ซุนเหยานางช่วยประคองหลีซื่อไปที่ห้องโถง เพื่อรับอาหารมื้อเย็น ทั้งยังบอกให้คนไปตามซูเซวียนกับหงอี้มารับอาหารด้วยกันอีกด้วย
“เจ้าจะให้บ่าวไปตามนางมาด้วยเรื่องอันใด”
“ท่านแม่ หงอี้ นางอาจจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของข้าก็ได้เจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่เท่ากับว่านางน่าสงสารหรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าไม่อยากให้ผู้ใดว่าข้าใจแคบ แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ให้นางกินด้วย”
“เหอะ ผู้ใดจะกล้าว่าเจ้า” หลีซื่อเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
สาวใช้เมื่อเห็นว่าหลีซื่อไม่ได้ห้ามเรื่องให้ไปตามซูเซวียน นางจึงรีบเดินออกไปตามทันที
หงอี้ เมื่อไม่มีผู้ใดติดตามมาด้วยแล้ว นางก็เริ่มต่อว่าซูเซวียนที่ทำให้นางต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้
“ท่านแม่ทัพ ท่านกำลังทำให้ข้าเป็นนางมารต่อหน้ามารดากับฮูหยินของท่าน”
“ข้าไม่คิดว่าท่านแม่จะพูดยากถึงเพียงนี้” ซูเซวียนคิดว่า เพียงแค่เขาเดินทางกลับมาเมืองหลวงเพื่อจัดการเรื่องหย่า ก็คงเป็นตามที่มารดาพูดไว้ หากเขากลับมาเมื่อใดก็หย่าได้ทันที
เจ้าทนอีกเพียงหนึ่งเดือน เมื่อกลับชายแดน ข้าจะให้เจ้าหยุดฝึกสามเดือนดีหรือไม่”
“ท่านพูดแล้วนะเจ้าคะ”
ทั้งคู่กำลังนั่งพูดคุยอยู่ภายในเรือนท้ายจวนก็มีสาวใช้เข้ามาขอพบ
“คุณชายเจ้าคะ ฮูหยินน้อยให้มาตามท่านกับแม่นางฟู่ไปรับมื้อเย็นร่วมกันเจ้าค่ะ”
“อืม ประเดี๋ยวข้ารีบไป” สาวใช้เดินออกไปอย่างรู้งาน
“นางเป็นสตรีที่ดียิ่งนัก ไม่น่ามาแต่งกับท่านจริงๆ” หงอี้พยักหน้า ชื่นชมซุนเหยา
“หึ แต่งกับข้าแล้วเป็นเช่นใด” ซูเซวียนถลึงตามองหงอี้อย่างไม่พอใจ
“มีอย่างที่ไหน เข้าหอก็ไม่เข้า ทั้งยังทิ้งหนังสือหย่าไว้ให้นางตั้งแต่วันแรกที่นางแต่งเข้ามา วาจาที่ท่านพูดกับนางแต่ละคำ เป็นข้า ข้าก็หย่า” หงอี้ส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ
นางเดินออกจากเรือนเพื่อไปที่เรือนหลัก เพราะนางหิวมากแล้วในตอนนี้
ซูเซวียนเดินตามหงอี้ไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาได้แต่คิดว่ามีคำพูดไหนของตนที่ไม่น่าฟังบ้าง
หากทุกคนได้รู้ความคิดของเขา คงได้แต่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุกประโยคที่ท่านพูด ไม่มีดีสักประโยค
ทั้งคู่มาถึงหน้าห้องโถง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหลีซื่อที่อยู่ด้านใน ซูเซวียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่ง ที่เห็นว่ามารดาของตนคลายโทสะลงได้แล้ว
หลีซื่อหยุดหัวเราะลง นางกลับมามีสีหน้าที่เรียบเฉย เมื่อบุตรชายพาหงอี้เข้ามาด้านในห้องโถง
ซุนเหยานางหันไปมองทั้งคู่ที่เดินเข้ามาด้วยกัน ก็พยักหน้าอย่างชื่นชมช่างเหมาะสมกันเสียจริง
