ภายในห้องพิจารณาคดีที่ 7 ของศาลแพ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เสียงทนายความหนุ่มใหญ่ดังกังวาน สะกดทุกสายตาให้จับจ้องไปยังบัลลังก์และตัวเขา สุภาพบุรุษในชุดครุยสีดำขลับ ผู้มีบุคลิกสง่างามและเงียบขรึม ผมรองทรงที่เริ่มมีสีเงินแซมประปรายถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อย ดวงตาภายใต้กรอบแว่นฉายแววคมกล้าและมุ่งมั่น สะท้อนถึความเฉลียวฉลาดและความตั้งใจอันแน่วแน่ เขาคือ เจนรบ ทนายความวัย 50 ปี ผู้มีชื่อเสียงในด้านการต่อสู้เพื่อผู้ด้อยโอกาส และวันนี้ เขากำลังทำหน้าที่นั้นอย่างเข้มข้น
“ข้าแต่ศาลที่เคารพ” เจนรบกล่าว น้ำเสียงหนักแน่นแต่สุภาพ “ฝ่ายจำเลยพยายามอ้างสิทธิ์ในที่ดินโดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายเพียงเล็กน้อย และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาระจำยอม ประเด็นสำคัญคือ ที่ดินของฝ่ายจำเลยนั้นมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว การจะมาร้องขอให้ลูกความของกระผมเปิดทางเพิ่มเติมให้ โดยอ้างความจำเป็นนั้น ฟังไม่ขึ้นอย่างสิ้นเชิงครับ”
เขากวาดสายตามองไปยังทนายฝ่ายจำเลย ชายร่างท้วมท่าทางภูมิฐานที่กำลังนั่งหน้าเครียด เจนรบสังเกตเห็นความตึงเครียดบนใบหน้าของทนายฝ่ายตรงข้าม รอยยิ้มเยียบเย็นผุดขึ้นที่มุมปากของเขา ขณะรออย่างอดทนให้อีกฝ่ายนั่งลง ก่อนหันกลับมายังผู้พิพากษา”เอกสารโฉนดที่ดิน น.ส. 4 จ. ซึ่งเป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทย ที่กระผมได้ยื่นเป็นพยานหลักฐานไปแล้วนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงแนวเขตและทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะของที่ดินฝ่ายจำเลย อีกทั้งพยานบุคคลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดิน ก็ได้ให้การยืนยันแล้วว่าฝ่ายจำเลยมิได้ถูกปิดล้อมทางเข้าออกแต่อย่างใด การกระทำของฝ่ายจำเลยที่ก่อสร้างอาคารสูงชิดแนวเขตที่ดินของลูกความกระผม ทั้งที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ใช้ทางผ่าน จึงส่อแสดงเจตนาไม่สุจริตอย่างชัดเจนครับ”
“ประท้วงครับศาล ท่านทนายฝ่ายโจทก์กำลังชี้นำและใช้ถ้อยคำที่อาจทำให้ศาลเข้าใจเจตนาของลูกความผมคลาดเคลื่อนไป” ทนายฝ่ายจำเลยลุกขึ้นประท้วง “ที่ดินแม้มีทางออก แต่การใช้ทางนั้นลำบากอย่างยิ่ง และไม่สะดวกต่อการประกอบธุรกิจอาคารให้เช่าของลูกความผม การขอเปิดทางภาระจำยอมจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวมครับ”
เจนรบยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น รอจนทนายฝ่ายจำเลยนั่งลง
“ข้าแต่ศาลที่เคารพ” เขากล่าวต่อ “ความสะดวกสบายในการประกอบธุรกิจของฝ่ายจำเลย ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุผลในการล่วงละเมิดสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นได้ กฎหมายบัญญัติเรื่องภาระจำยอมไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนเพราะไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะจริงๆ เท่านั้นไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้กับผู้ที่มีทางเลือกอยู่แล้ว ลูกความของกระผม เป็นเพียงครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ที่ดินผืนนี้คือมรดกชิ้นสุดท้ายที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยพอจะต่อกรกับอำนาจเงินหรือกลเกมทางกฎหมายที่ซับซ้อนของฝ่ายจำเลยได้ การที่ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ พยายามใช้ช่องว่างนี้เพื่อกว้านซื้อที่ดินในราคาถูก หรือบีบบังคับให้ยอมเปิดทาง มันคือการกระทำที่ขัดต่อหลักความยุติธรรมและศีลธรรมอันดีครับ”
เจนรบหยุดพูดเล็กน้อย หันไปสบตาผู้พิพากษาโดยตรง
“กระผมเชื่อมั่นในดุลยพินิจของศาล และเชื่อมั่นว่ากฎหมายมีไว้เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ของผู้สุจริต ไม่ใช่เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้มีอำนาจหรือมีทรัพย์สินมากกว่ามารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า กระผมจึงขอให้ศาลโปรดพิจารณายกฟ้องคำร้องขอเปิดทางภาระจำยอมของฝ่ายจำเลย และยืนยันสิทธิ์อันชอบธรรมในที่ดินของลูกความกระผมด้วยครับ”
น้ำเสียงสุดท้ายของเขาเต็มไปด้วยพลังและความเชื่อมั่น หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้แถลงปิดคดี บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีเงียบสงัด รอคอยคำตัดสิน
ไม่นานนัก ศาลก็ได้อ่านคำพิพากษา...ยกฟ้องคำร้องของฝ่ายจำเลย ชัยชนะเป็นของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นจากฝั่งลูกความของเจนรบ ในขณะที่ทนายและลูกความฝ่ายจำเลยหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณมากนะคะ คุณจอม ถ้าไม่ได้คุณ พวกเราคงไม่รู้จะทำอย่างไร” คุณยายวัย 70 ปี ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยริ้วรอยดุจแผนที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิต พนมมือไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับลูกหลานอีกสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทนายความหนุ่มใหญ่วัย 50 ปี อย่างเจนรบ ผู้ซึ่งอาสาเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้ในการต่อสู้คดีกับเศรษฐีที่ดินหน้าเลือด ที่เป็นนายทุนใหญ่ผู้ละโมบ ซึ่งหวังจะกว้านซื้อที่ดินเพื่อสร้างคอนโดมิเนียมให้เช่าเก็งกำไร
“ไม่เป็นไรครับคุณยาย ถ้ามีเรื่องอะไรให้ผมช่วย ยายโทรศัพท์หาผมได้เสมอครับ” เจนรบกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พร้อมพนมมือรับไหว้ผู้อาวุโสกว่าบริเวณหน้าศาลอาญา หลังจากนั้น เจนรเดินลงจากบันไดศาล เพื่อไปยังรถยนต์ของตนเอง เตรียมขับกลับสำนักงานทนายความใจกลางเมือง เพื่อสะสางงานที่ยังคั่งค้างให้แล้วเสร็จ เจนรบเป็นดั่งชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวและพายุชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังคงรักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้อย่างมั่นคง
ย้อนกลับไปสมัยเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยบัณฑิตทวีปัญญา เขาเคยเป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์แรง และยังได้รับตำแหน่งเดือนคณะนิติศาสตร์อีกด้วย ในช่วงเวลานั้น เจนรบกำลังคบหาดูใจกับดาวคณะอักษรศาสตร์อย่าง ปิยะวรรณ หรือ ‘เปิ้ล’ ที่เพื่อนๆ เรียกกัน ทั้งคู่ต่างวาดฝันถึงอนาคตที่จะได้แต่งงานและสร้างครอบครัวร่วมกันหลังเรียนจบ
“แฟนมึงน่ารักว่ะ…” ภาคภูมิ เพื่อนสนิทของเจนรบเอ่ยแซวแฟนสาวของเขาในงานวันลอยกระทงเมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นปีที่หนึ่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน กลายเป็นเรื่องราวรักสามเส้าที่บีบคั้นหัวใจระหว่างภาคภูมิ เจนรบ และปิยะวรรณ
สำหรับเจนรบ ผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับความรักและความซื่อสัตย์ การที่แฟนสาวของเขาปันใจให้กับภาคภูมิ ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากยิ่ง ภาคภูมิในตอนนั้นเป็นหนุ่มนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ที่มีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาหล่อเหลาคมคายไม่แพ้กัน ในวันที่ความลับเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกเปิดเผย เมื่อความจริงปรากฏ มันเป็นดั่งระเบิดที่ทำลายโลกของเขาอย่างไม่อาจทนไหว เจนรบถูกครอบงำด้วยความรู้สึกทรยศและโกรธแค้นอย่างรุนแรง จึงบันดาลโทสะชกหน้าภาคภูมิจนเลือดกบปาก โดยมีปิยะวรรณเข้ามาห้ามปรามเหตุการณ์ เธอออกตัวปกป้องภาคภูมิอย่างสุดกำลัง ที่สวนหลังอาคารเรียนของมหาวิทยาลัย
“เปิ้ล! ถอยไป!!” เจนรบตวาดเสียงดัง “ไอ้สัส!! มึงทำกับกูแบบนี้เหรอไอ้ภาค!!”
