LOGINปัญหายังไม่หมด...เวลานี้แวซ็องเริ่มหนาว...เสื้อ กางเกงเขาเปียกชุ่ม มันทำให้อุณหภูมิในร่างกายเริ่มลดลง เขากำลังหนาว และอาจจะจับไข้...ชายหนุ่มระบายลมหายใจที่เริ่มมีไอร้อน เขาคงต้องหาตัวช่วยให้ตัวเองก่อน กว่าจะเช้ายังอีกนาน ตอนนี้เวลาเท่าไรแล้วก็ไม่รู้? เมื่อนาฬิกาเรือนโปรดของเขาดันหยุดเดินเสียอย่างนั้น “เชี่ยเอ๋ย! แพงเสียเปล่า” ชายหนุ่มสบถอย่างฉุนเฉียว หน้าสิ่วหน้าขวาน ทุกสิ่งรอบตัวเขาเหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทาง เขาต้องการความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้คงต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนที่จะหนาวตายและอาจจะมีไข้รุม
เสื้อสีขาวตัวใหญ่พาดอยู่บนราวแขวน กางเกงหูรูดที่แวซ็องคะเนด้วยสายตาเขาน่าจะใส่ได้ ชายหนุ่มคว้าทั้งเสื้อและกางเกงลงมาจากราว เขาเหลียวซ้าย แลขวา ก่อนจะรีบปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตถอดออกจากตัวสะบัดขึ้นไปแขวนไว้บนราวแทนเสื้อยืดเก่าๆ กางเกงคือเป้าหมายต่อไป ไม่ถึง5นาทีเขาก็สามารถจัดการกับตัวเองเสร็จ
จากผู้ชายที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า...ตอนนี้หากดิดิเย่ร์ หรือเซดริกหาเขาเจอ คงไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อยืดเก่าๆ คอย้วย กับกางเกงหูรูดราคาถูก สวมรองเท้าแตะแต่กลับเดาะใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ที่มันหยุดเดินไปเสียแล้วอีกด้วย...ชายหนุ่มตัดสินใจถอดนาฬิกา เขายัดมันไว้ในกระเป๋ากางเกง...พลางส่ายหน้าให้กับสภาพของตัวเอง...
“ทุเรศตัวเองฉิบหายเลยกู!”
ที่หมายต่อไปคือการทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น ขณะนี้เขาเพลียจนเปลือกตาจะปิด...แต่ประตูห้องพักทุกห้องปิดสนิท มันอาจจะเป็นเป็นช่วงดึกสงัดบวกกับอากาศเย็นๆ แม้มีคนป้วนเปี้ยนเดินพล่านไป พล่านมา ยังไม่มีใครโผล่หน้าออกมาดูสักคน มีแต่สุนัขผอมโซตัวเดียวที่คอยมองตาม มันหยุดเห่าหลังจากที่เขาตวาด แต่ก็ไม่ละสายตาจ้องมองเขาสักที
“ไม่ต้องกลัวน่า ฉันไม่ใช่โจร”
แวซ็องยังมีอารมณ์หยอกสุนัขผอมแห้งตัวนั้น มันกระดิกหาง กะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปทางด้านหลังห้องเช่าโทรมๆ ชายหนุ่มจึงสนใจ เขาเดินตามมันไป เหมือนกับสุนัขผอมแห้งมันจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร สิ่งที่เห็นในสายตาหลังเดินพ้นมุมตึก แคร่ไม้เก่าๆ อยู่ใต้ชายคาห้องพักห้องหนึ่ง มีผ้าผืนบางวางอยู่ด้วย แวซ็องคลี่ยิ้ม เขายกมือลูบศีรษะของสุนัขแสนรู้ แม้มันจะผอมโซ แต่สมองของมันชาญฉลาดเหลือเกิน
“ให้ฉันรอดก่อนนะ ฉันจะมารับแกไปเลี้ยงเอง”
เหมือนหมาน้อยจะรู้ตัวว่ามีคนเมตตามัน ไอ้ตัวแสบแสนดื้อ เลยนอนหมอบอยู่ข้างแคร่ คอยระวังภัยให้คนแปลกหน้าที่ดูท่าจะใจดี หรือไม่ก็มีความผูกพันกันมาแต่เก่าก่อน...
