สิบโมงเช้า
พรึ่บ!! วินาทีที่ฉันลืมตาขึ้นมาเจอกับแสงแดดที่เล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างห้อง ฉันถึงกับต้องกุมขมับกัดฟันเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับหัวตัวเอง “โอ๊ยยย! ปวดหัวชะมัด!” รู้สึกเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่มาวางทับหัวไว้เลย ทำไมมันปวดหัวมากขนาดนี้เนี่ย?!! ฟุ่บ!! ฉันค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งช้าๆด้วยความยากลำบาก ให้ตายเถอะ! ปวดหัวชะมัด ปวดอย่างกับหัวจะระเบิดออกมาให้ได้เลยงั้นแหละ “หิวน้ำจัง!“ พอเริ่มมีสติขึ้นมาแล้วสิ่งแรกที่ร่างกายฉันถามหาก็คือน้ำ เพราะตอนนี้คอฉันมันแห้งผากจนแสบไปหมดแล้ว ฟุ่บ!! ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อหวังจะเดินไปดื่มน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะที่ปลายเตียง แต่กลายเป็นว่าน้ำที่ตุนไว้ในขวดมันดันหมดไม่เหลือเลยสักหยด อ่า คงต้องไปหาน้ำดื่มจากในครัวแล้วล่ะ แอ๊ดดด!! ฉันเดินกุมขมับ สะลึมสะลือลากสังขารตัวเองเปิดประตูห้องออกไปอย่างไม่ลังเล เพื่อมุ่งตรงไปหาน้ำดื่มในห้องครัวข้างนอก “น้ำ!” เจอแล้ว! นั่นไงน้ำ! วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวนั่นไง ฟุ่บ!! ฉันไม่รอช้ารีบเดินตรงดิ่งเข้าไปหาน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่ฉันต้องการตอนนี้ก็คือน้ำ! “เอื้อกๆๆ! อ่าา สดชื่นจัง” ฉันยกแก้วขึ้นมากระดกน้ำทั้งหมดตรงหน้าเพื่อดับกระหาย วินาทีที่น้ำเย็นๆนั่นไหลเข้าปากลงคอไปมันช่วยให้ฉันรู้สึกสดชื่นและตื่นตัวจากเดิมได้มากเลยล่ะ “สดชื่นมากมั้ย?“ “หืม?” เสียงใครมาดังอยู่ใกล้ๆเนี่ย ขวับ!! ฉันหันไปมองตามต้นเสียงที่ดังมาจากข้างๆ และทันทีเห็นเจ้าของเสียงที่ดังแว่วมาเมื่อกี้ ฉันถึงกับต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ อีกทั้งสติที่เลือนลางก็หน้านี้ก็กลับมาชัดแจ่วเลย! “คุณคิมหันต์ นี่คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ?” ใช่แล้วล่ะ! เจ้าของเสียงที่ดังแว่วมาเมื่อกี้ ก็คืออีตาคิมหันต์ ที่กำลังนั่งเขม่นตาจ้องฉันอยู่ข้างๆตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ “หึ! เมาจนเพี้ยนไปแล้วรึไง? ฉันนั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว” อะไรนะ? เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วงั้นเหรอ? เป็นไปได้ยังไง? ทำไมเมื่อกี้ฉันไม่เห็นเขานั่งอยู่เลยอ่ะ “แล้วทำไม…” “กระหายน้ำมากขนาดนั้นเลยเหรอเกวลิน?