“ไม่! เปิ้ลไม่ถอย!!” ปิยะวรรณกางมือปกป้องภาคภูมิอย่างเด็ดเดี่ยว “ถ้าจอมจะต่อย ก็ต่อยเปิ้ลด้วยสิ! เอาเลย! ต่อยเปิ้ลเลย! ต่อยเปิ้ลที่นอกใจจอมไปหาภาค!!”
เจนรบกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บปวดและคับแค้นใจ ความเป็นสุภาพบุรุษในตัวเจนรบ ผู้ซึ่งให้คุณค่ากับความสุขของเธอเหนือสิ่งอื่นใด ทำให้เขารู้ดีว่าต้องยอมจำนนต่อความจริง เพราะในเมื่อเธอได้มอบหัวใจให้กับชายอื่นไปแล้ว การฝืนยื้อต่อไปก็มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับทุกฝ่าย
“ก็ได้…จอมยอมแพ้แล้ว” เจนรบเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า “จอมเคยบอกเปิ้ลแล้วใช่ไหม? ว่าเปิ้ลจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่จอมรัก และจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายที่จอมรักเหมือนกัน มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ถ้าเปิ้ลรักไอ้ภาคจริง จอมจะยอมหลีกทางให้…”
“จอม…” ปิยะวรรณถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากใจของสุภาพบุรุษอย่างเจนรบ “เปิ้ลขอโทษ…”
“ส่วนมึง…ไอ้ภาค” เจนรบชี้หน้าเพื่อนรักที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด “กูยกเปิ้ลให้มึงก็ได้ แต่มึงจำคำพูดกูไว้ ถ้าวันใดวันหนึ่งมึงทำให้เปิ้ลเสียใจ กูเล่นมึงถึงตายแน่!!”
“กูสัญญาเพื่อน…” ภาคภูมิตอบด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด “กูจะดูแลเปิ้ลให้ดีกว่ามึง กูสัญญา!!”
“ให้มันจริงเถอะ…” เจนรบกัดฟันพูด ก่อนหันหลังเดินจากไปด้วยน้ำตาที่ไหลริน ในขณะที่ปิยะวรรณรีบเข้าไปประคองภาคภูมิที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นด้วยความเป็นห่วง
“ภาค! ไม่เป็นอะไรนะ! จอมไม่น่าทำแบบนี้เลย!!!”
“อืม…ภาคไม่เป็นไรหรอกเปิ้ล” ภาคภูมิตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “สงสารก็แต่ไอ้จอม คนอย่างมันจริงจังกับความรักมากนะ ภาครู้สึกผิดที่ทำให้มันต้องเป็นแบบนี้”
หลายปีผ่านไป ภาคภูมิและปิยะวรรณได้แต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ฝ่ายหญิงย้ายตามสามีไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดและเป็นที่ตั้งของธุรกิจรีสอร์ตของครอบครัวภาคภูมิ ในวันสำคัญนั้น ทั้งสองได้ส่งการ์ดเชิญเจนรบ ซึ่งกำลังเตรียมตัวอย่างหนักสำหรับการสอบตั๋วทนายความในกรุงเทพฯ ให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานของพวกเขาด้วย
ในตอนแรก เจนรบยังคงลังเลใจ เพราะติดภารกิจสำคัญเกี่ยวกับการสอบคัดเลือกเป็นทนายความ แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ และความผูกพันที่มีต่อเพื่อนรักทั้งสอง ทำให้เขาตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปร่วมงานแต่งงานที่เชียงใหม่
“ไอ้ภาค!!! สบายดีไหมมึง!!” เจนรบเอ่ยทักทายเพื่อนรักที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวแบบไทยอันสง่างามด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้างจอม? สอบทนายได้หรือยัง?” ปิยะวรรณ อดีตคนรักเก่าที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสวยสง่าและงดงามทักทายอดีตแฟนหนุ่มด้วยรอยยิ้มสดใส
“กำลังรอฟังผลอยู่” เจนรบยิ้มตอบ “ยินดีด้วยนะ ทั้งคู่ดูสวยหล่อเหมาะสมกันมาก ขอให้รักกันนานๆ นะ”
งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราในโรงแรมระดับห้าดาวของจังหวัดเชียงใหม่ แต่น่าเสียดายที่เจนรบไม่สามารถอยู่ร่วมงานได้นานนัก เนื่องจากต้องรีบเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นดั่งข้ออ้างอันเหมาะสมในการหลีกหนีจากบรรยากาศที่หวานอมขมกลืนนี้ แม้คู่บ่าวสาวป้ายแดงจะอ้อนวอนให้เพื่อนเก่าอยู่ต่อ เพื่อพาเที่ยวชมเมืองเหนือ และแนะนำหญิงสาวดีๆ ให้เจนรบได้รู้จักก็ตาม
แต่สำหรับเจนรบ ผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับความรักอย่างมาก จนบางครั้งก็ดูเหมือนจะมากเกินไป ชายหนุ่มยังคงยึดมั่นในคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับปิยะวรรณ และเลือกปิดกั้นหัวใจตัวเองจากหญิงอื่น หลังจากผิดหวังจากรักครั้งเก่า เจนรบตัดสินใจครองตนเป็นโสด และอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้มีอิทธิพล
ในเวลาต่อมา เจนรบสอบตั๋วทนายความได้สำเร็จ และเริ่มแสดงให้เห็นถึงความสามารถในฐานะทนายความหนุ่มผู้ยึดมั่นในความถูกต้องและรักความยุติธรรม เขาให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านผู้ด้อยโอกาสเป็นจำนวนมาก จนชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วในฐานะทนายความหนุ่มขวัญใจคนยากจน
ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมา ทำให้มีผู้มีอิทธิพลหลายรายพยายามเข้ามาติดต่อเพื่อซื้อตัวเขา แต่เจนรบไม่เคยหวั่นไหว เพราะพื้นฐานครอบครัวของเขาเป็นตระกูลทหารเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปู่ของเขาเคยดำรงตำแหน่งนายพลแห่งกองทัพบูรพาในช่วงสงครามอินโดจีน ทำให้เจนรบไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลหน้าไหน และเขายังได้รับการสนับสนุนจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกด้วย
หวนกลับมาที่เรื่องความรัก แม้ว่าจะมีหญิงสาวหน้าตาดีและมีคุณสมบัติเพียบพร้อมหลายคนเข้ามาเสนอตัวให้เจนรบได้ทำความรู้จัก แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธพวกเธอเหล่านั้นอย่างสุภาพ เพราะในใจของเขายังคงมีภาพของปิยะวรรณฝังลึกอยู่ เขายังคงยึดมั่นในคำพูดที่เคยให้ไว้รวมถึงภาระหน้าที่อันหนักอึ้งในฐานะทนายความ ทำให้เขาไม่มีเวลาและความสนใจในเรื่องความรัก จนในที่สุดสาวๆเหล่านั้นก็ต้องถอดใจไปเอง
เมื่อกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปในแต่ละปี เจนรบก็เติบโตและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อหันกลับมามองอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 25 ปี ปัจจุบันเจนรบในวัย 50 ปี ยังคงครองสถานะโสดสนิท จนมีข่าวลือในวงสังคมว่าแท้จริงแล้ว เขาอาจจะมีรสนิยมทางเพศที่แตกต่างออกไป ด้วยความสันโดษนี้เองที่ทำให้มีข่าวลือในวงสังคมว่าแท้จริงแล้ว เขาอาจจะมีรสนิยมทางเพศที่เบี่ยงเบน ซึ่งเจนรบเองก็รับรู้แต่ไม่เคยใส่ใจ แต่เจนรบเองรู้ดีว่าความจริงเป็นเช่นไร และไม่ใส่ใจต่อคำนินทาเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ณ สำนักงานทนายความเจนรบ ย่านบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่ายของวันพุธ เจนรบในชุดสูทสีดำสนิท ผูกเนคไทสีแดง เดินเข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับแฟ้มเอกสารคดีความหมิ่นประมาทบนโลกโซเชียลมีเดียในมือ
คนสมัยนี้จริงจังกับชีวิตในโลกออนไลน์กันมากเกินไป บางคนก็ใช้มันเป็นเครื่องมือทำลายล้าง บูลลี่อีกฝ่ายให้รู้สึกอับอายขายขี้หน้า น่าจะศึกษาเรื่องพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กันบ้าง เจนรบร่ายยาวในจิตใจ สงสัยนึกว่าจะด่าทอใครยังไงก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ตำรวจตามตัวไม่ได้ พออีกฝ่ายเอาเรื่องขึ้นมา ก็กลายเป็นคดีความฟ้องร้องวุ่นวายรกศาลเต็มไปหมด
เจนรบวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนเดินไปยังตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำดื่มเย็นขึ้นมาดับกระหาย แล้วทิ้งตัวลงนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้ทำงานสักครู่ จังหวะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นเตือนเมื่อมีสายเรียกเข้า
“ไอ้ภาค…” บนหน้าจอสมาร์ทโฟนของเจนรบปรากฏชื่อเพื่อนเก่าอย่างภาคภูมิ หนุ่มใหญ่รีบกดรับสายทันที “ฮัลโหล ว่าไงมึง?”
“ไอ้จอม!! เป็นไงบ้างมึง!!” ภาคภูมิเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี “กูกับมึงไม่ได้เจอกันนานกี่ปีแล้ววะ?”
“ครั้งสุดท้ายก็น่าจะเมื่อ…” เจนรบขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงความหลัง “น่าจะ 10 ปีที่แล้ว ทำไมวะ มีธุระอะไรกับกูหรือเปล่า?”
“คืองี้ กูจะพาน้องปลา ลูกสาวกู มารายงานตัวเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเก่าเรา ที่พวกเราเคยเรียนนั่นแหละเพื่อน ทีนี้ พาลูกสาวไปรายงานตัวเสร็จ ก็ว่าจะไปหาหอพักให้ลูกกูอยู่ แล้วก็เลยอยากจะนัดเจอมึงสักหน่อยว่ะ ไอ้จอม”
“ได้สิ วันไหนก็บอกมาเลย” เจนรบตอบด้วยความยินดี
“วันเสาร์อาทิตย์หน้า มึงว่างไหม?” ภาคภูมิถาม
“วันเสาร์อาทิตย์หน้าเหรอ?” เจนรบหยิบปฏิทินบนโต๊ะทำงานมาตรวจสอบตารางนัดหมายอย่างละเอียด “กูว่างพอดี แล้วมึงจะมากรุงเทพฯ ถึงเมื่อไหร่?”
“มาถึงตั้งแต่เช้ามืดเลย กูกับเปิ้ลตั้งใจว่าถ้าพาลูกสาวไปทำธุระเสร็จแล้ว ค่อยมาเจอกับมึง” ภาคภูมิตอบ
“ได้เลยเพื่อน” เจนรบยิ้มกว้าง “มาเถอะ กูเองก็อยากเจอมึงเหมือนกัน”
“ว่าแต่มึงมีเมียหรือยังวะไอ้จอม?” ภาคภูมิเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง
“ยังเลย…กูไม่มีเวลาไปหาใคร” เจนรบตอบด้วยน้ำเสียงติดตลก
“มึง 50 แล้วนะไอ้จอม หาเมียได้แล้ว!!” ภาคภูมิตอบกลับ “เอ๊ะ! หรือว่ามึงไม่ชอบผู้หญิง?”
