“ผมพูดว่าผมจะให้ลูกสาวเราหมั้นกับคุณภีม”
อาทิตย์พูดเสียงแผ่วเบาราวกับเกรงว่าจะมีใครมาได้ยิน ทว่าสายตาที่มองมายังภรรยาขณะที่พูดนั้นดูจริงจัง ไร้วี่แววล้อเล่นแต่อย่างใด
“ฉันว่าไม่เหมาะมั้งคะคุณ ลูกเราอายุห่างจากคุณภีมตั้งเยอะ และเราก็ไม่รู้ว่าคุณภีมเขามีคนรักรึยัง” รวิวรรณค้าน เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดของสามีนัก
“ผมมีเหตุผลก็แล้วกัน...เข้าไปข้างในกันดีกว่า” อาทิตย์พูดพลางชวนภรรยาเข้าไปคุยกันในห้อง
“เหตุผลอะไรคะ” เธอถามขึ้นหลังจากที่เดินตามหลังสามีมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน
“เหตุผลของผมข้อแรกเลยก็คือ ผมต้องการกันสองพ่อลูกนั่นไม่ให้มายุ่งกับหนูอายโดยเฉพาะกลวิชร ลูกชายของเขา ถ้าเขายังเห็นว่าหนูอายยังไม่มีคนรักหรือมีแฟน เขาก็จะยิ่งตื๊อให้ลูกเราหมั้นกับลูกชายเขาแน่ ถึงแม้เราจะปฏิเสธไปแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะใช้วิธีสกปรกอะไรมายุ่งกับลูกของเรารึเปล่า
ข้อสอง ผมต้องการอาศัยอิทธิพลของคุณภีมในการทำธุรกิจครั้งนี้ เพราะถ้าข่าวการหมั้นของคุณภีมกับหนูอายแพร่สะพัดออกไป บรรดาบริษัทใหญ่ ๆ ที่เคยบีบเราก็จะต้องเกรงใจเรามากขึ้น เพราะคุณภีมเป็นถึงเจ้าหนี้รายใหญ่ของหลายธุรกิจ และผมมั่นใจว่าตราบใดที่ยายหนูอายยังอยู่ในฐานะคู่หมั้นของคุณภีม รับรองได้เลยว่าคุณภีมจะดูแลยายหนูเป็นอย่างดี เหมือนดูแลน้องนุ่งคนหนึ่ง ถ้าผมบอกความจำเป็นกับเขาไป ผมว่าเขาเข้าใจถ้าผมอธิบายให้เขาฟัง”
“แล้วคุณภีมเขาจะยอมหรือ จู่ ๆ ต้องมามีห่วงผูกคอ คุณอย่าลืมสิคะว่าคุณภีม รุ่นน้องคุณน่ะ เพลย์บอยเรียกพ่อเลยนะ”
รวิวรรณพูดอย่างที่ใจคิด เธอไม่คิดว่าภีมพลจะยอมตกลงเรื่องหมั้นหมายแน่นอน คนที่รักอิสระเสรี ทั้งยังควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าตามที่เธอกับสามีได้ยินข่าวมาบ่อย ๆ อย่างภีมพลน่ะหรือ จะยอมลงทุนเล่นตามเกมของสามีเธอ
“ผมคิดว่าเรื่องยืมเงิน เขายอมแน่นอน แต่เรื่องหมั้นผมยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่จะว่าไปเขาก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา ก็แค่หมั้นกันหลอก ๆ เราหาเงินมาคืนได้เมื่อไรเรื่องการหมั้นก็สิ้นสุดลงเมื่อนั้น คุณภีมเองก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ คุณไม่ต้องห่วงหรอกน่า...คุณภีมเขาไม่สนใจหนูอายหรอก ลูกเรายังเด็กเกินไป ระดับคุณภีมเขาควงแต่สาวสวยเซ็กซี่ เชื่อผมเถอะว่าระหว่างที่หมั้นกัน ผมว่าคุณภีมเขาก็เอ็นดูลูกเราเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นแหละ ตอนยายหนูเล็ก ๆ เขาก็ยังชอบมาอุ้มไปเล่นที่บ้านเขาบ่อย ๆ เพราะตอนนั้นคุณภาเขาอยากมีลูกสาว”
อาทิตย์เอ่ยถึงมารดาของภีมพล ซึ่งตอนนี้ย้ายขึ้นไปอยู่บ้านสวนที่เชียงรายกับคุณวิทยา ผู้เป็นสามี หรือบิดาของภีมพล