“ตั้งโต๊ะเถิด” ซุนเหยาเอ่ยแจ้งสาวใช้ เมื่อเห็นว่าหลีซื่อนางเบือนหน้าหนีไม่ยอมพูดสั่งเสียที
เมื่ออาหารขึ้นตั้งเรียบร้อย หลีซื่อก็ขยับตะเกียบทันที ซุนเหยานางก็ตักพระกระโดดกำแพงให้อย่างเอาใจ
ซูเซวียนคิดว่านางจะตักส่งให้เขาด้วย แต่เมื่อจะยื่นมือไปรับ ซุนเหยานางกลับวางลงที่หน้าของตนเองเสียอย่างนั้น
แม่นมที่เลี้ยงดูซูเซวียนมาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่พอใจ จึงได้เดินเข้าไปตักอาหารให้เขาอย่างรู้ใจ
“เจ้าลองกินดู” ซูเซวียนคีบอาหารวางลงในชามของหงอี้ เขาเหลือบตาไปมองซุนเหยา เพื่อดูว่านางจะมีท่าทีหึงหวงเขาหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่านางไม่สนใจแม้แต่น้อย ใบหน้าของซูเซวียนก็ดำคล้ำขึ้น
หงอี้นางอยากจะตำหนิเขานัก ที่หาเรื่องให้นางโดนมารดาของเขาต่อว่าอีกแล้ว แต่เมื่ออาหารเข้าปาก ดวงตาของนางก็เปล่งประกายทันที
“อร่อย” นางเผลอพูดออกมาเสียงดัง เช่นตอนที่อยู่ในค่ายทหาร
ซูเซวียนหันไปถลึงตามองหงอี้อย่างไม่สบอารมณ์ หลีซื่อก็จ้องมองนางอย่างตกใจ ซุนเหยาตะเกียบในมือของนางชะงักไปครู่แต่ก็กลับมาเป็นเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว
“หากอร่อยก็กินให้มากเสียน้อย” นางยิ้มน้อยๆ ให้หงอี้
หงอี้ที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มจนตาหยี ในตอนนี้นางลืมไปเลยว่าต้องรักษาท่วงท่าเพื่อเป็นสาวงามอยู่ ความเร็วที่ติดเป็นนิสัยยามกินในค่ายทหารถูกนำมาใช้
“อะแฮ่ม” ซูเซวียนต้องกระแอม เพื่อเรียกสติของหงอี้
“ขออภัยเจ้าค่ะ อาหารในจวนตระกูลซูอร่อยยิ่งนัก” ใบหน้าของหงอี้แดงเรื่อขึ้น
“กินเถิด ในครัวยังมีอีกมาก”
เมื่อซุนเหยานางพูดเช่นนี้ แม่นม และสาวใช้คนอื่นกับมีใบหน้าที่ไม่น่าดูนัด เพราะส่วนที่แยกไว้เป็นของพวกบ่าวในจวน หากยกเข้ามาให้หงอี้ก็เท่ากับว่าพวกนางจะไม่ได้กินอาหารที่ซุนเหยาสั่งมาจากเหม่ยสือ
หงอี้ไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของผู้อื่น ในเมื่อฮูหยินของจวนเอ่ยอนุญาตเช่นนี้ นางจึงได้กินอย่างไม่เกร็งใจ
มีเพียงซูเซวียนเท่านั้นที่อยากจะลากคอหงอี้นางไปด้านนอกแล้วทุบตีเสียยกหนึ่ง แต่จะว่านางก็ไม่ได้ เพราะอาหารของตระกูลซูที่ขึ้นโต๊ะในยามนี้นับว่าเลิศรสมากจริงๆ
ยิ่งมาเทียบกับอาหารในค่ายที่ซูเซวียนและหงอี้กินเป็นประจำ จะมีผู้ใดนึกอยากอาหารในค่ายอีกเล่า เมื่อมีโอกาสจึงได้กินอย่างเต็มที่ จนลืมรักษามารยาทไปเลย
ซุนเหยานางจึงให้สาวใช้ไปยกอาหารเข้ามาเพิ่ม ทั้งยังปลอบใจทุกคนโดนบอกว่าครั้งหน้านางจะนำมาให้เยอะกว่าในครั้งนี้
“มิใช่ป้าหงทำหรอกหรือ” ซูเซวียนเอ่ยถามอยากแปลกใจ เมื่อเห็นซุนเหยานางปลอบใจแม่นมกับสาวใช้
“มิใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยสั่งมาจากเหลาอาหารเหม่ยสือเจ้าค่ะ” เป็นแม่นมที่เอ่ยขึ้น
“เจ้ามิรู้อันใด” หลีซื่อที่กำลังจะอวดความเก่งกาจของลูกสะใภ้ ก็ถูกซุนเหยานางขัดไว้เสียก่อน
