“ไหนว่าจะกลับช่วงบ่ายๆ เอ...ทำไมกลับมาไวจัง หรือว่าลืมของ...”
“งั้นเดี๋ยวส้มกลับก่อนดีกว่า จะได้เลยไปเยี่ยมคุณพ่อด้วย...”
“อ้าว! คุณหนูจะกลับเลยหรือคะ ไม่เข้าบ้านก่อนหรือคะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ไว้ส้มค่อยมาเยี่ยมป้ารื่นใหม่ ส้มไปก่อนนะคะ” หญิงสาวรีบตัดบทด้วยการสวมกอดหญิงวัยกลางคนเร็วๆ ก่อนที่จะหันหลังไปก้าวขึ้นรถของโรงแรมทันที
“ออกรถได้เลยค่ะ” หญิงสาวพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นทั้งที่หัวใจเต้นรัวเร็วกว่าปกติ
แต่เสี้ยววินาทีที่รถสองคันกำลังแล่นสวนกันนั้นเอง จู่ๆ วิศราก็รู้สึกวูบ หน้ามืด เหมือนจะหายใจไม่ออก ร่างกายชาวาบราวกับโดนฟ้าผ่าลงมา เมื่อได้เห็นใบหน้าคมเข้มของคนขับรถคันนั้นถนัดตา
หญิงสาวกำมือแน่นจนเล็บคมจิกเข้าไปในเนื้อกลางฝ่ามือจนห้อเลือด สมองเธอไม่ได้เลอะเลือนจนถึงขั้นจำไม่ได้ว่ารถที่เพิ่งวิ่งสวนเข้าไปคือ...รถของเธอเอง!
กล้าดียังไง...หมอนั่นมันกล้าดียังไงถึงได้บังอาจเอารถคันโปรดของเธอไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ แถมที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือไม่ใช่แค่เขาที่ถือวิสาสะใช้ข้าวของของเธอ แต่ที่เบาะข้างๆ คนขับนั่นยังมีสาวสวยแปลกหน้าที่เธอไม่เคยรู้จักนั่งชูคอเคียงข้างกันมาด้วยอีกคน
“อุ๊ย!...” หญิงสาวสะดุ้งนิดๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแสบกลางฝ่ามือที่เผลอจิกเล็บกดลงไปจนเลือดซึมออกมา ทว่าบาดแผลที่มือยังไม่อาจเทียบแผลลึกในใจที่เคยทำให้ชีวิตเธอเกือบพังย่อยยับมาก่อนด้วยซ้ำ
หลายปีที่เธอจากไป นอกจากบ้านและรถแล้ว เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าพวกกาฝากหน้าด้านนั่นจะยึดสมบัติพัสถานอะไรของเธอไปครอบครองอีก ไม่แน่ว่า...สาเหตุที่พ่อเธอต้องเข้าไอซียูครั้งนี้ก็อาจเป็นแผนร้ายของคนพวกนั้นที่โลภมากจนหวังฆ่าคนฮุบสมบัติก็เป็นได้
หญิงสาวรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างเมื่อคิดถึงบิดาสุดที่รัก หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา ชาตินี้เธอคงไม่อาจอภัยให้ตัวเองได้อีกโทษฐานที่ละเลยหน้าที่ ทิ้งพ่อตัวเองไว้กับพวกหน้าเนื้อใจเสือ แต่ในเมื่อเธอกลับมาแล้ว คนพวกนั้นจะไม่มีวันได้ทำตามใจตัวเองอีกต่อไป ไม่นานหรอกที่เธอจะทวงคืนทุกสิ่งที่ถูกคนพวกนั้นช่วงชิงไปกลับคืนมาแบบทบต้นทบดอก นายปราบดาตัวร้ายจะต้องกระเด็นออกจากบ้านของเธอไปพร้อมพี่สาวตัวดี เหมือนที่เขาเคยเขี่ยเธอออกจากบ้านตัวเองอย่างเจ็บแสบเมื่อห้าปีก่อน!
ดวงตาคู่งามวาวโรจน์มองไปนอกหน้าต่างรถ พลันความทรงจำต่างๆ ที่คิดว่าลืมไปแล้วก็พรั่งพรูเข้ามาในสมองราวกับภาพยนตร์ที่ถูกกรอกลับไปสู่อดีต...
/////////
แม้วันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หากมีคนถามว่าชีวิตนี้เกลียดขี้หน้าใครมากที่สุด วิศรา อาภาพิพัฒน์ คงไม่ลังเลเลยที่จะตอบว่า...
