รวิชานั่งรถแท็กซี่มาจอดหน้าบ้าน ครั้นพอเห็นว่าบิดามารดากำลังยืนคุยกันอยู่ที่โรงรถ เธอจึงรีบบอกให้โชเฟอร์ขับเลยไปอีกเล็กน้อยจนเกือบถึงบ้านของคุณผีดิบ หลังจ่ายค่าแท็กซี่เสร็จเรียบร้อยก็เดินย้อนกลับมาที่บ้านของตน แล้วแอบซุ่มดูอยู่ข้างประตูเล็กเพื่อดูว่าจะมีคนเดินมาหน้าบ้านบ้างหรือเปล่า โชคดีที่แม่นมเดินออกมายืนหน้าบ้านพอดี เธอจึงรีบโบกมือให้อีกฝ่ายมาเปิดประตูให้
“ตายแล้วคุณหนูของนมทำไมกลับมาเอาป่านนี้คะ คุณท่านทั้งสองกลับมาถึงแล้วนะคะ” นมพิมปลดล็อกประตูมือไม้สั่นเพราะความรีบเร่งแต่ก็ยังไม่วายบ่นหญิงสาวไปด้วย
“โธ่…นมจ๋าอย่าเพิ่งดุน้องอายสิ ขอน้องอายรีบเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน คุณพ่อคุณแม่ขึ้นไปบนห้องรึยัง” รวิชาถามอย่างร้อนรน พลางชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้าน
“เพิ่งขึ้นไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ เห็นว่าจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่รู้จะลงมาเมื่อไร”
รวิชาไม่รอให้แม่นมพูดจบ รีบเดินเลาะไปตามริมกำแพงโดยใช้ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ริมกำแพงเป็นที่กำบังกายจากด้านบน โดยมีแม่นมเดินตามหลังคอยช่วยมองดูต้นทางให้อีกที จนกระทั่งมาถึงฝั่งห้องครัว หญิงสาวก็รีบถอดรองเท้าแล้ววิ่งผ่านห้องครัวเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ห้องนอนของเธออยู่ใกล้กับบันไดมากที่สุด เมื่อวิ่งขึ้นไปถึงชั้นบนได้ รวิชาจึงรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วปิดลงอย่างแผ่วเบา โดยมีสายตาเฝ้ามองอย่างลุ้นระทึกของแม่นมที่ยืนเอามือทาบอกไว้ด้านหลัง
และสิ่งที่ทำเอาคนแก่อย่างนมพิมหัวใจแทบวายก็คือ ทันทีที่ประตูห้องของรวิชาปิดลง ประตูห้องที่อยู่ถัดไปก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้องทั้งสองคนที่เดินตามกันออกมา
“อ้าว...เป็นอะไรจ๊ะนม ทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ”
รวิวรรณถามอย่างเป็นห่วงระหว่างที่เดินลงบันไดไปหา เมื่อเดินไปถึงตัวก็ยกมือขึ้นจับตามแขนของหญิงชราเพื่อเช็กอุณหภูมิร่างกาย
“นมไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ อากาศมันคงร้อนอบอ้าวไปหน่อย ว่าแต่คุณหนูกับคุณทิตย์จะรับอาหารไหมคะ กินอะไรกันมาหรือยัง นมจะได้ให้มาลัยยกสำรับเข้ามาให้” นมพิมยังคงติดเรียกรวิวรรณว่าคุณหนูอยู่บ่อยครั้ง เพราะความที่เคยเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก จนกระทั่งเจ้าตัวกลายเป็นคุณแม่เองแล้ว
“ก็ดีเหมือนกันครับ ผมกับวิยังไม่ได้กินอะไรมาเหมือนกัน”
อาทิตย์เป็นคนตอบ พลางเดินนำเข้าไปในห้องอาหาร ส่วนรวิวรรณเหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังแล้วก็หันไปถามแม่นม
