จนกระทั่งเธอปรากฏตัว...หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นไปกว่าผู้หญิงคนไหนๆ แต่กลับทำให้หัวใจที่เย็นชาของมาร์คัสสั่นคลอนอย่างไม่น่าเชื่อ
เธอชื่อ อันนา หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ ที่ต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโตจากพ่อที่ติดการพนันอย่างหนัก หนี้ที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ตรงหน้าของมาร์คัส คอร์วิโน่ ผู้ชายที่ทั้งน่าเกรงขามและอันตรายที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ วันนั้น อันนายืนตัวสั่นอยู่ในห้องทำงานสุดหรูของมาร์คัส แอร์คอนดิชันที่เย็นเฉียบไม่ได้ช่วยลดความประหม่าของเธอลงได้เลย สายตาคมกริบของเขากวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เหมือนกำลังประเมินสินค้าชิ้นหนึ่ง หัวใจของลัลนาเต้นรัวจนแทบทะลุออกมานอกอก "พ่อของเธอติดหนี้ฉันเท่าไร เธอรู้ใช่ไหม?" เสียงทุ้มต่ำของมาร์คัสเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด อันนาพยักหน้าช้าๆ "ค่ะ...หนึ่งล้านบาท" เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน มาร์คัสยกยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นเขี้ยวที่ซ่อนอยู่ "แล้วเธอจะเอาอะไรมาใช้หนี้ให้ฉัน ในเมื่อพ่อของเธอหนีหายไปแล้ว..?" อันเม้มปากแน่น ความสิ้นหวังเข้าครอบงำ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้ายนี้ "ฉัน...ฉันจะทำงานใช้หนี้ให้คุณค่ะ ไม่ว่าจะให้ฉันทำอะไร ฉันจะทำทุกอย่าง" มาร์คัสลุกขึ้นยืนช้าๆ ร่างสูงใหญ่ของเขาทอดเงาลงมาทาบทับอันนา เขาก้าวเข้ามาหาเธอช้าๆ จนระยะห่างระหว่างทั้งสองแทบไม่มี มาร์คัสยื่นมือออกไปเชยคางมนของเธอขึ้น ทำให้ดวงตากลมโตของลัลนาต้องสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขาอย่างจัง "ทุกอย่างเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูเธอ กลิ่นกายของเขาที่ปะปนกับกลิ่นบุหรี่และอำนาจคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้ลัลนาถึงกับขนลุกซู่ ในแววตาของมาร์คัส อันนาเห็นความต้องการบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ แต่ในความสิ้นหวัง เธอไม่มีทางเลือกอื่น "อันนาจะทำงานชดใช้ให้คุณมาร์คัสทุกอย่างค่ะทุกบาททุกสตางค์อันนาจะคืนให้" รอยยิ้มเยือกเย็นผุดขึ้นบนใบหน้าของมาร์คัส เขารู้สึกสนุกกับเกมนี้ ผู้หญิงคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยรู้จัก เธอไม่ได้เข้ามาหาเขาเพราะเงินทองหรืออำนาจ แต่เพราะความจำเป็น "ดี" มาร์คัสเอ่ยเพียงสั้นๆ ก่อนจะผละออกไป ร่างสูงใหญ่เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นเอกสารบางอย่าง "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะมาอยู่กับฉันที่คฤหาสน์ของฉัน" อันนาเบิกตากว้างอย่างตกใจ "คะ?" "หูหนวกหรือไง?" มาร์คัสเลิกคิ้วขึ้น "เธอเป็นของฉันแล้วลัลนา...