“ จู่ๆคนตรงหน้าก็ถามอะไรแปลกๆขึ้นมา แต่นั่นก็ยังไม่แปลกเท่าสายตาเจ้าเล่ห์ที่กำลังมองมาทางฉันอย่างไม่วางตา ไหนจะริมฝีปากที่ยกยิ้มมุมปากขึ้นมานั่นอีก ท่าทีแบบนี้ ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด! “เอ่อ…ฉันขอโทษค่ะ” ฟุ่บ!! ฉันถึงกลับต้องรีบถอยหลังกรูออกมาทันทีที่คนตรงหน้าเริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ นี่เขาจะ…โกรธที่ฉันกินน้ำในแก้วเขารึเปล่านะ? “หึ! แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงกระหายน้ำมากขนาดนี้” เขาลุกขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ฉันไม่เลิก ทั้งยังพูดอะไรแปลกๆออกมาทำให้ฉันงงอีก จ้อกๆๆ!! ฉันตั้งท่าเตรียมพร้อมจะวิ่งหนีคนตรงหน้า แต่แล้วกลับต้องมาแปลกใจจนนิ่งงัน เพราะสิ่งที่คนตรงหน้าทำคือการหันไปกรอกน้ำใส่แก้วซะเกือบเต็ม ก่อนจะยื่นมันมาวางไว้ตรงหน้าฉัน ฟึ่บ!! เขายื่นแก้วน้ำมาไว้ตรงหน้าฉัน ด้วยสายตาที่ไม่น่าไว้ใจแบบเดิม ทั้งยังคงยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่หุบ ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้าเข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม ทำเอาใจฉันกระตุกวูบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม “เมื่อคืน…เธอเล่นร้องซะดังลั่นบ้านขนาดนั้น จะกระหายน้ำก็ไม่แปลกหรอก ว่ามั้ย?” “นี่คุณ…พูดอะไรของคุณ?” เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย? ฉันจำได้แค่ว่าตัวเองเผลอดื่มน้ำในตู้เย็นไปเพราะคิดว่ามันเป็นน้ำเปล่า แต่จริงๆแล้วมันคือเหล้า! จำได้ด้วยว่าโดนผู้ชายคนนี้จับได้ว่าฉันแอบกินอาหารเย็นของเขาจนหมด แต่หลังจากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้แล้ว เมื่อคืน…ฉันคงไม่ได้ไปทำอะไรแปลกๆใส่เขาหรอกใช่มั้ย? ทำไมคนตรงหน้าถึงได้มีท่าทีแปลกๆแบบนี้ได้ล่ะ? ฟึ่บ!! แทนที่คนตรงหน้าจะตอบฉันมาดีๆ เขากลับจ้องลงมาที่คอของฉัน ทั้งยังยื่นมือข้างหนึ่งของตัวเองมาแตะบริเวณต้นคอ พลางใช้นิ้วโป้งกดย้ำไว้เบาๆ ทุกการกระทำของคนตรงหน้าแม้จะน่าตกใจ แต่สายตาเจ้าเล่ห์กับริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่น่าไว้ใจของเขา มันทำให้ฉันไม่กล้าขยับตัวเลยสักนิด ทำได้แค่ยืนนิ่งกลืนน้ำลายอยู่เฉยๆเท่านั้น “หึ! ฉันชอบนะ รอยตรงนี้น่ะ” “รอย? รอยอะไรคะ?” ฉันเอื้อมมือตัวเองขึ้นมาจับซ้ำกับที่คนตรงหน้าจับไว้เมื่อกี้ ตรงนี้มันมีรอยอยู่งั้นเหรอ? “เธอมีที่ที่ต้องไปกับฉัน ฉันให้เวลาเธออาบน้ำแต่งตัวแค่สิบนาที อย่าสายแม้แต่นาทีเดียวล่ะ” “เอ้า! เดี๋ยวสิ…” ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ ผู้ชายคนนั้นก็หันหลังเดินขึ้นบันไดไปทันที ปล่อยให้ฉันยืนงงกับคำพูดของเขาอยู่ตรงนั้นคนเดียว นี่เขา…พูดอะไรของเขาเนี่ย? รอยเหรอ? ตึก!ตึก!ตึก! คำพูดของผู้ชายคนนั้น มันคาใจจนทำให้ฉันต้องรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องเพื่อส่องกระจกดูสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้อย่างไว “เฮ้ย! รอยอะไรว่ะเนี่ย?” ทันทีที่เห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้วฉันถึงกับเบิกตาโพลง เพราะมันมีรอยอยู่ที่คอฉันอย่างที่อีตานั่นพูดอยู่จริงๆด้วย มันเป็นรอยแดงจ้ำๆ แล้วไม่ได้มีแค่รอยเดียวด้วยนะ แต่เป็นรอยจ้ำแดงๆรอบๆคอเต็มไปหมด ยุงกัดเหรอ? มันดูไม่เหมือนรอยยุงกัดเลยสักนิด รอยมันดูใหญ่กว่าเยอะเลย โอ๊ยยย! เกวลิน เมื่อคืนเธอไปทำอะไรมากันแน่เนี่ยยย!?