“ป่านนี้แล้วยายหนูยังไม่ตื่นอีกหรือคะนม ตื่นสายเกินไปแล้วนะ เดี๋ยววิขึ้นไปดูหน่อยดีกว่า” รวิวรรณทำท่าจะเดินกลับขึ้นบันไดไปอีกครั้ง แต่นมพิมก็คว้าแขนเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวนมขึ้นไปดูให้ก็ได้นะคะ คุณผู้หญิงมาเหนื่อย ๆ ไปนั่งพักที่ห้องอาหารรอดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะนม วิขึ้นไปดูยายหนูเอง นมแก่แล้วให้ขึ้น ๆ ลง ๆ บันไดบ่อย ๆ มันดีที่ไหน” ถึงแม้เธอจะมีฐานะเป็นคุณผู้หญิงของบ้าน แต่รวิวรรณก็ถือว่านมพิมเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของครอบครัว เธอจึงมักใช้ชื่อเล่นของตนเป็นคำแทนตัวเวลาพูดคุยกับแม่นมทุกครั้ง
รวิวรรณยิ้มให้แม่นมชรา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดตรงไปเคาะที่ห้องของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน
รวิชาสลัดเสื้อผ้าที่ใส่ติดตัวตั้งแต่เมื่อคืนทิ้งลงไปในตะกร้าอย่างเร่งรีบจนเหลือแต่ชุดชั้นใน และนึกขึ้นได้ว่าเธอเอาเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของภีมพลเมื่อตอนที่วิ่งลงบันไดมาจากชั้นสองของผับ และกำธนบัตรเอาไว้ในมือแค่เล็กน้อยสำหรับค่าแท็กซี่กลับบ้าน
หญิงสาวหยิบธนบัตรปึกนั้นออกมาแล้วเอาใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งอย่างไม่ไยดี แล้วรีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดนอนมาสวมใส่ จากนั้นก็วิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการเช็ดเครื่องสำอางที่ยังหลงเหลืออยู่ แล้วล้างหน้าให้สะอาด ก่อนที่บิดามารดาจะมาเคาะประตูเรียก
“หนูอาย...ตื่นหรือยังลูก”
รวิชาสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของมารดา หญิงสาวรีบหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหน้า แล้วเดินไปเปิดประตูให้ จากนั้นก็โผเข้ากอดท่านอย่างออดอ้อน
“คุณแม่ขา...ไหนบอกว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับไงคะ ทำไมกลับมาวันนี้ได้ล่ะ คิดถึงน้องอายล่ะสิใช่ไหม”
หญิงสาวซุกใบหน้าลงกับไหล่มารดาแล้วถูไถไปมาราวกับแมวขี้อ้อนจนผู้เป็นมารดาอดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“ก็ใช่น่ะสิ แม่กับพ่อขอโทษหนูนะลูกที่กลับมาดินเนอร์กับหนูเมื่อวานไม่ทัน เอาเป็นว่าคืนนี้เราค่อยไปกันใหม่เนอะ หนูไม่โกรธใช่ไหมลูก”
รวิวรรณลูบศีรษะของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ยอมรับว่ารู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่มีเวลาให้บุตรสาวมากนัก เพราะภาระหน้าที่ที่มีอยู่มากมายจึงทำให้ไม่สามารถทิ้งให้สามีดูแลเพียงคนเดียวได้ อีกทั้งสูตรการผสมน้ำมันหอมต่าง ๆ เธอก็ต้องเป็นคนลงมือทำด้วยตนเอง เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นมาขโมยสูตรเก่าแก่ของตระกูลที่ตกทอดกันมาช้านาน ไปชุบมือเปิบอย่างที่บุญทรงกำลังพยายามทำอยู่
“ไม่โกรธหรอกค่ะ น้องอายรู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่งานยุ่ง...เราลงไปหาอะไรกินกันดีกว่าค่ะคุณแม่ น้องอายหิวแล้วละ”
รวิชาผละจากมารดา ก่อนจะชักชวนกันไปรับประทานอาหารทั้งที่ตนเองยังอยู่ในชุดนอนที่เพิ่งเปลี่ยนใส่เมื่อครู่
หลังจากมื้อเช้าควบมื้อเที่ยงจบลงไปด้วยเสียงหัวเราะของสามคนพ่อแม่ลูกที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งในบ้าน รวิชาก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนอาทิตย์ก็ชวนภรรยาออกไปคุยกันในห้องนั่งเล่น