แวซ็องหลับสนิทไปหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน...เขากะว่าฝนหยุดตก จะออกไปติดต่อน้องชายเพื่อขอความช่วยเหลือ
ตืดๆ!!
เสียงนาฬิกาปลุกส่งเสียงเตือน...
เมวิกายกมือขึ้นตะปบนาฬิกาเรือนเล็กราคาถูก เธอกดปิดเสียงสัญญาณที่ส่งเสียงรบกวนนั่น ก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง เปิดปากหาวหวอดๆ พร้อมกับเอี้ยวตัวขับไล่ความง่วงงุน ก็พึ่งจะนอนหลับได้ไม่กี่ชั่วโมง แถมอากาศน่านอนเป็นไหนๆ แต่ภาระหน้าที่ที่แบกรับไว้ ก็ต้องรีบสลัดความขี้เกียจทิ้ง เธอต้องรีบลุกไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เธอต้องรีบออกไปทำมาหากินเหมือนเฉกเช่นทุกวัน
10นาทีไม่เกินนั้น หญิงสาวอยู่ในชุดเตรียมพร้อมชุด ฟอร์มของพนักงานร้านสะดวกซื้อ แต่...เงาตะคุ่มๆ ด้านหลังห้องพักตัวเอง บนแคร่ไม้ตัวเก่าๆ ที่ตั้งไว้พักผ่อนช่วงกลางวัน เพื่อหลบความร้อนที่พวยพุ่งอยู่ในห้องนอนแคบๆ ได้รับสายลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาจากทุ่งกว้างด้านหลัง แม้จะรกชันเต็มไม่ด้วยวัชพืชแต่ก็เป็นลมเย็นๆ ที่ช่วยบรรเทาความอบอ้าวได้ เธอไขกระจกบานเกล็ดเปิดช่องเพื่อส่องดูด้านนอก แต่ก็เห็นไม่ชัดเท่าไร? เมื่อช่องระหว่างกระจกกับกระจกอีกบานมันแคบจนมองเห็นอะไรไม่ใคร่ชัดเจน
‘อะไร?’
เสียงบางอย่างทำให้ชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทสะดุ้งตื่น!!
พลั่ก! ร่างสูงๆ ของคนแปลกหน้าร่วงลงบนพื้นดินเปียกๆ เขาพยายามลุกขึ้น มองหาที่หลบซ่อนตัว
“นายเป็นใคร?” เสียงตวาดแหวดังจากด้านหลัง แวซ็องเหลือบมอง เขาเป่าลมออกจากปาก แล้วค่อยๆ เดินออกมาจากซอกข้างแคร่
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ในมือหล่อนถือไม้กวาดอันเล็กๆ ยกชูขึ้นและเธอจ้องมองมาที่เขาตาโปน
แวซ็องได้ยินเต็มสองหู แต่ยังไม่รู้ว่าหล่อนไว้ใจได้หรือเปล่า
“Who are you?”
ถามออกไปแล้วชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจสักนิดว่าเธอจะฟังออก หล่อนทำหน้างง ก่อนจะตะคอกกลับมา
“I now have to ask who you are?”
แวซ็องแสร้งส่ายหน้าไปมา เมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังลังเล ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบๆ ตัวอีกครั้ง ก่อนจะเบี่ยงปลายเท้าลงมาจากแคร่ มีลูกสมุนหน้าขน คืบคลานเข้ามาประจบ เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของมัน ก่อนจะยิ้มกว้างๆ เมื่อปลายลิ้นสีสดแลบออกมาไล้เลียที่หลังมือ
เมวิกากลอกตามองบนฝ้าเหนือหัว หมดกันไอ้หมาขี้ประจบ! ไม่รู้ว่าเป็นคนดี หรือคนร้ายๆ แค่เห็นเขาดีด้วยหน่อย มันเริ่มออกลวดลายออเซาะเสียแล้ว
“Can you speak Thai” ภาษาอังกฤษของเธอไม่ค่อยแข็งแรง พอที่จะสื่อสารได้มากไปกว่านี้ ถ้าแค่คำศัพท์ง่ายๆ ที่ใช้กันเป็นประจำก็ไม่แปลก แต่หากล้วงลึกกว่านี้เธอก็ต้องอึ้งไปเหมือนกัน “I'm not an expert and does not want to use sign language to communicate”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาเป็นอัจฉริยะที่สามารถพูดได้หลายภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย แม้จะยังไม่ถึงขั้นชำนาญแต่ก็น่าจะพอถูไถไปได้
หญิงสาวเป่าปาก เธอลดด้ามไม้กวาดลง เมื่อสำรวจชายหนุ่มแล้ว เขาไม่น่าจะเป็นอันตราย
“คุณเป็นใคร แล้วนั่นของคุณใช่ไหม?”
