที่รู้คำตอบดี“พ่อผมจะกลายเป็นเป้าได้ง่ายๆ” เขาพูดตามตรงไม่เห็นเป็นเรื่องตลก “ถ้าพวกมันระแคะระคายเมื่อไหร่ ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันจะเล่นงานใครก่อน”“เรื่องนั้นผมพอเข้าใจ จะให้คนมาคอยดูแล”“ไม่จำเป็น ลูกน้องมือดีของพ่อยังมีที่ไว้ใจได้” ปรินทรปรายตามองไปด้านข้าง คนสนิทเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดยืนไ
“ไม่ล่ะ ข้ารีบพูด พูดจบเอ็งก็เผ่นกลับกรุงเทพฯ ซิ”“พ่อก็รู้แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ”“บ่ะ ไม่น่ารักเลยไอ้ลูกคนนี้”ปรินทรขมวดคิ้ว “ผมเคยน่ารักด้วยหรือไงกัน”พ่อเริ่มคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย “พ่อแก่แล้ว ใส่ใจพ่อหน่อย”“รู้ตัวด้วยเหรอ”“อุวะ! เอ็งนี่เลิกทำน้ำเสียงแบบนี้เสียทีเถอะ ไอ้พูดน้ำเสียงโทนเดียวไม่น่าคุยด้วยเลย” กำนันทรงชัยส่ายหน้าไปมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่าทางแบบนี้ นิสัยแบบนี้ จะกลายเป็นนักธุรกิจพันล้านได้ทั้งที่อายุเพิ่งจะ35เท่านั้น“เอ็งอายุขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่จะมีเมียมีลูกเสียที มันจะโตไม่ทันใช้เอาน่า”“หือ” ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหรี่ตามองพ่ออย่างจับผิด “ใครเสนอตัวเป็นลูกสะใภ้ล่ะ แล้วพ่อเป็นนายหน้าเท่าไหร่”“ไอ้ลูกบ้า ข้ารู้ว่าเอ็งมันหล่อเลือกได้ แต่เห็นอายุสามสิบห้าแล้วยังไม่มีครอบครัวอีก ข้ากับแม่เอ็งได้เสียกันก็ตั้งแต่อายุยี่สิบเอง”“แล้วไง ผมต้องเดินตามรอยเท้าพ่อเหรอ”“โธ่! ที่พูดเพราะเป็นห่วง”“ครับแล้วไงต่อ เรียกมาแค่นี้ โทรศัพท์มาก็ได้ เสียเวลามา จากกรุงเทพฯมาสุรินทร์ไม่ได้ไกลนะพ่อ”“นั่งนี่ตูดยังไม่ทันร้อนก็บ่นจะกลับกรุงเทพฯ แล้วเรอะ เออ หรือมีเมียอยู่กรุงเท
ชีวิตของเธอควรเป็นปกติอย่างที่ผ่านมา แน่นอนว่าเธอยอมรับว่าลึกๆ แล้ว แต่ละวันของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง จนวันนี้ได้เห็นหน้านิพัฒน์อีกครั้ง วันนี้ปาจรีย์หยุดจึงไม่มีใครกันไม่ให้พิพัฒน์มาเจอกับเธอได้“ขอคุยด้วยหน่อยซิ” “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” เธอพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ให้เขารู้ว่าเธอกลัวเขา“ไม่ได้คุยเรื่องของฉันหรอกน่า เรื่องแม่ของเธอต่างหากล่ะ”“แม่เหรอ แม่เป็นอะไร” คราวนี้พิชญนรีตื่นตกใจ“ฉันจะรอเธอเลิกงานแล้วค่อยคุยกัน”“บอกตอนนี้ไม่ได้หรือไง” “เรื่องมันยาว รายละเอียดมันเยอะ”“ก็ได้ แต่วันนี้พั้นซ์เลิกงานสี่ทุ่ม”“ได้ แล้วจะแวะมาอีกที เธอก็รู้นะว่าแม่ของเธอเป็นคนปากหนัก มีอะไรไม่ค่อยพูดไม่ค่อยบอกใครหรอก”“ฮืม”นิพัฒน์พยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ถ้าไม่อ้างเรื่องแม่ ยัยน้ำพั้นซ์ไม่มีวันยอมให้เขาคุยด้วยหรอก เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หนี้สองแสนห้าที่ดอกเบี้ยงอกงามจะกลายเป็นสามแสนอยู่ร่อมร่อแล้ว ยิ่งโดนเจ้าหนี้เอาลูกน้องมาประกบเป็นเงาตามตัวด้วย เขายิ่งแทบทำอะไรไม่ได้ ที่สำคัญยังไม่ได้คำตอบรับว่าตกลงเขาอยากได้พิชญนรีหรือไม่ เขาร้อนเงินอยากได้เงินมาหมุนใจแทบขาดตายอ