‘เธอเกลียดผู้ชายที่ชื่อ...ปราบดา วงศ์ทวีกร มากที่สุด’
และถ้าจะถามว่าความรู้สึกเกลียดที่ว่ามันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เธอก็คงตอบได้ทันทีว่า...นับตั้งแต่วินาทีแรกที่คนผู้นี้เหยียบย่างเข้ามาในบ้านแล้วพราก ‘เจ้าถุงแป้ง’ น้องหมาตัวโปรดของเธอที่บิดาเพิ่งให้เป็นของขวัญวันเกิดปีที่สิบแปดไป ด้วยการขับรถชนมันตายคาที่ แถมที่ร้ายกาจคือเขายังไม่ยอมลงมาดูชีวิตเล็กๆ ที่เขาเป็นผู้ปลิดชีพมันเองกับมือเลยด้วยซ้ำ เขาคงจำไม่ได้หรอกว่าทำอะไรลงไป แต่กับคนเป็นเจ้าของอย่างเธอนั้นกลับจำฆาตกรที่ชนแล้วหนีได้แม่น และหมายหัวว่าจะต้องเอาคืนอย่างสาสมให้ได้
แต่แล้วความเกลียดที่ว่าก็พอกพูนทบทวีขึ้นไปอีก เมื่อหมอนั่นได้ก้าวเข้ามาสู่บ้านของเธอในฐานะสมาชิกใหม่พร้อมกับ ปุริมา วงศ์ทวีกร หรือ ปุริมา อาภาพิพัฒน์ นามสกุลที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ที่มาพร้อมกับตำแหน่งภรรยาใหม่ของบิดา และยังเป็น...แม่เลี้ยงของเธออีกด้วย!
มีอย่างที่ไหน แต่งงานใหม่แต่ดันพาน้องชายตัวเองเข้ามาอยู่ในบ้านสามีใหม่เหมือนพวกกาฝากไม่มีผิด
แถมที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือ พบกันเพียงแค่สองครั้งหมอนี่ก็ได้พรากของรักของเธอไปทั้งสองครั้ง ครั้งแรกน้องหมาตัวโปรด มาครั้งนี้แสบกว่าเขากล้าพาพี่สาวมาพราก...บิดาสุดที่รักของเธอไป!
“ส้มลูกรัก มานี่สิพ่อมีคนจะแนะนำให้ลูกรู้จัก” วิศรุต อาภาพิพัฒน์ บิดาของเธอยิ้มแย้มหน้าบานชนิดที่ลูกสาวไม่ได้เห็นมานานนับตั้งแต่มารดาของเธอจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อนก็ว่าได้ “นี่คือคุณปู ตั้งแต่วันนี้จะมาอยู่ที่บ้านกับพวกเราในฐานะคุณแม่คนใหม่ของหนูไงลูก”
“พ่อเจ...” ราวกับหัวใจที่แห้งแล้งได้น้ำชโลม เจษภัทรรู้สึกอุ่นวาบในอก หัวใจพองโต ก่อนอ้าแขนโอบร่างเล็กเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน“ครับคนเก่ง พ่อเจพ่อของลูกชิ้น พ่อขอโทษนะที่ทำงานเสร็จช้า แต่ต่อไปนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกกับแม่แตมไปไหนอีกแล้ว พ่อรักลูกนะครับ”เตชิตามองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดลูกของเธอก็ได้มีพ่อกับเขาเสียที“จริงๆ นะครับ พ่อเจห้ามโกหกนะ”“ไม่โกหกครับ”“เย้! ลูกชิ้นมีพ่อแล้ว ลูกชิ้นรักพ่อเจที่สุดเลย”“เดี๋ยวนะ แล้วแม่ล่ะครับ” หญิงสาวแกล้งแหย่ลูกชายตัวแสบ“ลูกชิ้นรักทั้งพ่อเจ รักทั้งแม่แตม รักมากที่สุดในโลกเลยครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น พลางยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อและแม่อย่างมีความสุขสองปีต่อมา...ร้านก๋วยเตี๋ยวโกวีในวันหยุดมีลูกค้าคึกคักกว่าปกติ เจ้าของร้านแม้จะอายุเกือบหกสิบปีในอีกไม่กี่วัน แต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่ที่ทำให้ขายดีเป็นพิเศษนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้มีเด็กเสิร์ฟกิตติมศักดิ์มาช่วยงานก็เป็นได้“หมี่เหลืองแห้งโต๊ะสี่ได้แล้ว” พอขาดคำ ร่างสูงใหญ่ของเด็กเสิร์ฟที่ว่าก็เข้ามารับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวใหญ่ที่นั่งส่งตาหวานให้วิ้งๆ“ดูสามีเธอสิยัย