“ท่านแม่ ท่านลองทานจานนี้ดูเจ้าค่ะ” หลีซื่อจึงรู้ได้ทันทีว่าซุนเหยานางมิอยากบอกเรื่องนี้กับบุตรชาย นางจึงไม่พูดอันใดต่อ
ซูเซวียนที่ตั้งใจฟัง เมื่อเห็นมารดาไม่ยอมพูดต่อ เขาก็อารมณ์เสียจนไม่กินอาหารต่ออีก ผิดกับหงอี้ที่นางกินอย่างเอร็ดอร่อย
“หากเจ้าชอบไว้ข้าจะพาเจ้าไปกินที่เหม่ยสือ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หงอี้รับคำของซูเซวียนอย่างยินดี น้อยครั้งนักที่ท่านแม่ทัพจะใจกว้างเช่นนี้
“เหอะ” หลีซื่อแทบจะทนนั่งต่อไม่ได้ เพราะนึกรำคาญบุตรชายที่เอาใจแต่หงอี้ แต่กลับไม่พูดกับลูกสะใภ้ของนางสักคำ
เมื่อกลับมาถึงจวน พ่อบ้านซูก็เร่งให้ซุนเหยานางเข้าไปด้านในห้องโถง ซุนเหยานางจึงได้รู้ว่าทำไมแต่ละคนถึงได้กังวลเช่นนั้นเสียงของบิดากับพี่ชายของนางดังออกมาจากห้องโถงเสียขนาดนั้น ซุนเหยานางจึงรีบเข้าไปด้านในทันที“ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ” “หึ หากอาเฮ่อไม่ไปพบเจ้าลูกเต่า พาอนุไปเหลาอาหารเหม่ยสือ จะรู้เรื่องที่เขากลับมาจากชายแดนได้อย่างไร”“เสี่ยวกุ้ยไปเก็บของ ของอาเหยาประเดี๋ยวนี้ ข้าจะพาน้องสาวข้ากลับตระกูลจ้าว” หลิงเฮ่อตวาดออกมาเสียงดังครั้งนี้เขาไม่อาจทนให้น้องสาวได้รับความชอกช้ำใจได้อีกแล้ว“ประเดี๋ยวก่อน อาถิงเจ้าพูดอันใดเสียหน่อยเถิด ข้ามิยอมให้พวกเขาหย่าขาดกันอย่างแน่นอน” หลีซื่อดึงมือสหายของนางมาอ้อนวอนอย่างเต็มที่“หึ บุตรชายของเจ้าทำเช่นนี้กับบุตรีของข้า เจ้าจะให้ข้าพูดอันใด ในตอนแรกข้าก็เข้าข้างเจ้าอยู่หรอก แต่ยามนี้เห็นทีจะไม่ได้” ซูเซวียนจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างเย็นชา ยิ่งเห็นดวงตาคู่งามของซุนเหยานางเปล่งประกายอย่างยินดี ที่จะได้หย่ากับเขา ซูเซวียนก็ยิ่งมีโทสะมากขึ้นกว่าเดิม“ฟู่หงอี้ นางไม่ใช่อนุของข้า แต่นางเป็นรองแม่ทัพขอรับ” ทุกคนในห้องโถงหันไปมองที่ซ
ดวงตาของซูเซวียนดำมืดทันทีที่ได้ยินคำพูดของซุนเหยา เขาไม่เคยพบสตรีที่เจ้าเล่ห์มากเพียงนี้มาก่อน“หึหึ หรือต้องให้ข้าไปอุ้มเจ้าขึ้นมา” ซุนเหยาจำต้องเดินขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อนางขึ้นมาอยู่ด้านข้างกลิ่นกายของนางก็ทำให้ซูเซวียนอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้เป็นเขาที่อยากจะเอาชนะนางโดยการให้นางยอมนอนร่วมเตียง แต่ในตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะคิดมาตลอดว่าความสามารถเรื่องความควบคุมตนเองจากสตรีเก่งกาจเหนือผู้อื่นแต่ในยามนี้ภายในอกกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง จนต้องโยนตำราในมือทิ้ง แล้วหันหน้าเข้ามากำแพงด้านใน เพื่อไม่ให้นางจับผิดสังเกตได้ซุนเหยาเห็นว่าเขาล้มตัวลงนอนไปแล้วนางจึงล้มตัวลงนอนตะแคงหันหน้าออกไปอีกทางในโกดังของซุนเหยานอกจากจะมีวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารแล้ว นางยังมีของใช้อีกมากมายที่เตรียมไว้ให้คนงานที่พักอยู่ที่ร้านยาสระผมหรือสบู่เหลวอาบน้ำนางก็นำออกมาใช้ทั้งสิ้น เพียงเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ เพื่อไม่ให้สาวใช้ที่เข้ามาช่วยนางอาบน้ำสงสัยเท่านั้นเสียงลมหายใจของซุนเหยานางสม่ำเสมอแล้ว ซูเซวียนจึงพลิกตัวกลับมา แล้วจับซุนเหยานางพลิกมาทางเขาเพื่อมองสำรวจนาง เรื่องความงามของนางเข