คำถามของเมวิกายังเหมือนเดิม เธอต้องการรู้ว่าชายแปลกหน้า ตรงหน้าเธอคือใคร? เขาดูดี!! ยอมรับก็ได้เขาหล่อเวอร์เลยแหละ!! คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ ตาสีฟ้าใส หากใครเผลอมองไม่หลงก็ไม่ใช่คนแล้ว!!
ชายหนุ่มคิดทบทวน ไม่รู้ว่าหล่อนไว้ใจได้แค่ไหน แต่คะเนแล้ว ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามแน่ เธอดูเป็นคนธรรมดาสามัญ และที่สำคัญ พอได้มองใกล้ๆ หล่อนหน้าตาดีไม่ใช่เล่น เขาได้กลิ่นสาวบริสุทธิ์โชยมาเข้าจมูก...มันน่าสนุกไม่ใช่เหรอ? หากจะใช้ช่วงเวลาที่ซ่อนตัว อยู่กับหล่อน...
แวซ็องมองตามมือของหล่อน เสื้อผ้าของเขาที่พาดไว้บนราวแทนชุดที่กำลังสวมอยู่บนร่างกาย
ใบหน้าคมคายพยักหน้ารับหงึกงัก...ยิ้มมุมปากแต่กลับทำให้เขาดูเป็นมิตรขึ้นกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”
หญิงสาวทัก พลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เวลาของเธอเหลือน้อยเต็มที เมื่อใกล้ถึงเวลาต้องออกไปทำงาน
“ฉันโดนปล้น!”
เขาไม่ได้โกหก เขาโดนใครบางคนชิงทรัพย์จริงๆ แม้จะได้ไปแค่ไม่กี่สตางค์
กระเป๋าใส่สตางค์ยังอยู่ แถมบัตรเครดิตอีกหลายใบที่สามารถรูดเงินสดออกมาใช้ได้ แต่...หากเขาทำเช่นนั้น ดิดิเย่ร์ มันต้องตามกลิ่นเจอแน่ เขายังอยากอยู่สงบๆ ให้สมกับเป็นช่วงพักร้อน ยังไม่อยากปวดหัวเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ทางที่ดีคือต้องหาเงินใช้ทางอื่น ทางที่ไม่มีใครรู้จุดว่าเขาแอบซ่อนอยู่ที่ใด
เขาคงต้องหาที่ซ่อนปืน ยังไม่อยากให้หล่อนแตกตื่น...
“พระเจ้า!!”
หญิงสาวยกมือทาบอก เธอรู้สึกเวทนา เขาเป็นต่างชาติที่เคราะห์ร้าย...และหากคนในประเทศไร้น้ำใจ เขาคงขยาดจนไม่กล้าย้อนกลับมาท่องเที่ยวที่นี่อีก ด้วยเลือดอันเข้มข้นของคนไทยสายอนุรักษ์ เธอผ่อนลมหายใจยาวๆ เมื่อคิดจะช่วยเหลือคนแปลกหน้าเท่าที่ตัวเองทำได้
“ฉันช่วยอะไรคุณได้มั่งคะ?”