“น้อยๆ หน่อยเถอะมึงไอ้ภาค” หนุ่มใหญ่หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี “เอางี้ วันเสาร์หน้าเจอกัน ใครถึงห้างก่อนโทรมา ตกลงนะ”
“เออ…ตกลง” ภาคภูมิตอบรับคำนัดหมาย ก่อนทั้งคู่จะกดวางสายและแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว
ครั้งสุดท้ายที่เจนรบได้พบกับภาคภูมิและปิยะวรรณ คือเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ตอนนั้นทั้งคู่พาลูกสาวคนเดียวของพวกเขา คือ น้องปลา ปวีณา ซึ่งเพิ่งจะมีอายุเพียง 8 ขวบ ลงมาเที่ยวที่กรุงเทพฯ เจนรบยังจำได้ดีว่าตอนนั้นเขาได้ซื้อขนมอร่อยๆ เป็นของขวัญให้กับหลานสาวตัวน้อย ก่อนที่ครอบครัวของเพื่อนรักจะบินกลับเชียงใหม่
“ตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีนะจ๊ะหลานลุง” เจนรบลูบศีรษะเด็กน้อยที่ยืนตาแป๋วรอคุณพ่อคุณแม่พาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง “ไว้มึงว่าง ก็มาเที่ยวกรุงเทพฯ อีกนะ”
“ทำยังไงก่อนจ๊ะน้องปลา?” ปิยะวรรณผู้เป็นแม่เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน “ไหว้คุณลุงจอมก่อนสิจ๊ะ ผู้ใหญ่ให้ของน้องปลาต้องพนมมือไหว้ขอบคุณนะคะลูก”
“ขอบคุณค่ะ คุณลุง” น้องปลายิ้มหวาน พนมมือไหว้เจนรบอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ทำเอาหนุ่มใหญ่อดยิ้มตามไม่ได้
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เจนรบได้พบกับครอบครัวของเพื่อนรักและแฟนเก่า หลังจากนั้นก็มีการติดต่อกันบ้างผ่านทางโทรศัพท์ ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น มีสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กทำให้เจนรบสามารถพูดคุยกับเพื่อนเก่าอย่างภาคภูมิ และติดตามความเป็นไปของรักครั้งเก่าอย่างปิยะวรรณได้บ้าง แม้ว่าความสาวสะพรั่งของเธอจะถูกกาลเวลาพรากไปตามวัย ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นดาวคณะอักษรศาสตร์วัยใสอีกแล้ว แต่เป็นคุณแม่ของลูกสาวที่น่ารักราวกับพิมพ์เดียวกัน
ไม่ใช่ว่าปิยะวรรณในวัย 50 ปี ไม่สวย เธอยังคงดูดีในแบบของผู้หญิงวัยกลางคน แม้ไม่ได้สดใสเต่งตึงเหมือนสาวแรกรุ่น แต่ความสวยงามของปิยะวรรณนั้น ดูเหมือนจะถูกถ่ายทอดไปยังลูกสาวอย่างน้องปลา ปวีณา อย่างเต็มเปี่ยม จนเรียกได้ว่าสวยและน่ารักไม่แพ้ผู้เป็นแม่เลยทีเดียว
อาจฟังดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่เจนรบมักจะแอบเข้าไปดูเฟซบุ๊กของภาคภูมิเพื่อนรัก เพื่อส่องรายชื่อเพื่อน และเมื่อพบเฟซบุ๊กของน้องปลา หนุ่มใหญ่อดใจไม่ไหว เลยคลิกเข้าไปดูรูปภาพและกิจกรรมของเด็กสาว ตั้งแต่ภาพในวัยเด็กฟันหลอ จนเติบโตเป็นสาวน้อยวัยรุ่นสดใสพร้อมรอยยิ้มที่มาพร้อมกับเหล็กดัดฟัน จนกระทั่งตอนนี้ที่เธอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาและกำลังเตรียมตัวเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา เจนรบเลื่อนอ่านสเตตัส ของเด็กสาวด้วยยิ้มอ่อน
ส่วนใหญ่เรื่องราวที่น้องปลาโพสต์ก็เป็นเรื่องทั่วไปตามประสาวัยรุ่น แต่สาวน้อยก็ยังมีมุมที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นแม่บ้านแม่เรือน อย่างเช่น การทำอาหาร ซึ่งเจนรบจำได้ว่านี่คือเสน่ห์ปลายจวักที่สืบทอดมาจากปิยะวรรณผู้เป็นแม่ เพราะสมัยที่ยังคบหากัน ปิยะวรรณมักจะทำอาหารอร่อยๆ มาให้เจนรบกินอยู่เสมอเวลาที่เขาซ้อมฟุตบอลให้กับมหาวิทยาลัย และบางครั้งก็ทำเผื่อภาคภูมิที่เป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วย
“ได้เชื้อแม่มาเต็มๆ เลยนะน้องปลาเนี่ย อยากรู้จังว่าจะทำอาหารเก่งเหมือนแม่หรือเปล่านะ” เส้นโค้งละมุนยังปรากฏบนใบหน้าหนุ่มใหญ่ ขณะกำลังเลื่อนดูรูปภาพของน้องปลาในเฟซบุ๊ก เลื่อนไปเลื่อนมา นิ้วโป้งเจ้ากรรมก็เผลอไปกดถูกปุ่ม ‘ถูกใจ’ (Like) ทำให้หนุ่มใหญ่ต้องรีบกดเลิกติดตามด้วยความตกใจ กลัวว่าเด็กสาวจะรู้ตัว
เจนรบแอบส่องเฟซบุ๊กของเด็กสาวมานานแรมปี นานจนหนุ่มใหญ่เริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับหลานสาวคนสวยคนนี้อย่างประหลาด จนเก็บไปฝัน เนื้อหาในความฝันของเจนรบกับปวีณาส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องราวที่ใกล้ชิดสนิทสนมเกินกว่าลุงกับหลาน ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินเลย
ถ้าใครรู้ว่าทนายความผู้น่าเชื่อถือและมีชื่อเสียงอย่างเจนรบ แอบคิดไม่ซื่อกับลูกสาวของเพื่อนรัก จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี แต่เรื่องนี้ คนอย่างเจนรบจะไม่มีวันยอมให้ใครล่วงรู้ความจริงได้เป็นอันขาด
แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ น้องปลา ลูกสาวของเพื่อนรักคนนี้ กำลังทำให้กำแพงที่เจนรบสร้างขึ้นเพื่อปกป้องหัวใจที่ยังคงบอบช้ำจากรักครั้งเก่า เริ่มมีรอยร้าว สารภาพตามตรงว่าความจริงแล้ว เจนรบไม่ได้อยากจะเจอภาคภูมิ หรือแม้แต่อดีตคนรักอย่างปิยะวรรณสักเท่าไหร่ แต่คนที่เจนรบอยากจะพบเจอมากที่สุด ก็คือน้องปลานั่นเอง
ตัดมาที่วันเสาร์ในสัปดาห์ถัดมา เจนรบในชุดเสื้อโปโลสีดำที่ดูเรียบง่าย นั่งจิบกาแฟรอเพื่อนรักจากเชียงใหม่ที่ร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้าหรูย่านห้าแยกลาดพร้าว หลังจากนั่งรอได้สักพัก ภาคภูมิ ปิยะวรรณ และปวีณา ลูกสาวคนสวย ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าลมหายใจของเจนรบราวกับหยุดไปชั่วขณะ หัวใจของทนายความวัยห้าสิบเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง
“ไอ้จอม!!” ภาคภูมิเรียกชื่อเพื่อนรักด้วยรอยยิ้มกว้าง “มาถึงนานหรือยังมึง?”