จนกว่าหนี้จะหมด" คำพูดของมาร์คัสเหมือนก้อนหินที่ทุ่มลงมากลางใจของอันนา เธอรู้ดีว่าคำว่า "เป็นของฉัน" ของเจ้าพ่อมาเฟียอย่างเขา ไม่ได้หมายถึงแค่การทำงานใช้หนี้อย่างเดียวแน่นอน แต่ในวินาทีนั้น เธอไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากยอมจำนนต่อชะตากรรมที่โหดร้ายนี้ อันนา ในวัย 24 ปี ใช้ชีวิตอย่างขยันขันแข็ง เธอทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ทั้งเรียนและหาเลี้ยงตัวเองไปพร้อมๆ กัน แม้แต่วันหยุดก็ยังไม่มี เพราะเธอต้องเปิดร้านขายข้าวเล็กๆ ที่เป็นเหมือนหัวใจสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิตและอนาคตการเรียนมหาวิทยาลัยของเธอ "ข้าวแกงไหมจ๊ะ ข้าวแกงจ้ะ" เสียงใสตะโกนขายข้าวแกงหน้าบ้านของเธอเองดั่งเช่นทุกวันลูกค้าติดในรสชาดอาหารของอันนามาก จึงมีลูกค้าแน่นทุกวัน "วันนี้มีแกงอะไรจ้ะ น้องอันนา" ผู้ชายวัยทำงานชื่อณัฐวุฒิ มักจะมากินข้าวที่ร้านของอันยาเป็นประจำจำ "วันนี้มีแกงส้มกุ้ง ไข่ชะอม ต้มข่าไก่ ผัดผักกุ้ง พี่ณัฐวุฒิมาเลือกก้อนได้จ๊ะ"อันนาหันไปยิ้มหวานให้กับณัฐวุฒิแล้วเชื้อเชิญตามมารยาท "ได้ซิจ๊ะ" ชีวิตของเธอคงจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย หากไม่มีเรื่องบางอย่างที่ถูกซุกซ่อนไว้โดยผู้เป็นพ่อ พ่อของอันนา ติดการพนันอย่างหนัก เขาจมดิ่งสู่ห้วงแห่งความลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น พนันทุกอย่างที่มี แม้กระทั่งสิ่งที่อันนาไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือ...โฉนดที่ดินของบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ พ่อของเธอนำมันไปจำนองโดยที่อันนาไม่เคยระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย พ่อของอันนาสัญญากับตัวเองว่าจะไถ่ถอนคืนมา แต่คำสัญญานั้นกลับเลือนหายไปพร้อมๆ กับที่ก้อนหนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ "อย่าทำผมเลยครับนาย..! ผมจะหารีบเงินมาคืน"เสียงของคนอายุหกสิบปีพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกลัวปนอยู่ในน้ำเสียง "ฮึ! คุณดนัย คุณไม่เหลืออะไรแล้วไม่ใช่หรอครับ.."เสียงเหี้ยมเกรียมของมาเฟียตัวพ่ออย่างมาร์คัสเอ่ยขึึ้นด้วยท่าทีเรียบนิ่งแต่งแฝงไปด้วยรังสีอำมหิต "ผม ผม ผม...คือ .."เสียงหายใจติดขัด มือสั่นเทิ้มด้วยความหลัง เหงื่อออกไหลจนเต็มเสื้อ "ไม่ต้องพูดแล้วครับ คุณดนัย ถ้าคุณไม่เหลืออะไรแล้วคงต้อง...." มาร์คัสหยุดพูดเว็นจังหวะเพื่อข่มขวัญ จ้องมองลูกหนี้วัยสูงอายุตรงหน้าด้วยท่าทีกำลังประเมินศัตรู อันนาไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ในวันที่สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก วันที่ร้านข้าวของเธอกำลังยุ่งวุ่นวายที่สุด จู่ๆ ก็มีเงาร่างสูงใหญ่บดบังประตูร้าน กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำดูน่าเกรงขามเข้ามาในร้าน พร้อมกับชายคนหนึ่งที่ก้าวออกมาข้างหน้า ร่างกายกำยำ ใบหน้าคมคาย แต่แววตานั้นกลับดุดันราวกับพญาอินทรี เขามีกลิ่นอายของความเป็นลูกครึ่งที่ผสมผสานระหว่างความเถื่อนดิบแบบมาเฟียและความละเอียดอ่อนแบบลูกผู้ดี "นี่ใช่ร้านของ อันนา หรือเปล่า?