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน เขาเดินเข้าไปหาหล่อน พร้อมกับแอบสูดกลิ่นหอมๆ ของหล่อนไปด้วย
“ผมไม่มีอะไรเหลือเลย” แวซ็องล้วงกระเป๋าใส่สตางค์ของตัวเองเปิดออกและแหกให้หล่อนดูช่องกระเป๋าที่ว่างเปล่า ไม่มีเงินเหลือติดอยู่ในนั้นและพยายามบังๆ ไว้ไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นบัตรเครดิตเป็นตับของเขาที่เรียงแน่นเต็มทุกช่อง เขาไม่ได้โกหก เขาไม่มีเงินสดในตัว มีแต่เงินในบัญชีธนาคาร... “ช่วยผมหน่อยได้ไหม?” ตอนที่ขยับเดิน เสียงนาฬิกาขยับเสียดสีกับกางเกงดังก็อกๆ แก็กๆ แวซ็องเลยเกิดไอเดีย หากเอานาฬิกาหยุดเดินนี่ไปขาย ไม่มีใครตามกลิ่นเขาเจอแน่
“สภาพฉัน ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกค่ะ แต่ไม่ต้องห่วง... ฉันจะพยายามหาทางช่วยเอง”
เพื่อสร้างมิตรภาพ และแสดงน้ำใจให้คนต่างชาติเห็น ถึงเธอไม่สามารถช่วยเขาได้ แต่เมวิกาก็จะหาทางช่วย
“ฉันมีไอ้นี่ ฝากเอาไปขายให้หน่อยได้ไหม?” ชายหนุ่มพยายามสื่อสารให้หล่อนเข้าใจมากที่สุด
เมวิกามองนาฬิกาสีทองยี่ห้อดัง สลับกับมองหน้าเขา นาฬิการุ่นนี้ส่วนมากจะราคาแพง...ผู้ชายตรงหน้าเธอนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว...
“ดีๆ ฉันจะได้มีหลานเต็มบ้านไงสกาเล็ต” นางพูดพร้อมกับหัวเราะ “พาฉันไปนอนเถอะ อยู่ตรงนี้เดี๋ยวจะพลอยตาเป็นกุ้งยิง หนุ่มสาวสมัยนี้ชอบเล่นอะไรแผลงๆ”ดีนะที่มาดามแลงก้ารีบกลับเข้าไปด้านในเสียก่อน ไม่อย่างนั้นนางคงได้เห็นภาพสวีทหวานของเซดริก กับรำเพยเป็นแน่“ปล่อยค่ะคุณ!!” รำเพยกระโจนหนีออกมาจากห้องนอน หมู่นี้เซดริกไม่รู้เป็นอะไร เขากินจุบจิบ...ไม่เลือกเวลา และเธอเหนื่อยเพลียเกินกว่าจะทนไหวชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าหาหญิงสาว ดวงตาของเขาพราวฉ่ำด้วยไฟปรารถนา จนรำเพยขนลุก ขนชัน!!“จะหนีไปไหนจ๊ะ ไม่รอดหรอก” เสียงแหบปร่าเพราะความปรารถนารุมเร้า“เซดริก รำเพยไม่ไหวแล้วนะคะ คุณจะหื่นไปถึงไหน?” หญิงสาวต่อว่าเสียงอุบอิบ ผิวแก้มร้อนฉ่า เพราะรู้ความนัยในสายตาของเขาดี“ไม่ดีเหรอไง...เธอก็รู้นะรำเพย ฉันกลัวไม่ทันพี่ชาย” ชายหนุ่มหอบหายใจแรงๆ ความปรารถนาอัดแน่นในอกจนแทบระเบิด มันเกิดขึ้นกับแม่สาวตัวเล็กนี่คนเดียว แค่อยู่ใกล้ๆ เขากลายเป็นคนบ้าพลังเต็มขั้น อยากจะฟัด!! อยากจะจับหล่อนฟาดแทนอาหาร จะล