“เพิ่งมาถึงไม่นาน เป็นยังไงบ้าง?” เจนรบตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ “ไม่ได้เจอกันนาน หัวเริ่มเถิกแล้วนะมึง”
“ไอ้สัส! นั่นมึงใช้ปากพูดเหรอวะ?” ภาคภูมิยิ้มขำ
“เป็นไงบ้างจอม? สบายดีไหม?” คราวนี้เป็นทีของปิยะวรรณที่เอ่ยทักทายอดีตคนรักบ้าง “ดูภูมิฐานขึ้นเยอะเลยนะจอม”
“ก็นิดหน่อยน่ะเปิ้ล” เจนรบตอบพลางยิ้มอ่อน ก่อนหันไปมองสาวน้อยที่ยืนอยู่เคียงข้าง ปิยะวรรณ แววตาของเขาชะงักไปชั่วขณะ
นั่น...น้องปลาจริงหรือ? หัวใจของทนายความวัยห้าสิบเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง ภาพเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เขาเคยเจอเมื่อสิบปีก่อนเลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษา ผิวขาวผ่อง ผมยาวสลวยที่ขับให้ใบหน้าหวานยิ่งดูโดดเด่น สวย... สวยจนเขาเผลอจ้องมองนานกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่แค่ความงามที่ถอดแบบจากปิยะวรรณมาเท่านั้น แต่ปวีณามีความสดใส เปล่งปลั่งในแบบของตัวเองที่ดึงดูดสายตาอย่างรุนแรง
ปวีณายกมือไหว้เขา รอยยิ้มยังคงสดใสเหมือนเดิม แต่แววตาที่สบกันตรงๆ นั้น มีประกายบางอย่างที่ทำให้เจนรบรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างประหลาด มือไม้ที่เคยผ่อนคลายเมื่อครู่ กลับรู้สึกเกะกะขึ้นมาเล็กน้อย เขาต้องรีบตั้งสติ พนมมือรับไหว้ พยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูอบอุ่นสมกับเป็น 'ลุงจอม' คนเดิม
“สวัสดีจ๊ะน้องปลา... เอ่อ... โตขึ้นมากจนลุงจำแทบไม่ได้เลยนะเรา” มือไม้ที่เคยผ่อนคลายเมื่อครู่ กลับรู้สึกเกะกะขึ้นมาเล็กน้อย เขาต้องรีบตั้งสติ น้ำเสียงของเขาเกือบจะสะดุด จนต้องรีบกลบเกลื่อนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “สวยน่ารัก...ไม่แพ้คุณแม่ตอนยังสาวเลย” ...ไม่สิ อาจจะสวยกว่าด้วยซ้ำ ความคิดที่ไม่เหมาะสมแวบเข้ามาอีกครั้ง รวดเร็วจนน่าตกใจ เจนรบต้องรีบสลัดมันทิ้ง บังคับตัวเองให้มองเด็กสาวตรงหน้าในฐานะ 'หลาน' เท่านั้น นี่ลูกสาวเพื่อนนะเว้ยเจนรบ! ลูกสาวของไอ้ภาคกับเปิ้ล! เขาตอกย้ำในใจ
“สวัสดีค่ะลุงจอม” ปวีณายิ้มตอบ เสียงใสๆ นั้นทำให้บรรยากาศคลายลง แต่ใจของเจนรบยังคงเต้นไม่เป็นส่ำ รอยยิ้มและแววตาใสซื่อที่เคยทำให้เขารู้สึกเอ็นดูในวันวาน วันนี้กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่น...และปั่นป่วนไปพร้อมกัน มันเหมือนมีบางอย่างที่เขาพยายามฝังกลบไว้ตลอดสามสิบปี กำลังถูกปลุกขึ้นมาอย่างรุนแรง...”
สำหรับน้องปลาในวัยใกล้เคียงกันนั้น บอกได้เลยว่าเธอสวยและน่ารักมาก ผิวขาวผ่องราวกับสีงาช้าง แก้มมีเลือดฝาดระเรื่อ ผมหน้าม้าที่ตัดตรงยิ่งขับให้ใบหน้าหวานละมุน เจนรบยอมรับในใจว่าความงามของเธอสะกดสายตา แต่ก็พยายามควบคุมท่าทีให้เป็นปกติที่สุด
ทั้งสี่คนพากันไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านสุกี้หม้อไฟชื่อดัง น้องปลาดูจะเพลิดเพลินกับการรับประทานบะหมี่หยกและเป็ดย่าง อาจเป็นเพราะความหิว ส่วนผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็พูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันนาน ภาคภูมิชวนเจนรบคุยถึงเรื่องราวสนุกสนานในอดีตสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทนายความหนุ่มใหญ่พยักหน้าและยิ้มรับฟังอย่างตั้งใจ แต่ในขณะเดียวกันสายตาของเขาก็แอบชำเลืองมองทุกอิริยาบถของเด็กสาวอย่างไม่ละสายตา
“อิจฉามึงว่ะไอ้ภาค ที่มีลูกสาวเก่งและน่ารักขนาดนี้” เจนรบเอ่ยแซวเพื่อนรัก “กูชักอยากจะมีลูกกับเขาสักคนเหมือนกันแล้วสิ”
ความรู้สึกบางอย่างในใจของหนุ่มใหญ่กำลังบอกว่า บางทีผู้หญิงคนนั้นเขารอคอยอาจอยู่ไม่ไกล หรือบางทีอาจจะใกล้จนคาดไม่ถึงก็ได้
“มึงต้องหาเมียก่อนเพื่อน” ภาคภูมิตอบขณะที่กำลังคีบหมูสไลด์เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณ! กินให้เสร็จก่อนค่อยพูด! เดี๋ยวจะสำลัก!” ปิยะวรรณเอ่ยเตือนภาคภูมิผู้เป็นสามีด้วยความเป็นห่วง
“มึงหาเมียได้แล้วเพื่อน อายุ 50 แล้วนะมึงน่ะ ถามจริง มึงไม่เหงาบ้างเหรอวะ?” ภาคภูมิถามเพื่อนรักอย่างตรงไปตรงมา “รุ่นเดียวกับพวกเรา ลูกเต้าโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วนะ เหลือแต่มึงนี่แหละที่ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนสักที”
“ก็กูทำแต่งาน…” เจนรบตอบพลางยกแก้วน้ำเย็นขึ้นจิบ “หลายปีมานี้ กูวุ่นวายอยู่กับการทำงานช่วยเหลือคนอื่น จนบางทีกูก็ลืมนึกถึงเรื่องส่วนตัวของตัวเองไปเลย”
“มึงนึกถึงหัวใจตัวเองบ้างเถอะเพื่อน” ภาคภูมิตอบด้วยความเป็นห่วง
“กูว่ากูแก่เกินกว่าจะมาคิดเรื่องพวกนี้แล้วมั้ง” เจนรบสารภาพด้วยรอยยิ้มขื่น
“เฮ้ย! มึงยังไม่แก่ เชื่อกูดิ” ภาคภูมิยิ้มกว้าง พร้อมกับคีบเนื้อหมูสไลด์ที่ต้มจนสุกใส่ลงในจานของเพื่อนรัก “มึงเอาแต่ทำงานหาเงินทอง อีกหน่อยมึงเป็นอะไรไป เงินทองมากมายขนาดไหนมึงก็เอาติดตัวไปไม่ได้ แล้วทีนี้มึงจะยกให้ใครล่ะ เงินทองที่มึงสะสมมาสุดท้ายก็สูญเปล่า กูว่ามึงหาเมียแล้วปั๊มลูกได้แล้วเพื่อน”
“เออ…กูจะลองดู” เจนรบพยักหน้า แต่สายตากลับเหลือบมองไปยังน้องปลา ราวกับว่าความรู้สึกในใจกำลังกระซิบบอกว่าใครคนนั้นที่เฝ้ารอ อาจไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่คิดก็ได้
“แบบนั้นแหละดีแล้วเพื่อน” ภาคภูมิ นักธุรกิจเจ้าของรีสอร์ตหรูจากเชียงใหม่ยิ้มอย่างพอใจ “กูจะรอฟังข่าวดีจากมึงนะ”