[คิมหันต์]“คุณคิมหันต์!! มาดูนี่เร็ววว~” เสียงของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ริมทะเลหันมาร้องเรียกผมพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส“หึๆ” ผมที่ที่กำลังเดินอยู่ก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเกวลินโดยทันที พร้อมกับหิ้วไก่ทอดที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ติดมือมาด้วย ตามคำสั่งของคนตัวเล็ก“คุณคิมหันต์ พระอาทิตย์ตกสวยมากเลยว่ามั้ยคะ?” พอเดินเข้ามาถึงตัวเกวลินแล้ว เธอก็ยังคงยกยิ้มสดใสออกมาด้วยความสดใส แถมยังกระโดดไปมาดุกดิกด้วยความตื่นเต้นกับวิวพระอาทิตย์ตกริมทะเลตรงหน้าอีกด้วยผมที่ได้เห็นท่าทีของเธอที่น่ารักของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“ไหนว่าจะกลับห้องไง ทำไมถึงพามาที่นี่ล่ะ?” หลังจากออกมาจากห้างก่อนหน้านี้ ผมตั้งใจว่าจะพาเกวลินกลับไปพักที่ห้องของเธอทันที แต่เธอก็ดื้อดึงอ้อนให้ผมพามาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่จนได้ แล้วท่าทีตอนที่เกวลินอ้อนผมมันก็ดันน่ารักซะจนผมปฏิเสธเธอไม่ลงเลยจริงๆ“จะกลับเลยได้ยังไงล่ะคะ วันนี้อุตส่าห์ได้พักทั้งที ต้องออกมาเที่ยวซะหน่อยสิ”หมับ!! เกวลินพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ผม ขณะเดียวกันเธอก็ยื่นมือตัวเองมาจับมือที่ว่างอยู่ของผมเอาไว้ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมใจสั
[เกวลิน]“แน่ใจนะว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาล” คุณคิมหันต์ที่ขับรถอยูข้างๆเอ่ยถามคำถามนีเป็นรอบที่สิบได้แล้วมั้ง? หลังจากที่ฉันดีขึ้นแล้ว คุณริมหันต์ก็จัดการเรื่องลางานกับผู้จัดการให้ฉัน แถมยังอาสาพาฉันกลับห้องอีกด้วย และตั้งแต่ที่ออกมามาจากโรงแรม เขาก็เอาแต่ถามย้ำกับฉันอยู่ได้ว่าไม่เป็นไรแน่นะ? ไม่ต้องโรงพยาบาลแน่นะ? ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลมั้ย? ถามย้ำรอบที่สิบได้แล้วมั้งน่ะ“เกวไม่เป็นไรแล้วจริงๆค่า แข็งแรงดี สบายใจหายห่วงได้ค่ะ”“ถ้างั้นกลับห้องไปก็พักผ่อนให้เต็มที่่นะ”“เอ่อ คือว่า…ก่อนกลับห้อง เกวมีที่ที่ต้องไปก่อนน่ะค่ะ” จริงๆวันนี้ฉันต้องไปทำธุระสำคัญอย่างหนึ่ง ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะไปคนเดียวด้วยซ้ำ แต่คุณคิมหันต์ก็ดื้อดึงจะไปส่งฉันให้ได้ ฉันปฏิเสธเขาไม่ได้เลยจริงๆ เลยต้องยอมให้เขามาส่งให้จนได้“ไว้รอหายดีก่อนแล้วค่อยไปวันหลัง วันนี้เธอต้องกลับไปพักก่อน”“ไม่ได้ค่ะ เกวต้องไปทำธุระสำคัญมากๆ ต้องไปวันนี้เท่านั้นค่ะ”“ฉันไม่ให้ไป” คนตัวสูงข้างๆเอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด“คุณคิมหันต์! นี่คุณจะเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ ฉันไปแค่แปบเดียว คุณแค่ไปส่งฉันแล้วนั่งรออยู่บนรถก็ได้”“ธุระอะไรจะสำคัญไป