เมื่อมื้ออาหารเย็นสิ้นสุดลง หลีซื่อก็บังคับบุตรชายให้กลับเรือนไปพร้อมกับซุนเหยา เพียงแค่ห่างออกจากเรือนหลักมา ซุนเหยานางก็เอ่ยไล่เขาทันที“ท่านไปดูแลแม่นางฟู่เถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้ข้าไม่บอกท่านแม่แน่” ซุนเหยานางไม่ได้อยู่รอฟังว่าเขาจะพูดเช่นไร นางเดินกลับเรือนไปพร้อมกับเสี่ยวกุ้ยทันที"ท่านทำเช่นนั้น จะดีหรือเจ้าคะฮูหยิน” เสี่ยวกุ้ยนางคิดว่าซุนเหยานางมีโอกาสแล้ว เหตุใดถึงไม่ทำให้ท่านแม่ทัพหลงใหลในตัวนางแทน“ดีสิ ข้าไม่อยากได้บุรุษที่ไม่ได้มีข้าเพียงผู้เดียว ทั้งท่านแม่ทัพยังมีสตรีในดวงใจของเขาอยู่แล้ว ข้าจะไปขัดขวางเพื่ออันใด”ทั้งสองนายบ่าวไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกนางพูดคุยกัน ซูเซวียนจะได้ยินทุกคำ แทนที่เขาจะเดินไปที่เรือนหงอี้อย่างที่ซุนเหยานางคิด เขากลับเดินมาที่เรือนของนางแทน“เหตุใดท่านจึงเข้ามาที่เรือนนี้เล่า” นางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ“แล้วเหตุใดข้าถึงจะเข้าเรือนของข้าไม่ได้ ในเมื่อข้ารับปากท่านแม่ไว้แล้ว ตลอดหนึ่งเดือนข้าจะนอนที่นี่”ซูเซวียนสั่งสาวใช้ให้เตรียมน้ำ โดยไม่ได้มองสีหน้าที่แข็งค้างของซุนเหยานางเลยเสี่ยวกุ้ยก็รีบไปเตรียมน้ำให้อย่างรวดเร็ว ซุนเหยานางพ่นลมหายใจอย่างแรง เ
ซุนเหยานางช่วยประคองหลีซื่อไปที่ห้องโถง เพื่อรับอาหารมื้อเย็น ทั้งยังบอกให้คนไปตามซูเซวียนกับหงอี้มารับอาหารด้วยกันอีกด้วย“เจ้าจะให้บ่าวไปตามนางมาด้วยเรื่องอันใด”“ท่านแม่ หงอี้ นางอาจจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของข้าก็ได้เจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่เท่ากับว่านางน่าสงสารหรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าไม่อยากให้ผู้ใดว่าข้าใจแคบ แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ให้นางกินด้วย”“เหอะ ผู้ใดจะกล้าว่าเจ้า” หลีซื่อเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์สาวใช้เมื่อเห็นว่าหลีซื่อไม่ได้ห้ามเรื่องให้ไปตามซูเซวียน นางจึงรีบเดินออกไปตามทันทีหงอี้ เมื่อไม่มีผู้ใดติดตามมาด้วยแล้ว นางก็เริ่มต่อว่าซูเซวียนที่ทำให้นางต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้“ท่านแม่ทัพ ท่านกำลังทำให้ข้าเป็นนางมารต่อหน้ามารดากับฮูหยินของท่าน”“ข้าไม่คิดว่าท่านแม่จะพูดยากถึงเพียงนี้” ซูเซวียนคิดว่า เพียงแค่เขาเดินทางกลับมาเมืองหลวงเพื่อจัดการเรื่องหย่า ก็คงเป็นตามที่มารดาพูดไว้ หากเขากลับมาเมื่อใดก็หย่าได้ทันทีเจ้าทนอีกเพียงหนึ่งเดือน เมื่อกลับชายแดน ข้าจะให้เจ้าหยุดฝึกสามเดือนดีหรือไม่”“ท่านพูดแล้วนะเจ้าคะ”ทั้งคู่กำลังนั่งพูดคุยอยู่ภายในเรือนท้ายจวนก็มีสาวใช้เข้ามาขอพบ“คุณชายเจ้า