“เมื่อครู่ผมโทร. หาคุณภีมแล้วนะ เขาบอกว่าอีกประมาณสิบนาทีจะถึงบ้าน ถ้าเขามาถึงแล้วจะโทร. มาบอกเราอีกที ถึงตอนนั้นเราค่อยเดินไปบ้านเขากัน ผมบอกเขาแล้วละว่าเราจะไปหาเพราะมีเรื่องจะคุยด้วย”
พูดไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์มือถือของอาทิตย์ก็ดังขึ้น อาทิตย์ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนกดรับสาย พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็วางสายแล้วหันมาพูดกับภรรยาที่ยืนฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“คุณภีมเขาบอกว่าเดี๋ยวจะมาหาเราที่นี่เอง”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกให้มาลัยเตรียมของว่างกับกาแฟไว้นะคะ”
รวิวรรณลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นเพื่อสั่งแม่บ้านให้เตรียมของว่างไว้รับแขก จากนั้นจึงเดินกลับออกมา ระหว่างที่เดินมาจากหลังบ้านก็เห็นร่างสูงโปร่งของแขกที่นัดเอาไว้กำลังยืนถอดรองเท้าอยู่หน้าบ้านพอดี
“อ้าวคุณภีม มาไวจริง” รวิวรรณเอ่ยทักหนุ่มข้างบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และรับไหว้ภีมพลที่กำลังยกมือไหว้เช่นทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
“สวัสดีครับพี่วิ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
“นั่นสิ นานมากเลยเนอะ ทั้งที่รั้วบ้านก็ติดกันแท้ ๆ เข้าบ้านก่อนเถอะค่ะ คุณทิตย์เขาอยู่ที่ห้องนั่งเล่น” รวิวรรณเดินนำไปยังห้องที่สามีนั่งรออยู่ ภีมพลพยักหน้ารับพร้อมกับเดินตามเจ้าของบ้านไป
เมื่อเห็นแขกที่ตนเชิญมา อาทิตย์จึงลุกขึ้นยืนต้อนรับ
“สวัสดีครับพี่ทิตย์” ภีมพลยกมือไหว้เจ้าของบ้านอีกคน
“สวัสดีครับ สบายดีนะคุณภีม เดี๋ยวเราไปคุยกันที่ห้องทำงานดีกว่า เชิญครับ” อาทิตย์รับไหว้แล้วผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปคุยกันในห้องทำงานที่อยู่ถัดไป
รวิชาเดินลงบันไดมาด้วยความสดชื่น และอารมณ์ดี เพราะตอนอาบน้ำเธอสำรวจร่างกายของตนเองแล้วจึงรู้ว่ายังไม่มีส่วนใดเสียหายหรือบุบสลาย ทุกอย่างยังอยู่ครบตามสภาพ เธอเองก็ไม่ใช่เด็กประถมที่จะดูไม่ออกว่าร่างกายโดนทำอะไรมาบ้าง ในเมื่อเพศศึกษาก็เรียนมา นั่นก็หมายความว่าคุณผีดิบยังไม่ได้ทำอะไรเธอ ในใจนึกชื่นชมเขาอยู่บ้างที่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ฉวยโอกาสกับคนไม่มีสติ ซึ่งหากเป็นคนอื่น ป่านนี้เธออาจจะยังไม่ได้กลับบ้านก็เป็นได้
ระหว่างเดินไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อจะคุยกับบิดามารดา สายตาของหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นแม่บ้านกำลังยกของว่างพร้อมกับกาแฟอีกสามแก้วเดินไปทางห้องทำงานจึงอดถามขึ้นไม่ได้
“คุณพ่อกับคุณแม่มีแขกหรือคะพี่มาลัย” หญิงสาวมองถาดในมือของแม่บ้าน
“ค่ะ เพิ่งมาเมื่อสักครู่นี่เอง มาถึงก็เข้าห้องทำงานคุยกันเลย”
มาลัยตอบก่อนขอตัวเข้าไปเสิร์ฟของว่างให้แขก รวิชาจึงกลับขึ้นห้องเพื่อไปโทรศัพท์หาพรรณราย สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