[คิมหันต์]พรึ่บ!! ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะต้องหรี่ตาลงเมื่อแสงที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสอดส่องเข้ามากระทบกับดวงตา และเมื่อปรับสายตาให้คงที่ได้แล้ว ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ใขอบนเตียงในห้องพักของเกวลินเหมือนเดิมเพียงแต่ตอนนี้ที่ข้างๆที่เคยมีเกวลินนอนอยู่ด้วย กลับเหลือไว้เพียงแค่รอยยับที่ว่างเปล่าเท่านั้นเกวลิน…ยัยนั่นทิ้งผมไปอีกแล้วเหรอเนี่ย?ฟุ่บ!! ผมลุกขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา แต่เมื่อก้าวเข้าไปในห้องน้ำแล้ว บางสิ่งบางอย่างอยู่ในนั้นกลับทำให้ผมแปลกใจขึ้นมาบนกระจกในห้องน้ำมีกระดาษอยู่สามแผ่นแปะเรียงกันไว้อย่างเป็นแถวเลยล่ะฟึ่บ! ผมเอื้อมมือไปหยิบกระดาษโน้ตแผ่นที่แปะอยู่บนกระจกห้องน้ำมาอ่าน‘เกวต้องออกไปทำงานแต่เช้าเมื่อคืนคุณดูเหนื่อยมากเกวเลยไม่อยากปลุก ขอโทษที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวนะคะ’“หึ! ใครกันแน่ที่เหนื่อย” ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจทันทีที่ได้อ่านข้อความที่เกวลินทิ้งไว้ให้ฟึ่บ!! จากนี้ก็หยิบกระดาษโน้ตใบที่สองขึ้นมาอ่านต่อ‘คุณอาบน้้ำแปรงฟันก่อนได้นะคะ เกวแขวนเสื้อผ้าที่คุณพอจะใส่ได้ไว้ให้ที่ตู้แล้ว’ผมอดไม่ไ
วันต่อมาณ โรงแรมพาวิลงเลียน“อ้าวเกว” เสียงของรินณ์เอ่ยทักขึ้นทันทีที่รินณ์เดินเข้ามาในห้องพักพนักงาน ซึ่งมีฉันที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ววันนี้ฉันตั้งใจออกจากห้องมาแต่เช้า เช้าถึงขนาดที่คุณคิมหันต์ยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ “ไงรินณ์”“ทำไมมาเช้าจังอ่ะ วันนี้เกวเข้างานกะบ่ายไม่ใช่เหรอ?”“อ่อ เราแลกเวรกับพี่แอนอ่ะ พอดี…ตอนเย็นเรามีธุระต้องไปทำธน่ะ” ใช่แล้วล่ะ! จริงๆ วันนี้ฉันเข้างานกะบ่าย แต่ช่วงเย็นวันนี้ฉันมีที่ที่ต้องไปน่ะ เลยแลกเวรกับพี่แอนไว้“ไปไหนอ่ะ? หรือว่า…ไปเดทเหรอ?” รินณ์ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเดินเข้ามากระซิบใกล้ฉัน อะไรกัน? ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย?“ดะ เดทอะไรกันเล่า? ไม่ใช่ซะหน่อย” “เอ้า! ไม่ใช่หรอกเหรอ แต่เมื่อคืนเราเห็นน้า ผู้หญิงชุดฟ้าที่เดินควงแขนกับคุณคิมหันต์” รินณ์เข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนจะเขยิบมากระซิบข้างๆหู“นี่รินณ์เห็นด้วยเหรอ?0_0!” ฉันถึงกับเบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเมื่อคืนจะมีคนเห็นฉันกันคุณคิมหันต์ด้วย นี่ขนาดแอบย่องออกไปตอนไม่มีคนแล้วน่ะเนี่ย ยังมีคนเห็นอีกเหรอเนี่ย? “อื้ม เมื่อคืนเราอยู่ทำโอทีน่ะ”“นอกจากรินณ์แล้ว…”“ไม่ต้องห่วงหรอก เมื