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศในร้านเงียบกริบ อันนาเดินออกมาจากหลังร้าน หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นคนแปลกหน้ากลุ่มนี้ "ใช่ค่ะ...มีอะไรให้รับใช้คะ?" เธอพยายามเก็บซ่อนความประหม่าเอาไว้ ชายคนนั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของอันนา "พ่อของเธอติดหนี้ฉัน" คำพูดง่ายๆ สั้นๆ แต่กลับทำให้โลกทั้งใบของลัลนาหยุดหมุน หนี้? หนี้อะไร? พ่อติดหนี้ใคร? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของเธอ แต่ไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากถาม ชายคนนั้นก็โยนปึกกระดาษบางอย่างลงบนโต๊ะ "นี่คือเอกสารจำนองที่ดินของบ้านเธอ พ่อของเธอเอามาค้ำประกันหนี้ที่ติดฉันไว้"...อันนาถึงกับตาเบิกกว้าง ร่างกายแข็งทื่อเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ก้นกบ เธอค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แล้วมองลงไปบนผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตา ปรากฏคราบสีแดงเข้มเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง หัวใจของอันนาหล่นวูบด้วยความอับอาย เธอไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในห้องของมาร์คัส โดยเฉพาะต่อหน้าเขา"คุณมาร์คัส..." เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาเพราะความรู้สึกผิดปนกับความกลัว เธอรู้ว่ามาร์คัสเป็นคนรักความสะอาดมากแค่ไหนมาร์คัสที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบช็อกโกแลตชิ้นต่อไปถึงกับชะงัก เขามองตามสายตาของอันนา ก่อนที่ดวงตาคมกริบจะหยุดอยู่ที่คราบแดงบนผ้าปูที่นอน ใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง แต่แววตากลับฉายแววประหลาดใจระคนกับความไม่เข้าใจ"นี่มันอะไร?" มาร์คัสถามเสียงเรียบ แต่ความเย็นเยือกในน้ำเสียงนั้นทำให้อันนาตัวสั่น"อันนา...อันนาขอโทษค่ะ" อันนารีบพูดเสียงตะกุกตะกัก น้ำตาเริ่มไหลริน "อันนาไม่รู้ว่า...ไม่คิดว่ามันจะมาวันนี้..."อันนาพูดด้วยความรู้สึกผิดเพราะเธอกลัวว่าจะทำให้มาร์คัสรังเกียจมาร์คัสขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้โกรธอย่างที่อันนาคิด แต่เขากลับลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เตียง มองคราบเลื
มาร์คัสจ้องมองไปที่ใบหน้าหวานของอันนาที่นอนอยู่บนเตียง แล้วทวนคำว่าเธออยากกินช็อกโกแลต ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอมีสีเลือดฝาดแดงระเรื่อเพราะพิษไข้"คุณมาร์คัสขา อันนาขอกินช็อกโกแลตได้ไหม" อันนาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อย เพราะเวลาป่วยเธอจะอยากกินของหวานโดยเฉพาะช็อกโกแลต และไม่อยากทานข้าวเลยมาร์คัสจ้องมองอันนาตาไม่กะพริบ เขากำลังหลงผู้หญิงตรงหน้าอย่างโงหัวไม่ขึ้น นี่เป็นรอยยิ้มแรกที่อันนายิ้มให้เขา เพียงเพราะอยากกินช็อกโกแลตแค่นั้นหรือ แต่เขาก็ไม่ได้อนุญาตหรือปฏิเสธ“กินข้าวก่อน แล้วฉันจะพาไปซื้อช็อกโกแลต