เรียกได้ว่าเป็นการพบปะสังสรรค์ของเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่อบอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ พร้อมกับอาหารอร่อยเต็มโต๊ะ ส่วนน้องปลานั้นไม่ได้สนใจในบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสามคนมากนัก เพราะกำลังเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารด้วยความหิว เมื่อเริ่มอิ่มแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมและถ่ายรูปเซลฟี่แก้เบื่อ โดยเด็กสาวไม่มีทางรู้เลยว่า คุณลุงใจดีอย่างเจนรบกำลังแอบมองเธออยู่เป็นระยะ และเธอคงไม่ได้รับรู้ถึงกระแสอารมณ์ที่ซ่อนอยู่หรือความขัดแย้งในใจของพวกผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย
หลังจากรับประทานอาหารสุกี้เสร็จในช่วงหัวค่ำ ทั้งสี่คนก็เดินเล่นย่อยอาหารภายในห้างสรรพสินค้า ก่อนเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับที่พัก ครอบครัวของภาคภูมิจูงมือน้องปลามาส่งเจนรบที่บริเวณลานจอดรถ ก่อนที่เจนรบจะเปิดประตูรถและบอกกับเพื่อนรักว่า เขารับงานเป็นผู้บรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัยเดียวกับที่น้องปลากำลังจะเข้าศึกษาต่ออีกด้วย
“จริงหรือคะ?” น้องปลายิ้มหวาน ดวงตากลมโตเป็นประกาย “เดี๋ยวเราคงได้เจอกันอีกนะคะลุงจอม”
“จ๊ะ…” เจนรบยิ้มตอบด้วยความอบอุ่น “มีอะไรก็โทรมาแล้วกันเพื่อน แล้วเจอกันนะไอ้ภาค เราไปก่อนนะเปิ้ล บ๊ายบายนะน้องปลา”
แล้วทนายความหนุ่มใหญ่ก็ขับรถยนต์สีดำคันหรูที่เพิ่งซื้อมาเมื่อสองปีก่อนออกจากห้างสรรพสินค้าไป
แน่นอนว่าในใจของเจนรบกำลังพองโตด้วยความสุขอย่างท่วมท้น แต่ลึกลงไปคือความสับสนวุ่นวาย หัวใจของเขาเต้นรัวจนน่าตกใจ ความรู้สึกต่อปวีณามันรุนแรงและซับซ้อนกว่าที่เขาคาดไว้มาก คล้ายกับตอนตกหลุมรักปิยะวรรณ...แต่ครั้งนี้มันอันตรายกว่าหลายเท่า
“ลูกสาวเพื่อนนะเว้ย...” เสียงเหตุผลตอกย้ำในหัวซ้ำๆ “ตั้งสติหน่อยสิไอ้จอม! อย่าคิดอะไรบ้าๆ!” เขาพยายามบังคับตัวเองให้นึกถึงสถานะ ลบภาพรอยยิ้มหวานและแววตาใสซื่อที่ชวนหวั่นไหวนั่นออกไป
แต่ถึงจะพยายามย้ำเตือนตัวเองเช่นไร ร่างกายของชายวัยห้าสิบกลับทรยศ ความรู้สึกตื่นตัวที่ไม่คุ้นเคยแล่นพล่านไปทั่วร่าง สร้างความอึดอัดและความหงุดหงิดใจให้เขาอย่างบอกไม่ถูก บ้าจริง! เป็นเอามากนะเรา ภาพของปวีณายังคงวนเวียนอยู่ในหัว พร้อมกับความคิดที่ไม่เหมาะสมซึ่งยากจะสลัดทิ้ง
ตอนแรกเจนรบตั้งใจจะขับรถตรงกลับบ้านพักที่ลาดพร้าว หวังว่าการได้พักผ่อนในพื้นที่ส่วนตัวจะช่วยให้เขาสงบสติอารมณ์และจัดการกับความรู้สึกปั่นป่วนนี้ได้ แต่ยิ่งขับไป ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและความปรารถนาที่ขัดแย้งกันกลับยิ่งตีรวนในอก เขาต้องการ... ต้องการหนีจากความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ ต้องการอะไรสักอย่างมาดับความร้อนรุ่มในใจ
ทันใดนั้น ป้ายไฟนีออนของสถานบันเทิงยามค่ำคืนเจ้าประจำก็สว่างวาบขึ้นในสายตา สถานที่ที่เขาเคยใช้เป็นที่ปลดปล่อยความต้องการทางกายมานักต่อนัก... ปกติเขามาที่นี่เพราะความเครียดจากงาน หรือบางทีก็แค่เพราะความเหงา แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป... บางที การได้ปลดปล่อยกับใครสักคน อาจจะช่วยให้เขาลืมความรู้สึกผิดๆ ที่มีต่อปวีณาไปได้ชั่วคราวก็ได้ เขาคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงการหนีปัญหา
ช่างมันเถอะวะ! คืนนี้ขอสักทีแล้วกัน! เจนรบตัดสินใจหักพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว เลี้ยวรถเข้าไปยังจุดหมายใหม่ที่เพิ่งตัดสินใจ... อย่างน้อยก็หวังว่ามันจะช่วยให้เขากลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง
ภายนอก เจนรบคือทนายความผู้ทรงเกียรติและน่าเคารพนับถือ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่อโคจรเหล่านี้ เจนรบก็ไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไปที่มีความต้องการเหมือนผู้ชายคนอื่น
“น้องลิซ่ามาแล้วครับเฮีย” เด็กเชียร์แขกคนหนึ่งโบกมือเรียกหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่มาหาเจนรบที่กำลังนั่งจิบเบียร์เย็นฉ่ำ รออยู่ตรงที่นั่งริมกระจก
“สวัสดีค่ะเฮีย คิดถึงลิซ่าไหมคะ?” หญิงสาวในชุดเดรสเกาะอกรัดรูปสีแดงสด ยิ้มหวานเยิ้มให้กับเจนรบ ผู้เป็นลูกค้าระดับ VIP
“สวัสดีจ๊ะลิซ่า กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย” เจนรบยิ้มตอบ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามลิซ่าเข้าไปในห้องส่วนตัว
เจนรบยังคงรักษามาดความเป็นสุภาพบุรุษไว้ จนกระทั่งเมื่อเข้าไปในห้องพร้อมกับหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงเพลิงแล้วเท่านั้น โฉมหน้าที่แท้จริงของเขาก็ปรากฏออกมา
“อ๊า…ให้ลิซ่าไปอาบน้ำก่อนสิคะเฮีย” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวน
“ไม่เอา เฮียคิดถึงลิซ่าจะแย่แล้ว!!” เจนรบตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระหาย
สุดท้ายหนุ่มใหญ่ก็ต้องยินยอมให้สาวสวยไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด เช่นเดียวกับตัวเจนรบเองก็ต้องอาบน้ำให้เนื้อตัวหอมฟุ้ง ก่อนเริ่มต้นเกมรักอันเร่าร้อน
“อ๊า…เฮียขา…เบาๆ หน่อยค่ะ!!! ลิซ่าเจ็บ!!!” หญิงสาวร้องครางด้วยความเจ็บปวดระคนเสียวซ่าน ขณะที่กำลังถูกเจนรบกระทำอย่างหนักหน่วงในท่ากวางเหลียวหลัง