“อื้มมม~” เสียงครวญครางของเราสองคนดังลั่นไปทั่วทั้งห้องพักของฉัน เพราะรสจูบที่ร้อนแรงเกินกว่าจะต้านทานของกันและกัน เรียวลิ้นที่สอดประสานกันไปมาของเราสองคน มันเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน แต่ก็แฝงไปด้วยความปรารถนาที่เหลือล้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าริมฝีปากของคนตัวสูงยิ่งหอมหวานน่าช่วงชิมมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆหมับ!! ฉันเอื้อมมือออกไปค้วาท้ายทอยของคนตัวสูงเหนือร่างลงมากอดไว้แน่น เพื่อให้เราสองคนแลกเปลี่ยนรสจูบจากกันและกันได้แนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น“อื้อออ~” ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ต้องการสัมผัสจากคุณคิมหันต์ เขาเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉัน ฉันส่งเสียงครวญครางผ่านลำคอออกมาด้วยความเสียวซ่าน เมื่อคนตัวสูงเลื่อนไล้มือหนาของตัวเอง ลงไปสัมผัสกับกลีบกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงนอนของฉัน ในขณะที่ปากของเขาก็ยังคงดูดเม้ม ช่วงชิมรสหวานจากปากของฉันอย่างไม่ลดละ“อื้อ!!~” ฉันเริ่มจะทนกับความเสียวซ่านที่ถูกกระตุ้นทั้งช่วงบน และช่วงล่างไม่ไหวแล้ว จนต้องส่งเสียงร้องประท้วงผ่านลำคอออกมาเพื่อให้เขาปล่อยส่วนใดส่วนหนึ่งซะที ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวจนขาดใจตายไปซะก่อน“อึก!
หลังจากที่คุณคิมหันต์บุกเข้ามาหาถึงห้อง แล้วขอนอนค้างด้วย ตอนนี้เขา…กำลังนอนอยู่บนเตียงข้างๆฉันถึงแม้ว่าคุณคิมหันต์จะนอนก่ายหน้าผากอยูข้างฉัน แต่เขากลับไม่เอ่ยปากคุยอะไรกับฉันต่อเลยแม้แต่คำเดียวนี่เขา…กำลังไม่พอใจฉันอยูแน่ๆเลย“คุณคิมหันต์ หลับรึยังคะ?” ฉันรู้ว่าเขายังไม่หลับแน่ๆ“หลับแล้ว” หลับแล้วเขาจะตอบฉันได้ยังไงล่ะ?“คุณ…โกรธเกวเหรอคะ?”“…” สิ้นสุดคำถามของฉัน ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากคนข้างๆอีกเลย“เกวขอโทษนะคะ ที่ทิ้งคุณไว้ที่ร้านอาหารคนเดียว”“…” คราวนี้ก็ยังเงียบเหมือนเดิม“เกวแค่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริงน่ะค่ะ”“เกวลิน…”“คะ?”“รู้ใช่มั้ย…ว่าฉันรักเธอ?” คุณคิมหันต์ที่เอาแต่หลับตาในตอนแรก ตอนนี้เขากลับลืมตาหันมามองฉันที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยแววตาที่อ่อนโยน“…รู้ค่ะ” ฉันจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา พลางเอ่ยคำตอบที่รู้ดีอยู่แก่ใจออกไปอย่างลึกซึ้ง“แล้วเธอล่ะ?” คำถามที่คาดไม่ถึงจากคนตัวสูงตรงหน้า ทำฉันอึ้งจนอ้าปากค้าง ทำไมเขาถึงถามแบบนี้ออกมาได้“รักสิคะ เกวรักคุณมากๆค่ะ”“ถ้างั้น…อย่าทิ้งฉันไปอีกได้มั้ยเกว?” คำถามที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือของคนตรงหน้า บวกกับ