ตกลงไหม” มาร์คัสใช้กลยุทธ์เหมือนพ่อที่หลอกให้ลูกสาวกินข้าว“สัญญานะคะว่าถ้าอันนาทานข้าวหมดจะพาไปซื้อช็อกโกแลต” เธอดีใจจนยิ้มหวานในรอบสองสามวันที่ผ่านมา นี่เป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสที่สุด“อืม” เสียงทุ้มต่ำในลำคอเป็นเชิงว่ารับปาก ถ้าอันนาเป็นเด็กดี เขาสัญญาว่าจะดีกับเธอให้มากขึ้นกว่าเดิมอันนาดีใจจนลุกพรวด แต่ไม่ได้ดูร่างกายที่อ่อนแอของตัวเอง เธอจึงล้มพับนั่งลงข้างเตียง“โอ๊ย!” กลางลำตัวของเธอรู้สึกเจ็บแปลบ เพราะการระบมและอักเสบจากการเสียดสีที่รุนแรง เธอจึงต้องเงยหน้าขึ้นเหมื
หลังจากเสร็จภารกิจและกิจกรรมช่วงนั้นตลอดทั้งวัน อันนาเอาแต่นอนหลับเพราะเธอรู้สึกเจ็บระบม และเหมือนว่าความซวยของเธอจะไม่หมดแค่นั้น เพราะอยู่ดีๆ อันนาก็ไข้ขึ้นสูงและตัวร้อน"คุณหนูอันนาทานข้าวหน่อยนะคะ" ป้าสมศรีที่เดินขึ้นเอาข้าวมาให้อันนาบนห้อง แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน ป้าสมศรีจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาเอง ทำให้เห็นอันนานอนซม เหงื่อโทรมใบหน้า ป้าสมศรีเห็นสภาพใบหน้าที่ซีดเซียวจึงรีบเดินเข้าไปปลุกอันนา"คุณหนูอันนาคะ ป้าเอาข้าวมาให้" จังหวะที่เอื้อมมือไปแตะตัวของอันนา ทำให้ป้าสมศรีรู้ว่าอันนาตัวร้อนผ่าว เธอจึงตกใจและรีบไปแจ้งรายงานให้กับนายท่าน ของเธอ คือ มาร์คัส อย่างรวดเร็วมาร์คัสที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวในคฤหาสน์ หลังจากเสร็จกิจกรรมกับอันนาตลอดช่วงเช้า ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่าย กว่าๆ เมื่อเขารู้ว่าอันนาอยู่ๆ เกิดอาการไข้ขึ้นตัวร้อนอย่างไม่ทราบสาเหตุซึ่งใจจริงเขารู้สาเหตุอยู่แล้วว่านั่นน่าจะเกิดจากตัวเขา เขาจึงได้เชิญหมอประจำตระกูลมาที่บ้าน"ป้าสมศรี หมอมาหรือยังครับ" มาร์คัสหันมาถามป้าสมศรีที่ยืนอยู่ข้างๆ"คุณหมอกำลังมาค่ะคุณมาร์คัส" ป้าสมศรีหันมาตอบแล้วยืนโค
มาร์คัสยังคงไม่หยุด เขาก้มหน้าลงดูดดุนติ่งเสียวของเธออย่างไม่ลดละ ราวกับกำลังลิ้มรสของหวานที่ถูกใจ ร่างกายของอันนาบิดเร่าไปมาด้วยความทรมานปนสุข เธอเกร็งไปทั้งตัว มือทั้งสองข้างจิกผ้าปูที่นอนแน่นในที่สุด เมื่อความเสียวซ่านมาถึงขีดสุด ร่างกายของอันนาก็กระตุกเกร็งเกร็งไปทั้งตัวก่อนจะปลดปล่อยธารน้ำหวานออกมาเลอะหน้าของมาร์คัส ราวกับเป็นการบ่งบอกถึงจุดสูงสุดของความต้องการมาร์คัสเงยหน้าขึ้นจากกลีบกุหลาบที่บอบช้ำ ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยธารน้ำหวานนั้น เขายกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ก่อนจะใช้ลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองช้าๆ ดวงตาคมกริบจ้องมองอันนาที่นอนหอบหายใจอยู่ใต้ร่างด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยไฟปรารถนาที่ยังไม่มอดดับ"หวาน..." มาร์คัสเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาของเขาลุกโชนกว่าที่เคย "เธอทำให้ฉัคลั่ง อันนา"มาร์คัสไม่รอให้อันนาได้พักหายใจ เขาประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ดูดกลืนทุกเสียงครวญครางและหอบหายใจของเธอ ความดิบเถื่อนและความเร่าร้อนของเขาไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแม้แต่น้อย มือหนาข้างหนึ่งรวบร่างบอบบางของเธอให้แนบชิดกับกายแกร่ง อีกข้างหนึ่งจับเรียวขาของเธอให้ยกพาดบ่าอย่างไม่รีบร้อน"อื้อออ...!" อันนา
