เสี่ยวเยี่ยน...ราวกับคำต้องมนต์ สองมือเล็กรั้งร่างสูงให้ทิ้งตัวลงมาแนบชิด ริมฝีปากประกบแนบแน่น สอดปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดรึงอย่างเป็นเจ้าของสองมือสากของเซียวชิงเฟิงลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างกรุ่นกลิ่นหอมของดอกเหมย ปลดเปลื้องอาภรณ์คลุมกายของทั้งสองคน แล้วโยนลงจากเตียงอย่างคนคุ้นเคยไม่นาน เสียงผิวกายที่เสียดสีกันไปมาก็ดังประสานขึ้นพร้อมเสียงครางกระเส่า“ทะ ท่านพี่ อึก อือ” ฉินเจียวเยี่ยนครางเสียงหวิว เมื่อถูกเซียวชิงเฟิงเลื่อนริมฝีปากมาจุมพิตบริเวณซอกคอ ออกแรงจูบจนคอขาวเนียนแดงช้ำ ราวกับต้องการทิ้งรอยความเป็นเจ้าของดวงตาดอกท้อเปล่งประกายด้วยความพึงพอใจ เมื่อเห็นตราประทับที่เขาบรรจงสร้างขึ้น แล้วจึงได้เลื่อนริมฝีปากลงต่ำ เพื่อไปประทับตราในส่วนอื่นของร่างกายต่อไปฉินเจียวเยี่ยนที่ยังไม่รู้สิ่งใดก็ได้แต่นอนแอ่นกาย ปล่อยให้เซียวชิงเฟิงจุมพิตและลูบไล้เรือนร่างของนางตามปรารถนาเซียวชิงเฟิงฝังใบหน้าลงกลางร่องเนินเขากลางตัว สองมือประกบลงบนเนินเขาลูกงามทั้งสองข้าง พลางบีบเคล้นอย่างเป็นเจ้าของ บดเบียดฝ่ามือที่หยาบกร้านถูไถเม็ดอิ
ยามไฮ่ ร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีดำขลิบทองอันเป็นเอกลักษณ์เดินลิ่วกลับไปที่เรือนอี้หง บานประตูไม้ถูกผลักให้เปิดออกและปิดลงอย่างแผ่วเบา ดวงตาดอกท้อกวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างระหงในชุดบางเบากำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงกว้าง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บรรยากาศในเรือนอี้หงกำลังอบอุ่นพอดี แต่ภาพที่เขาเห็นกลับทำให้ร่างกายของเขาเริ่มร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุเซียวชิงเฟิงเหลือบมองร่างเล็กที่กำลังนอนตะแคง แก้มนุ่มถูกทับจนริมฝีปากยู่ยี่ อวดสัดส่วนโค้งเว้าจนน่าหลงใหล เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงอย่างเงียบเชียบตั้งแต่ที่เขาย้ายออกจากวังหลวงมาอาศัยที่จวนส่วนตัว เขาเคยคิดว่า อยู่ที่ใดก็ย่อมเหมือนกัน เป็นเพียงจวนที่ไว้สำหรับให้พักผ่อนกายาเท่านั้น แต่เมื่อมีฉินเจียวเยี่ยนมาอยู่ร่วมเรือน เขากลับรู้สึกว่า จวนที่เคยว่างเปล่ากลับเติมเต็มจนล้นปรี่เป็นจวนที่เขาไม่อยากจากไปที่ใดนาน หากจำเป็นต้องออกไป ก็อยากที่จะกลับมาให้ไวที่สุดหากเป็นแต่ก่อน เขาคงสั่งการแล้วควบม้าออกจากจวนเพื่อตรงไปยังเมืองซีเหยาทันทีที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองหลวง หากแต่ตอนนี้ ที่มีร่างแน่งน้อยร่วมเตียงเช่
“ฝ่าบาท เฟิงอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” โจวกงกงเดินเข้ามากราบทูลด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนยามที่ฮ่องเต้กำลังอ่านฎีกาการซ่องสุมกำลังของหย่งอ๋อง“เฟิงเอ๋อร์?” ฮ่องเต้เจิ้นหลงทวนคำด้วยความสงสัย “มาด้วยเรื่องใดกัน?”