“ตาภาส”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรหันไปมองตาม พลางคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้พบอดีตศัตรูหัวใจ“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมมารับวินนี่ไปทานข้าวครับ” คนพูดหันไปสบตาแขกที่นั่งอยู่ พลางพยักหน้าให้นิดๆ “ไม่พบกันนานนะคุณเจ สบายดีเหรอ”“ครับ” เจษภัทรรับคำ น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นอีกฝ่าย กลับรู้สึกเหมือนโล่งราวยกหินออกอก“ใครไปตามยัยวินนี่มาที บอกว่าพี่ภาสมารับแล้ว” คุณวิมาดากระวีกระวาดต้อนรับแขกผู้มาใหม่ราวกับต้องการให้เห็นว่าเธอไม่ได้แยแสอดีตคนรักของลูกสาวแม้แต่น้อยรอเพียงไม่นานวินรดาก็เดินลงมา หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ภาสกร แต่พอเห็นหันมาเห็นใครอีกคน ยิ้มหวานก็ลบเลือนหาย เหลือเพียงความเย็นชา“คุณมาที่นี่ทำไมอีก”“พี่มาขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว” เจษภัทรยกยิ้ม น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรยามได้เห็นวินรดาเดินไปควงแขนชายหนุ่มอีกคนแสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้าผิดกับวินรดาที่หวังจะได้เห็นสีหน้าของผู้พ่ายแพ้เหมือนครั้งอดีตที่เธอเคยบอกเลิกกับเขาเพื่อคบกับภาสกร แต่ทว่าก็ต้องแอบผิดหวังและขัดใจนิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าผิดหวังเสียใจอย่างที่เธอต้องการเห็น ต
นายวีระหายใจฮึดฮัด ร่ำๆ อยากจะเอาเลือดหัวอีกฝ่ายออกให้สมอยาก ยิ่งเห็นลูกสาวสุดที่รักเข้าไปประคองและช่วยซับเลือดให้อีกฝ่าย ก็ยิ่งขัดตาขัดใจ“ยัยตาล พาน้องขึ้นห้องไปก่อน”“พ่อคะ...”เตชิตาร้องเรียกอย่างกลัวใจ ตาแลไปทางชายหนุ่มที่นั่งนิ่งยอมรับความผิด สภาพเขาตอนนี้อาจแค่ปากแตกสะบักสะบอม แต่หากเธอยอมขึ้นห้องไปตามที่พ่อสั่ง ไม่แน่ว่าตอนลงมาอาจพบเขานอนเป็นศพแล้วก็ได้“ถ้าพ่อจะลงโทษพี่เจ งั้นก็ลงโทษแตมด้วยอีกคนเถอะค่ะ หากเรื่องนี้จะมีใครผิด เราสองคนก็คงผิดเท่าๆ กัน หรือไม่แตมก็ผิดมากกว่า”เจษภัทรหันขวับไปมองหญิงสาวที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างกายเขาด้วยสายตาห่วงใย“แตม อย่าทำแบบนี้”“พี่เจไม่เคยรู้ว่าแตมท้อง ตอนเกิดเรื่องเขาเคยขอรับผิดชอบแล้ว แต่เป็นหนูที่ปฏิเสธเขา”“แล้วทำไมตอนนั้นลูกไม่บอกพ่อสักคำ”“แตม...” เจษภัทรกดสายตามองหญิงสาวพลางส่ายหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปสบตาพ่อของเธอ“เพราะตอนนั้นผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองครับ”ทุกคนมองสองหนุ่มสาว พลางหายใจไม่ทั่วท้อง เกรงว่าระเบิดจะลง“คนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองงั้นเหรอ” นายวีระทวนคำเสียงเยาะ “แล้วตอนนี้เกิดฉลาดขึ้นมาแล้วหรือไง”“เปล่าครับ แค่เพิ่งรู้ใจ
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องไอซียูก็เปิดออก พร้อมกับคุณหมอที่ออกมาแจ้งผลด้วยสีหน้าอิดโรย“คุณหมอคะ ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เตชิตาพุ่งไปเป็นคนแรก“เด็กปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่น้องได้เลือดจากคุณพ่อที่มีกรุ๊ปเดียวกัน ไม่งั้นคงแย่ เพราะเลือดกรุ๊ปนี้หายากเสียด้วย” ทุกคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แล้วตอนนี้พ่อของเด็กเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”“กำลังนอนพักอยู่ในห้องบริจาคเลือดข้างๆ กันครับ เพราะให้เลือดไปเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกเดี๋ยวก็คงฟื้น”“งั้นฉันขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” คุณหมอพยักหน้าอนุญาต แต่ให้เข้าไปได้เพียงคนเดียวภาพคนตัวเล็กนอนเหยียดบนเตียงโดยมีสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยาง ทำให้คนเป็นแม่ใจแทบสลาย สีหน้าลูกแม้ซีดเผือด แต่เตชิตารู้ว่าลูกรักปลอดภัยแล้ว แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายให้เห็น หญิงสาวปาดน้ำตาตัวเองเงียบๆในนาทีแห่งชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้เธอรับรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด“แตม...