หลีซื่อสะบัดมือของจากมือของบุตรชาย ก่อนจะมองหาซุนเหยาอีกครั้ง“เหอะ อาเหยาอยู่ที่ไหน ไปตามมาพบข้าแล้วหรือยัง” “แล้วเจ้า เข้ามาอยู่ในห้องข้าได้อย่างไร” นางชี้มือไปที่หงอี้“เอ่อ ข้า ข้ามาดูท่านแม่เจ้าค่ะ”“ผู้ใดแม่เจ้า ข้าบอกแล้วหรือว่าจะรับเจ้าเป็นอนุของบุตรชายข้า”“ท่านแม่ โปรดคลายโทสะ ถึงอย่างไร ข้าก็ต้องรับอี้เออร์เข้าจวนขอรับ”หงอี้ขนแขนลุกชัน นางเบิกตากว้างจ้องมองซูเซวียนอย่างตื่นตกใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ท่านยังไม่หยุดแสดงงิ้วอีกหรือนางอยากจะร้องถามใจแทบขาด และอยากจะแก้ตัวว่าไม่ใช่อย่างที่ทุกคนกำลังเข้าใจ แต่สายตาคาดโทษของซูเซวียนที่มองมา หากนางพูดออกไป กลับค่ายไม่แคล้วนางคงโดนเล่นงานเป็นแน่“ดี ดียิ่ง เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว” หลีซื่อลุกขึ้น เพื่อจะวิ่งเอาหัวไปโขกที่เสา แต่ก็ถูกซูเซวียนจับตัวไว้ได้ท่าน“ท่านแม่ ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ขอรับ”แม่นมที่กลับมาจากไปตามตัวซุนเหยาก็รีบเข้ามาขัดขวางหลีซื่อที่ยังโวยวายไม่เลิก“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ฮูหยินน้อยนางไปทำน้ำแกงโสมมาให้ท่าน ตอนนี้นางกำลังไปล้างตัว ท่านรีบกินตอนที่ยังร้อนอยู่เถิดเจ้าค่ะ”“อาเหยาที่น่าสงสารของข้า เห็นห
ทั้งหมดในห้องโถงยังไม่ได้รับรู้ของผู้มาเยือนที่ยืนมองอยู่ที่หน้าประตูจวน เพราะมัวแต่เถียงกันเรื่องเงิน มีเพียงพ่อบ้านซูที่ยืนมองอย่างร้อนรน“เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าไม่เล่นด้วยแล้วค่ะ” ซุนเหยายื่นปากอย่างไม่พอใจ“ได้ ได้ แม่ยอมแล้ว เอาไป” หลีซื่อได้ยินว่าซุนเหยานางจะไม่ยอมเล่นด้วยอีกก็รีบยัดถุงเงินใส่มือของนางอย่างไวซูเซวียนใบหน้าเขียวคล้ำ เมื่อเขามาถึงแล้วคนด้านในยังไม่สนใจเขา หงอี้อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง นางคิดว่าฮูหยินที่ท่านแม่ทัพซูอยากจะหย่าคงมีใบหน้าอัปลักษณ์ ทั้งยังนิสัยร้ายกาจแต่ที่นางเห็น หากบอกว่าซุนเหยานางอัปลักษณ์เช่นนั้นก็ไม่มีสตรีใดที่งดงามอีกแล้ว ทั้งยังไพ่บนโต๊ะที่แปลกตา หงอี้นึกอย่างจะกระโดดเข้าไปร่วมวงด้วยใจแทบขาด“ท่านแม่ขอรับ ข้ากลับมาแล้ว”สิ้นเสียงของซูเซวียนทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ แล้วหันมามองทางเขา หลีซื่อใบหน้าซีดขาว เมื่อเห็นว่าบุตรชายพาสตรีกลับมาด้วยซุนเหยาเห็นเช่นนั้นก็ดึงสายตากลับ ทั้งนางยังเก็บเงินที่ได้มาลงหีบของนางอย่างไม่ใส่ใจ เพราะรู้ว่าเมื่อเขากลับมา ต่อให้มาเพียงลำพังก็คงต้องมาด้วยเรื่องหย่ากับนางเป็นแน่“นางเป็นผู้ใดกัน” หลีซื่อชี้นิ้วที่สั่นเ