บทที่20.ความรักเพรียกหา...แวซ็องสวมกอดเมวิกา มือของเขาวางอยู่บนหน้าท้องนูนนิดๆ ของเธอ พลางลูบไปมาเพื่อสัมผัสหนึ่งชีวิตเล็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในนั้น“ชีวิตคู่ของเรา จะรอดหรือไม่? ไม่ได้อยู่ที่คนภายนอกเลย มันขึ้นอยู่ที่ตัวเราสองคน ฉันสัญญานะเม...ฉันจะรัก และซื่อสัตย์กับเธอเพียงคนเดียว จะไม่ยอมให้อดีตย้อนกลับมาทำร้ายเราสองคนเด็ดขาด”มันไม่ใช่เพราะอารมณ์พาไป จนเขาอยากบอกรักเมวิกา แวซ็องมั่นใจว่า เขาสามารถบอกรักเธอได้ทุกๆ วันเมื่อแน่ใจว่าในหัวใจของเขา มีหญิงเดียวแค่นั้น คือ...เมวิกาเพียงผู้เดียว“เมเองก็ด้วยค่ะ เมจะจงรักภักดี และจะพยายามฝึกตัวเองให้เหมาะสมกับคุณ โดยไม่มีใครกล้าแย้ง หรือกังขา” หญิงสาวเอนซบแผ่นอกกว้างของสามี พลางพึมพำตอบ เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยทุกครั้ง หากได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา“ไม่จำเป็นเลยเม...แค่เป็นเมเหมือนทุกวัน เท่านี้ก็พอแล้ว” ชายหนุ่มโยกตัวช้าๆ เขาคลี่ยิ้ม เมวิกาไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งเพิ่ม หล่อนมีดีในตัวเอง และเหมาะที่จะเคียงข้างเข
มาดามแลงก้าเห็นด้วย นางใส่ชุดพวกนี้ทีไร ต้องนอนซมเป็นอาทิตย์เพราะร่างกายอ่อนล้า ไม่รู้เป็นอะไรสิเล่า พอจัดงานราตรีใหญ่ๆ ก็มักจะขนชุดแบบนี้มาอวดประชันกัน สวยก็จริงแต่หนักเกินกว่าคนอายุมากจะทานไหวเมวิกากับรำเพยหันหน้ามายิ้มให้กัน...สองสาวผุดลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับเดินมาหยุดตรงหน้ามาดามแลงก้ารอยยิ้มสนุกๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก งานนี้มาดามโจนส์ได้ภาพข่าวมาประโคมให้ลั่นเมืองแน่...“คุณแม่เคยเดินชมร้านรวงแถวๆ นี้ทั้งหมดบ้างไหมคะ?”มาดามแลงก้าขมวดคิ้ว นั่นสิ นางไม่เคยเดินเที่ยวชมแฟชั่นบนถนน…นานมากแล้วสิ!!ชองป์เอลิเซ่!! ได้รับขนานนามว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก เป็นถนนในเขตที่ 8 ของกรุงปารีส เป็นย่านการค้าที่ประกอบด้วยโรงละคร ร้านค้าเสื้อผ้าหรูหรา สองข้างทางมีต้นเซสนัดปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ภาพบรรยากาศเก่าย้อนเข้ามาในความคิด สมัยสาวๆ นางไม่เคยพลาดที่จะเดินย่ำเท้าเพื่อสอดส่องหาเสื้อผ้าสวย สไตล์แปลกตามาสวมใส่ นางเลิกทำแบบนั้นไปตั้งแต่ตอนไหนกัน? มาดามแลงก้ายิ้มกว้าง...นึกสนุกขึ้นมาเมื่อตามความคิดของว่าที่ศรีสะใภ้ทั้ง2คนทัน&ldquo
มาดามแลงก้าไม่ได้แจงบอกความต้องการจริงๆ สองสาวนี่ไม่เสียแรงที่นางสั่งสอน...รถยนต์ประจำที่มาดามแลงก้าใช้ยามออกไปภายนอกบ้าน จอดเทียบหน้าโถงประตู นางเดินนำสองสาว มีสายตาของเหล่าบริวารแอบมองและคอยลุ้นระทึก!!ร้านตัดเสื้อเจ้าดัง!! ได้ต้อนรับการมาเยือนของมาดามแลงก้า พร้อมกับหญิงสาวสองนาง ที่ความงดงามไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแสนจะธรรมดา แต่ออร่าของสองสาว ก็ยังผ่องจนมิสซิสแองเจลีต้องรีบถลาเข้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง!!