ผ้าถูกถอดทิ้งกรองลงบนพื้นเหลือเพียงกางเกงที่สวมใส่หน้าอกอวบอิ่มดูเย้ายวนเหมือนเชื้อเชิญให้มาร์คัสมาสัมผัสและเชยชมแอร์ที่ทำงานเย็นเฉียบกระทบกายของอันนา แต่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเย็นตามอุณหภูมิห้องเลยความเร่าร้อนที่ได้รับมาจากผู้ชายตรงหน้าทำให้อันนาล่องลอยเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยตัววนอยู่ในท้องมันทั้งสุขและเสียวในเวลาเดียวกันเหมือนมีไฟฟ้าโลดแล่นช็อตแปล๊บ ๆ ภายในร่างกายที่ร้อนระอุ อันนาทั้งกลัวและอยากจะหนีไปแต่แรงอารมณ์ของอันนาที่ถูกถ่ายทอดมานั้นมันทำให้เธอตกเป็นทาสของมาร์คัสในเวลานี้"ฮืม ...เด็กดี ..หวาน" มาร์คัสพูดเสียงเบาๆเอยชมอันนามันทำให้อันนารู้สึกเขินจนหน้าร้อนผ่าว"พอแล้วได้ไหมคะ..อ้าส์" อันนาที่เสียวกระสันจนครางส่งเสียงเย้ายวนออกมา ปากบอกให้พอ แต่พอโดนมาร์คัสหยอกเย้ายอดประทุมเธอก็แอ่นอกให้เขาอย่างเต็มใจร่างกายกับปากของเธอมันช่างตรงข้ามกันทุกระเบียบนิ้ว"หึ!" มาร์คัสเปล่งเสียงเย้ยหยันในลำคอออกมา เขาถูกอกถูกใจที่อันนาผู้หญิงที่เขาเลือกตอบสนองไวต่อความต้องการของเขา"เธอนี่มันร่าน! ฮืม..." สองมือหนาลูบไล้ผิวขาวเนียน จากสันหลังลงมาที่เอวคอดแล้วเลื่อนมาที่สะโพกงอน มาร์คัสบีบเค้นจนขึ้นเ
หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยมาคัสก็บอกให้อันนาเดินตามเขาไปที่ห้องทำงานคำพูดที่แสนเย็นชาการกระทำที่หยาบกระด้างเหมือนกับหินทุบลงพื้นมันทำให้อันนารู้สึกเกรงกลัวมาขัดขึ้นทุกวัน"ค่ะคุณมาร์คัส มีอะไรหรือเปล่าคะ" อันนารวบรวมความกล้าหลังจากเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ถามมาคัดออกไปตรงๆ"เซ็นซะ เอกสารที่เธอควรต้องเซ็น"มาร์คัสไม่อธิบายอะไรให้กับอันนาฟันแต่บอกให้อันนาเซ็นเอกสารที่อยู่ตรงหน้าของเธออันนาหยิบเอกสารขึ้นมาตั้งใจจะอ่านให้จบแต่มาร์คัสก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า "ไม่ต้องอ่านหรอก เอกสารเซ็นหนังสือสมรสของเราสองคน..!" มาร์คัสที่พูดจาเย็นชาไม่ได้สนใจอาการสีหน้าตกใจของอันนาเลย"แต่ว่าอันนายังไม่ได้ตกลงนะคะ" อันนาหันมาพูดกับมาร์คัสเพราะเธอรู้สึกไม่เป็นธรรมเหมือนโดนมัดมือชก"ไม่จำเป็นต้องตกลง เพราะชีวิตของเธอเป็นของฉัน ทุกตารางนิ้วในร่างกายเธอตอนนี้เป็นของฉัน!" อันนาเธอรู้สึกมือเหงื่อออกจนชุ่มทั้งตื่นเต้นทั้งโมโหอยากจะเอามือไปข่วนหน้าคนที่เย็นชายังมาร์คัดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย"ลงชื่อของเธอลงในหนังสือสัญญาสมรสนี้ให้เรียบร้อยแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น"มาร์คัสไม่ได้อธิบายอะไรทั้งสิ้น คำว่าดีขึ้นดี