หนุ่มใหญ่ตีก้นหญิงสาวดัง ‘เพี๊ยะ!’ ในหัวกลับจินตนาการว่ากำลังกระทำเช่นนี้กับน้องปลา ลูกสาวของเพื่อนรัก พอนึกถึงภาพนั้น มันก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาของเขาให้พลุ่งพล่านยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าแม่สาวลิซ่าอาจจะทีเด็ดในสถานบันเทิงแห่งนี้ แต่ความสดใสไร้เดียงสาของวัยสาวที่ปราศจากมลทินของน้องปลา กลับสามารถกระตุ้นอารมณ์กำหนัดของหนุ่มใหญ่อย่างเจนรบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
แน่นอนว่าเจนรบไม่มีทางนำจินตนาการนั้นไปปฏิบัติจริงได้ เขาจึงเก็บเอาความปรารถนาในใจมาปลดปล่อยกับลิซ่า ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นสาวคนโปรดของเจนรบ และเป็นคู่ขาที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีในสมรภูมิรักบนเตียง
“ลิซ่ารักเฮียจังเลย…” ลิซ่าหลับตาพริ้ม นอนซบหนุ่มใหญ่ที่กำลังเหม่อมองเพดานห้องสีขาว ในหัวของเขากำลังคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่วนเวียนเข้ามา โดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ที่เขาได้พบกับภาคภูมิ ปิยะวรรณ และปวีณา
เขารู้สึกว่าในบางครั้ง ปวีณาเองก็แอบมองเขาอยู่เหมือนกัน สายตาของเด็กสาวราวกับกำลังเชื้อเชิญเขาอย่างท้าทาย หรือบางทีคนอย่างเขาอาจจะคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้
“เฮียก็รักลิซ่าจ๊ะ” เจนรบจูบหน้าผากของลิซ่าอย่างแผ่วเบา “ทั้งสวยและแซ่บขนาดนี้ ถ้าเฮียได้เป็นเมียนะ เฮียรักตายเลย”
“จริงเหรอคะเฮีย!?” ลิซ่ายิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย “เฮียจะให้ลิซ่าเป็นเมียเฮียจริงๆ เหรอคะ?”
เจนรบเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่อยากให้คำพูดของตัวเองกลับมาทำร้ายเขาในภายหลัง จึงตัดสินใจกระทำกับสาวลิซ่าอีกครั้งอย่างหนักหน่วง เพื่อตอบแทนความเร่าร้อน และปลดปล่อยอารมณ์ปรารถนาที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจให้สงบลงเสียที และต้นตอของความสับสนอลหม่านและความปรารถนาต้องห้ามที่กำลังกลืนกินเขาทั้งหมดนี้...ก็คือหญิงสาวที่ชื่อน้องปลา ปวีณานั่นเอง
เวลาผ่านไปอีกราวสองปี น้องอุ้มบุญ กันยกร ในวัยสามขวบ กำลังอยู่ในช่วงวัยแห่งการเรียนรู้และพลังงานอันล้นเหลือ บ้านหลังใหญ่ของเจนรบและปวีณาที่เคยมีแต่ความสงบ (หรือความหวานชื่นของคู่รัก) บัดนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ เสียงเรียก “พ่อจ๋า” “แม่จ๋า” และเสียงวิ่งตึงตังของเจ้าตัวเล็กที่พร้อมจะสำรวจโลกกว้างตลอดเวลาเช้าวันเสาร์ เจนรบในวัยใกล้จะเกษียณอายุราชการ ถ้าหากเขารับราชการ แต่ในความเป็นจริงคือทนายความอาวุโสชื่อดังวัย 56 ปี ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเล็กๆ ที่ดังอยู่ข้างเตียง“พ่อจ๋า...ตื่น...เล่น...” น้องอุ้มบุญในชุดนอนลายการ์ตูน กำลังใช้มือป้อมๆ เขย่าแขนพ่อปลุก ดวงตากลมใสแป๋วแหววไร้เดียงสา“อุ้มบุญเหรอลูก?” เจนรบลืมตาขึ้น ปากก็ยิ้มรับลูกสาว แต่ร่างกายกลับประท้วงเบาๆ ด้วยความปวดเมื่อยหลังจากโหมงานเอกสารและเตรียมตัวสำหรับรายการทีวีมาทั้งสัปดาห์ “จ๊ะลูก...พ่อตื่นแล้ว...แต่อุ้มบุญให้พ่อพักอีกแป๊บได้ไหมจ๊ะ?”“ม่ายอาววว...เล่นเยย...” เด็กน้อยไม่ยอมง่ายๆ เริ่มปีนขึ้นมาบนเตียง ทิ้งตัวลงบนอกพ่ออย่างแรง“โอ๊ย!! จุกนะลูก!!” เจนรบร้องเบาๆ แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ คว้าตัวลูกสาวมากอดฟัด จั๊กจี้จนเสียงห
เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอเพียงชั่วพริบตาเดียว นางฟ้าตัวน้อยของบ้านทนายเจนรบและปวีณา—เด็กหญิงกันยกร หรือน้องอุ้มบุญ—ก็อายุครบหนึ่งขวบพอดิบพอดี จากทารกน้อยที่นอนร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขน วันนี้กลายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เริ่มตั้งไข่ หัดเดินเตาะแตะ และส่งเสียงอ้อแอ้เรียก “ป้อ” “แม่” ได้เป็นคำๆ สร้างความสุขและความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านหลังใหญ่ที่เคยเงียบเหงาได้อย่างน่าอัศจรรย์“ป้อ!! ป้อ!! แม่!!”“น่ารักน่าชังจริง ๆ ลูกพ่อ!!”“หนึ่งขวบแล้วน๊า น้องอุ้มบุญ!!”เช้าวันเกิดขวบปีแรกของน้องอุ้มบุญอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของแพนเค้กฟักทองเนื้อนุ่มที่ปวีณาตั้งใจทำให้ลูกสาวเป็นมื้อพิเศษ เจนรบนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สายตาจับจ้องมองสองแม่ลูกด้วยแววตาที่เปี่ยมสุข หนึ่งปีที่ผ่านมา เขาแทบไม่เชื่อว่าชีวิตของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ จากทนายความผู้เคยใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว มีแต่งานเป็นเพื่อน ตอนนี้เขากลายเป็น “พ่อ” เต็มตัว เป็นสามีของหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ และเป็นโลกทั้งใบของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังใช้มือเล็กๆ พยายามหยิบแพนเค้กเข้าปากอย่างเงอะงะ“ค่อย ๆ ซิจ๊ะลูกแม่ เลอะหมดแล้วเห็นไหม” ปวี