“อุ้ยตาย!! มาดาม มีอะไรให้แองเจลีรับใช้คะ” มีใครบ้างในปารีสไม่รู้จักมาดามแลงก้า หล่อนร่ำรวยและมีลูกชายสุดหล่อ2 คน ผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคนในปารีสอยากเสนอตัวให้ ไม่เว้นแม้แต่ตัวมิสซิสแองเจลีเอง“มาดูชุดราตรีสำหรับงานกลางคืนน่ะ”มาดามแลงก้าตอบอย่างไว้ตัว นางคลี่พัดเล็กๆ ในมือขึ้นโบกพัดลมให้ตัวเอง เมื่อสายตาของมิสซิสแองเจอลีเขม้นมองอย่างจริงจัง...เจ้าของร้านหรูขมวดคิ้วแน่น นางแหล่มองสองสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล ไม่มีการแนะนำตัวในสถานะของสองนาง แต่มิสซิสแองเจลีแ
“แหนะๆ ยังจะคุณท่าน ฉันได้ยินอีกครั้ง...ฉันจะถือว่าหล่อนรังเกียจฉันนะย่ะ” มาดามแลงก้าสอดเสียงแข็ง แม่สะใภ้คนโตแสนเจียมตัว ยังเรียกนางด้วยสรรพนามเดิมๆ นับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเมวิกายิ้มแหย...แต่สามีหนุ่มเกือบหัวเราะบทนางพญาจะยอมลงให้ ก็ลงเสียง่ายๆ ทั้งที่ต่อต้านมาตั้งนานสองนาน“ชิ!! แกกำลังนินทาแม่ในใจ ...ไม่ต้องมาเถียงแม่มองตาแก...ก็รู้แล้ว” นางหันไปว่ากระทบบุตรชาย เพราะแววตาของแวซ็องพราวระยิบระยับ“โธ่!! แม่ครับ...ใครจะกล้า”“อย่ามาทำเป็นปากดีหน่อยเลย...ทั้งแกแล้วก็ไอ้แสบนั่น ล้วนแล้วแต่ชอบขัดใจและก็ตะแบงเถียงฉัน”สองหนุ่มลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปทรุดนั่งเบื้องหน้ามาดามแลงก้าพร้อมกับก้มลงกราบที่ตักของนาง“ผมรักแม่ครับ...แต่บางอย่างที่ผมขัดคำสั่งแม่ เพราะผมจนใจจริงๆ” แวซ็องรีบกล่าวแก้ มีเรื่องเดียวที่เขาขัดคำสั่งมารดา คือเรื่องของเมวิกา“ถึงผมจะเถียงกับแม่บ่อยๆ แต่ผมก็ยังรักแม่เหมือนเดิม...ไม่เคยเปลี่ยนนะครับ”เซดริกรีบแย้ง!! เขายิ้มเผล่ก่อนที่จะก้มกราบบนตั
บทที่19.นางพญายอมยกธงมาดามแลงก้านั่งนิ่งๆ นางตรึกตรองเรื่องของศรีสะใภ้ทั้งสองอีกครั้ง ต่อให้นางต่อต้านหัวชนฝา...ไอ้ลูกชายหัวดื้อทั้งสองคนก็คงไม่ฟัง...เหมือนเดิม...เมื่อเธอเลี้ยงบุตรชายทั้งคู่มาด้วยสองมือตัวเอง...มีหรือจะไม่รู้ใจไอ้ตัวแสบ เห็นๆ อยู่ว่าทั้งสองคน ‘รัก’ เมียจนหน้ามืด ทางที่ดี...นางควรคล้อยตามและหาทางแก้ทีหลังมันคงไม่ทำให้ ‘ออกัสตัส’ ล่มจมหรอกมั้ง!!แค่ยอมรับลูกสะใภ้ต่ำศักดิ์เข้ามาในตระกูล!!อีกอย่างมีลูกสะใภ้หัวอ่อนมันก็ดีอีกแบบ...นางจะได้ควบคุมได้...ไม่ปวดหัวเพราะความมากเรื่อง...มองๆ ดูแล้วศรีสะใภ้ทั้งสองคน ออกจะรักและเทิดทูนบุตรชายของนางเป็นอย่างดี...แบบนี้คงไม่ยากหากจะขัดเกลาเสียใหม่...เอาให้หาข้อติไม่ได้เวลาพาออกงานในสังคม...เพื่ออนาคตตอนที่สองนางเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ สองสาวจะเป็นหลังบ้านที่มั่นคง เข้มแข็ง สามารถประคับประคองครอบครัวไปได้ตลอดรอดฝั่ง...“มันก็ดีกว่าลูกท่าน หลานเธอ ที่เห็นๆ อยู่แหละน่า ถึงจะมาจากตระกูลสูง...แต่มารยาทไม่ไหว”มา