“แต่ถ้าเขาปฏิเสธ ผมก็มีแผนสอง นั่นคือจะขอให้เขาช่วยซื้อหุ้นคืนจากคุณบุญทรงกลับคืนมา อาจจะแพงหน่อย แต่เพื่ออนาคตเราก็ต้องยอม แล้วระหว่างนั้นเราก็ค่อย ๆ ทยอยซื้อคืนมาจากคุณภีมก็ได้ ถ้าเขาจะคิดดอกเบี้ย หรือขายให้เราแพงกว่าตอนที่ซื้อมาก็ไม่เป็นไร ดีกว่าต้องตกไปอยู่ในมือของบุญทรง หรือถูกควบรวมกิจการไปเป็นของเขาหมด”
“ก็ลองดูค่ะ”
รวิวรรณเริ่มเห็นคล้อยตามสามี เมื่อฟังเขายกเหตุผลขึ้นมากล่าวอ้าง เธอไม่ปฏิเสธว่าเมื่อก่อนตอนรวิชายังอายุแค่สามสี่ขวบ ภีมพลในตอนนั้นเพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย เขาเอ็นดูรวิชามากถึงขนาดที่ว่ามาขออุ้มไปเล่นที่บ้านบ่อยครั้ง มาแต่ละครั้งก็มักจะบอกว่าคุณแม่ของเขาคิดถึงหนูอาย ส่วนรวิชาก็ติดเขาแจ เห็นหน้าภีมพลทีไรเป็นต้องกางแขนให้อุ้มทุกครั้ง และเกือบทุกครั้งเขาจะจับยายหนูขึ้นขี่คอแล้วเดินผ่านรั้วไปยังบ้านของตนเอง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ภีมพลก็ต้องไปเรียนต่อปริญญาตรีและปริญญาโทที่เมืองนอกติดต่อกันยาวนานหลายปี ถ้าจำไม่ผิด เห็นว่าหลังเรียนจบก็ใช้ชีวิตอยู่ต่ออีกร่วมห้าปีกว่าจะยอมกลับมาเมืองไทยเพื่อรับสืบทอดกิจการต่อจากบิดาเพราะเป็นบุตรชายคนเดียว ตั้งแต่นั้นเธอจึงไม่ค่อยเห็นเขาเท่าไร จะมีก็แต่อาทิตย์ สามีของเธอที่ยังติดต่อพูดคุยอยู่บ้าง
ร่างสูงใหญ่เปลือยเปล่านอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว้าง มือควานหาผ้าห่มที่ร่นลงไปกองอยู่หน้าขา ให้กลับขึ้นมาปิดคลุมร่างกายเพื่อคลายความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น
ภีมพลผุดยิ้มมุมปากเมื่อนึกได้ว่าเช้านี้เขาไม่ได้นอนคนเดียว และมื้อเช้าของเขาก็คงจะเป็นคนตัวนิ่มที่นอนอยู่ข้างกันนี่เอง ชายหนุ่มควานมือสะเปะสะปะไปใต้ผ้าห่มหวังจะใช้ฝ่ามือนำร่องไปก่อน ทว่าสิ่งที่สัมผัสได้กลับมีเพียงความว่างเปล่า หนำซ้ำที่นอนข้างกายยังเย็นเยียบราวกับไร้คนนอนมาพักใหญ่แล้ว
“หืม...”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีเมื่อพบความผิดปกติ เขาผงกศีรษะขึ้นมองพื้นที่ข้างกาย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปทางห้องน้ำ เห็นประตูเปิดแง้มอยู่ แต่ไม่มีเสียงที่แสดงให้รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน จึงตวัดขาลงจากเตียงเดินโทง ๆ ไปดูว่าหญิงสาวที่เขาพามาเมื่อคืนยังอยู่ในห้องหรือเปล่า
“คุณครับ อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”
ภีมพลเคาะประตูสองสามครั้งไม่ดังนัก พอให้คนที่อยู่ข้างในได้ยิน ทว่ากลับมีแต่เพียงความเงียบที่ตอบกลับมา จึงตัดสินใจเปิดแง้มเข้าไปอีกนิด
“ผมจะเข้าไปแล้วนะ”
เขาส่งเสียงพลางก้าวขาเข้าไปทีละนิด ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดู
“อ้าว...ไปแล้วงั้นหรือ”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย ก่อนจะจัดการทำธุระส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านใหญ่ที่มีเขาอยู่เพียงลำพังกับแม่บ้านเก่าแก่สองคน เด็กรับใช้อีกหนึ่งคน และคนสวนหนึ่งคนเท่านั้น
แม้จะทำงานควบทั้งกลางวันและกลางคืน แต่โดยส่วนใหญ่เขาก็มักจะกลับไปนอนที่บ้านใหญ่เสมอ นอกจากเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ที่เขาจะอยู่ค้างที่คลับเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา
ภีมพลยกมือขึ้นนวดขมับไปมาเป็นวงกลม ผลจากการดวลสุรากับเพื่อนเมื่อคืน ทำเอาเขาปวดศีรษะราวกับมีคนเอาคีมอันใหญ่มาบีบเอาไว้ สมองครุ่นคิดไปถึงแม่สาวเนื้อนุ่มร่างกลมกลึงที่เขานอนกอดอยู่เมื่อคืน แล้วก็อดรู้สึกเสียดายและโทษตนเองไม่ได้ เขาไม่น่าเมามายจนอดกินของหวานน่าอร่อยจานนี้เลย
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เขาก็คว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือเดินออกจากห้อง แล้วลงบันไดออกไปยังลานจอดรถของพนักงาน เห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในป้อมค้อมศีรษะให้ เขาจึงพยักหน้าให้อีกฝ่าย ครั้นพอนึกอะไรขึ้นได้จึงเดินไปหา
“เมื่อเช้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งออกไปจากที่นี่หรือเปล่า”
“เห็นครับ เธอออกไปแต่เช้าแล้วครับคุณภีม ยังให้ผมเรียกแท็กซี่ให้อยู่เลย”
คนถูกถามรายงานไปตามความเป็นจริง เมื่อเช้าเขาเห็นหญิงสาวเดินออกมาจากประตูทางด้านหลังโดยมีเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งคลุมกายอยู่ เธอเดินเข้ามาหาเขาแล้วไหว้วานให้ช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้ ก่อนขึ้นรถเจ้าตัวยังอุตส่าห์ยื่นธนบัตรใบสีเทาให้ด้วยใบหนึ่ง
“อืม...แค่นี้แหละ ขอบใจมาก” ภีมพลเดินออกไปขึ้นรถแล้วขับออกไปจากบริเวณคลับอย่างไม่รีบเร่งนัก วันนี้เป็นวันเสาร์ อีกทั้งเพิ่งจะสิบโมงเช้า รถราตามท้องถนนจึงไม่หนาแน่นเหมือนวันธรรมดา
ชายหนุ่มขับรถไปเรื่อย ๆ อย่างอารมณ์ดี นิ้วเคาะพวงมาลัยตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอพร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ โชคดีที่บนห้องมียาแก้ปวดเหลืออยู่ เขาจึงไม่ต้องทนกับอาการปวดศีรษะจากอาการเมาค้าง
เขาเห็นว่ารถมีน้ำมันเหลืออยู่ไม่มากจึงตบไฟซ้ายเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันทันที หลังจากเขาจอดรถแล้วเด็กปั๊มก็วิ่งเข้ามายืนข้างกระจกรถอย่างรู้งานเมื่อเห็นเจ้าของรถเลื่อนกระจกลง
“เก้าห้าเต็มถังครับ”
ภีมพลบอกเด็กปั๊ม ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเตรียมจ่ายเงินค่าน้ำมัน แต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเปิดกระเป๋าออกดู
“เฮ้ย! เงินหายไปไหนหมดวะเนี่ย”
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