พาดหัวข่าวตัวไม้บนหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงหลายฉบับ และฟีดข่าวที่ร้อนแรงในโลกโซเชียลมีเดีย ต่างประโคมข่าว ‘วิวาห์หวานชื่น…ทนายดังต่างวัยคว้าลูกสาวเพื่อนสนิทเข้าประตูวิวาห์’ ภาพของเจนรบ ทนายความชื่อดังขวัญใจคนยากจน วัย 54 ปี ในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ยืนเคียงข้าง ปวีณา เจ้าสาวแสนสวยวัย 22 ปี ทายาทคนเล็กของนักธุรกิจรีสอร์ตหรูแห่งเชียงเหนือ ในชุดไทยล้านนาประยุกต์อันงดงาม กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์เพียงชั่วข้ามคืนคอมเมนต์หลั่งไหลเข้ามามากมายราวกับสายน้ำหลาก บ้างแสดงความยินดี บ้างตั้งคำถามถึงความเหมาะสม บ้างก็อดอิจฉาเจ้าบ่าวสูงวัยที่ได้ภรรยาสาวสวยราวกับนางฟ้ามาครองไม่ได้“อิจฉาคนแก่ว่ะ! มีดีอะไร สาวสวยถึงได้ยอมแต่งด้วย?”“สายเปย์รึเปล่า? แต่บ้านฝ่ายหญิงก็รวยนะ”“ไม่แน่...ฝ่ายชายอาจจะเกาะฝ่ายหญิงก็ได้ ใครจะรู้”“หรือว่าเขารักกันจริงๆ ความรักมันไม่เกี่ยวกับอายุหรอกน่า อย่าคิดอกุศลเลย”เจนรบและปวีณาเตรียมใจรับมือกับกระแสสังคมเหล่านี้ไว้แล้ว ทั้งคู่เลือกให้สัมภาษณ์กับสื่อเพียงไม่กี่แห่งเท่าที่จำเป็น โดยเน้นย้ำถึงความรักความเข้าใจที่ทั้งสองมีให้กัน และการยอมรับจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย พวกเขาไม่ได
“ทำไมหนูไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะว่าจะทำงานอยู่กรุงเทพ?” เจนรบเอ่ยปากถามปวีณา“หนูบอกแล้ว แต่พ่อกับแม่ไม่ยอม” ปวีณาตอบ “ลุงจะให้หนูทำยังไงละคะ?”ปวีณาบอกกับเจนรบว่าหลังจากเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ภาคภูมิและปิยะวรรณเรียกเธอกลับไป ช่วยงานธุรกิจรีสอร์ตทางบ้านที่เชียงใหม่ระหว่างรอรับปริญญาตรีและไปเรียนต่อปริญญาโทที่ อเมริกา เจนรบเริ่มรู้สึกว่ามันคือแผนการที่เพื่อนรักทั้งสองคิดเอาไว้ คือไม่ปฏิเสธ การคบหากันของเจนรบและปวีณา แต่จะใช้วิธีแยกให้คนทั้งคู่ห่างกันไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเจนรบและปวีณาก็ห่างจนต่อกันไม่ติดในวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ภาคภูมิส่งคนมาช่วยขนของกลับบ้านที่เชียงใหม่ และไม่เปิดโอกาสให้ปวีณาได้ร่ำลาเจนรบ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ช่วงเวลาที่แสนหวานของเจนรบและปวีณากำลังจะจบลง แต่โชคยังดีที่มีสื่อโซเชียล เลยทำให้เจนรบและปวีณาได้พูดคุยกันผ่านทางไลน์ เด็กสาวบอกกับเจนรบว่าพ่อกับแม่ต้องการให้เธอไปช่วยงานธุรกิจที่บ้านระหว่างรอรับปริญญา“ลุงจอม…” ปวีณาไลน์คุยกับเจนรบ “หนูว่าพ่อกับแม่กำลังพยายามกีดกันหนูจากลุง”“ไม่ต้องกลัวนะปลา” เจนรบไลน์ตอบ “ลุงจะขึ้นไปเชียงใหม่อีกครั้ง ไปคุยกับไอ้ภาคและเปิ้ล ลุง
ตอนนี้ปวีณากำลังศึกษาอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการประชาสัมพันธ์ในชั้นปีที่สี่ อีกแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น สาวน้อยก็จะเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี และเตรียมพร้อมสู่การเดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาภาคภูมิและปิยะวรรณตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการยอมเปิดทางให้เจนรบและปวีณาได้คบหากัน พอได้รับไฟเขียวจากเพื่อนรักและอดีตแฟนเก่าเช่นนั้น เจนรบก็รับปากว่าจะขอดูแลลูกปลาเป็นอย่างดี และจะรอคอยจนกว่าเธอจะเรียนจบปริญญาโท เมื่อถึงตอนนั้น คู่สามีภรรยาทั้งสองถึงจะยินยอมให้เจนรบและปวีณาได้ครองคู่กันฟังดูความรักระหว่างเจนรบและปวีณากำลังไปได้สวย แต่ว่าด้วยระยะทางและภาระหน้าที่ของแต่ละคน เจนรบวุ่นวายกับการเดินทางไปถ่ายทำรายการกฎหมายน่ารู้ทางโทรทัศน์ และล่าสุดเจนรบได้เปิดช่องยูทูบเพื่อทำเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อให้ความรู้ผู้คนทั่วไปเพื่อหารายได้เสริม ส่วนหนังสือกฎหมายที่เพิ่งตีพิมพ์ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนอ่าน ด้วยภาษาเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ก็เลยทำให้หนังสือกฎหมายของเจนรบได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองและสามตามลำดับฝ่ายเจนรบเอง ก็ครุ่นคิดว่าช่วงนี้แทบไม่ได้เจอปลาเลย งานของเขาก็ยุ่ง ส
หลังจากสอบเสร็จปลายภาคในช่วงชั้นปีที่สาม เจนรบตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป หนุ่มใหญ่ตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพมหานครมุ่งตรงสู่เชียงใหม่ เพื่อพูดคุยกับเพื่อนรักทั้งสองอย่างตรงไปตรงมาเสียที“ลุงจอม? ไหนลุงว่าจะรอให้หนูเรียนจบปริญญาตรีก่อนไง?” ปวีณาที่กลับเชียงใหม่ไปก่อนแล้วถึงกับตกใจ เมื่อทราบข่าวว่าลุงจอมตัดสินใจจะเดินทางตามมาด้วยเพื่อพูดคุยกับภาคภูมิและปิยะวรรณถึงเรื่องขอหมั้นหมายกับเธอก่อน “ถ้าพ่อกับแม่หนูรู้ หนูตายแน่!!”“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงคิดว่าไอ้ภาคกับเปิ้ลน่าจะมีเหตุผลพอ” เจนรบตอบ ขณะกำลังเตรียมขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวลุงต้องขึ้นเครื่องก่อน แล้วเจอกันที่เชียงใหม่นะคนดีของลุง”สุดท้ายปวีณาก็ไม่อาจทัดทานความต้องการของเจนรบได้ สาวน้อยเลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับปิยะวรรณผู้เป็นแม่ ที่รับรู้ทุกอย่างและมีเหตุผลมากพอที่จะรับฟังเธอ“มีอะไรเหรอจ๊ะปลา?” ปิยะวรรณที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจเอกสารในห้องทำงานของตัวเองเอ่ยปากถามลูกสาว“เอ่อ…หนูมีเรื่องสำคัญจะมาบอกแม่ค่ะ” ปวีณาเดินเข้ามาด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