ลูกเป็นยังไงบ้าง...”เสียงนั้นอ่อนระโหย แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจที่สุด เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ในหัวใจมาตลอดนิ่งค้าง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อถูกเขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอกเสียงห
คุณวิมาดาหันไปถามกับสามี แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เช่นกัน“ว่าไงนะ ใครถูกรถชน เด็กที่ไหน...”เสียงซุบซิบเริ่มลามมาทางแถวหน้าอย่างรวดเร็ว และกระเด็นเข้าหูเจ้าภาพบนเวที พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินแกมวิ่งไปที่ข้างเวทีด้านที่นายชิษณุนั่งพร้อมกระซิบบอก“มีลูกของแขกที่มางานถูกรถชนหน้าโรงแรมค่ะ”“ตายจริง ลูกของแขกคนไหนกัน” คุณวิมาดาที่ได้ยินพลอยตกใจ“เห็นว่าเป็นแขกของคุณชิษณุ เด็กคนนั้นชื่อลูกชิ้นค่ะ!”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรสะดุ้ง ใจหายวาบ“ว่าไงนะ เด็กชื่ออะไรนะ”“ชื่อน้องลูกชิ้นค่ะ”“ลูกชิ้น!”ร่างสูงใหญ่ผุดลุกพรวดพราดขึ้นทันทีจนหญิงสาวที่นั่งพับเพียบข้างๆ พลอยตกใจ หันมาขึงตาใส่“พี่เจจะทำอะไรคะ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว จะไปไหน” วินรดากัดฟันถาม ตามองแขกเหรื่อที่เริ่มมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว“ตาเจ ลูกอยู่ทางนี้ก่อน เดี๋ยวพ่อไปดูให้เอง” นายชิษณุที่เห็นท่าไม่ดีรีบอาสา“ไม่ครับพ่อ ผมจะไปดูลูกเอง”“ลูก!” วินรดาเผลอตัวรีบคว้าแขนว่าที่คู่หมั้นหนุ่มไว้ “ลูกใครคะ”“ลูกชิ้น! ลูกชายของพี่!”วินรดาอ้าปากค้าง ส่วนคนบนเวทีพลอยตกอกตกใจกับประโยคนั้น คุณวิมาดาลมแทบใส่“ละ...ลูกชายพี่งั้นเหรอคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณกำลังจะได้สมหวังกับผู้หญิงที่คุณรักมาตลอด ส่วนฉันก็พอใจกับชีวิตตอนนี้แล้ว เราต่างก็มีทางเดินของตัวเอง งั้นอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายอีกเลยนะคะ ดึกแล้วคุณควรกลับไปพักผ่อน ส่วนฉันก็ควรต้องกลับเหมือนกัน”“แล้วพรุ่งนี้เธอจะไปที่งานหรือเปล่า” อะไรบางอย่างทำให้เขาหลุดปากถามออกไป“ฉันรับปากพี่วินนี่ไว้แล้วว่าจะไปค่ะ คุณเองก็อย่ากลับดึกนะคะ เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็นห่วง ลา...อุ๊บ!” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาเสียก่อนจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายของเขาสะกดตรึงเธอไว้ ราวกับปลดชนวนระเบิดในหัวใจที่แสนอัดอั้น หากนี่คือจูบอำลา เธอก็ขอเห็นแก่ตัวทำตามที่หัวใจไม่รักดีต้องการเป็นครั้งสุดท้ายบ้างเจษภัทรเลิกคิ้ว เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ตอบกลับมา ความรู้สึกหวานที่คละเคล้าความเศร้าอวลในรสจูบนี้ จนนึกอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มตัดใจถอนริมฝีปากออกเมื่อรับรู้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่รินอาบแก้มของอีกฝ่าย“แตม...พี่...”“ครั้งก่อนพี่ทิ้งกันไปโดยไม่ได้บอกลา งั้นครั้งนี้แตมขอเป็นฝ่ายบอกพี่เอง...ลาก่อนนะคะพี่เจ