โจวกงกงส่ายหน้าเล็กน้อย “เฟิงอ๋องมิได้บอกพ่ะย่ะค่ะ”“มิใช่ว่าจะมาเอาคำตอบเรื่องของหย่งอ๋องหรอกนะ” ฮ่องเต้เจิ้นหลงบ่นอย่างระอาใจ แค่เขาส่งคนไปตามลูกชายตัวดีให้กลับมาต้อนรับแขกเหรื่อในงานมงคลของมันเองมันก็ดันโยนฎีกาซ่องสุมกำลังพลของหย่งอ๋องมาให้เขาจัดการ ด้วยข้ออ้างที่ว่า ให้เขาได้มีโอกาสสั่งสอนบุตรชายด้วยตนเองเฮอะ ดูก็รู้ว่า มันกำลังเอาคืนเขา!!โจวกงกงได้แต่ยกยิ้มอย่างเจื่อน ๆ “...”ฝ่าบาทจะรบกัน พวกกระหม่อมก็ขอนั่งแทะเม็ดแตงอยู่เงียบ ๆ ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ“ไป ไป เรียกให้เข้ามา” ฝ่าบาทโบกพระหัตถ์อนุญาตให้เข้าเฝ้าสุดท้าย ฮ่องเต้เจิ้นหลงก็พระทัยอ่อนกับโอรสองค์โปรดที่ประสูติกับชุยเสียนเฟย สนมสุดที่รักของพระองค์อยู่ดี
ตำแหน่งฮ่องเต้เป็นตำแหน่งที่เขาไม่เคยคิดฝันอยากจะแย่งชิงมาในมือแม้ในช่วงที่กำลังเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์เลือดร้อน เป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่แนวหน้าของสงคราม เคยมีบางครั้งที่อารมณ์ชั่ววูบ อยากยึดครองบัลลังก์เสียเอง เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายการปกครอง ให้มันเป็นไปดั่งที่เขาหวังไว้แต่ยิ่งนานวัน ได้เห็นเสด็จพ่อทรงงานอย่างหนัก บรรดาองค์ชายกระโจนเข้าสู่วังวนของอำนาจ เพื่อแก่งแย่งบัลลังก์มังกร ทั้งที่เสด็จพ่อยังมีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ เขาก็เริ่มเหนื่อยใจแม้แต่ฉีอ๋องที่มีหนิงซูเฟยให้การสนับสนุนแย่งชิงบัลลังก์ ยังต้องคอยระดมสมอง วางแผนการต่าง ๆ ลงทุนลงแรง เพื่อให้เสด็จพ่อโปรดปรานจนแต่งตั้งเป็นไท่จื่อส่วนเขาที่เป็นเพียงพระโอรสเลี้ยง เพราะพระมารดาของเขา ชุยเสียนเฟยสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ให้ประสูติเขาเมื่อนานมาแล้ว เบื้องหลังของเขาจึงไม่มีใคร ไม่มีผู้ใดคอยผลักดัน สั่งการให้เขาต้องวางตัวอย่างไร เพื่อให้ได้ตำแหน่งนั้นมาอิสระเป็นของเขาเสมอมา...แม้กระทั่งยามที่เขาได้รับอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวจากเสด็จพ่อในการจัดการกองกำลังซ่องสุมกำลังของเหล่าองค์ชายหรือท่านอ๋อง
ยามเซิน รถม้าของจวนเฟิงอ๋องจึงเดินทางกลับถึงจวน ฉินเจียวเยี่ยนมอบหมายหน้าที่ให้ชุนเถาพาเสี่ยวหงไปพักที่เรือนรับรอง เพื่อ ‘ดูอาการ’ ส่วนตนก็เดินกลับไปที่เรือนอี้หงอย่างคุ้นเคย“เอ๊ะ” ฉินเจียวเยี่ยนเหลือบเห็นตงไฮ่ยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าห้องหนังสือ “ท่านพี่กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ?”เท้าเล็กเปลี่ยนทิศทางตรงไปยังห้องหนังสือทันที“พระชายา” ตงไฮ่ประสานมือคำนับ “ท่านอ๋องประทับอยู่ในห้องพ่ะย่ะค่ะ”ตงไฮ่รายงานในทันใด เพราะตั้งแต่พระชายาย้ายเข้ามาอยู่ในจวน ครั้นเจอหน้าเจ้านายคนใดก็จะถามหาอีกฝ่าย จนสุดท้ายจึงเป็นที่รู้กันทั้งจวนว่า หากพบหน้าคนใดคนหนึ่งก็ให้รายงานไปเลยว่า อีกฝ่ายประทับอยู่ที่ใด“อา ท่านอ๋องยุ่งอยู่หรือไม่?”ตงไฮ่เม้มริมฝีปากอย่างลังเลในยามนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านอ๋องกำลังมีเรื่องหนักใจ ตามปกติแล้ว ท่านอ๋องจะห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนอย่างเด็ดขาด หากยามหน้าประตูยังอยากมีลมหายใจอยู่“ไม่ยุ่งพ่ะย่ะค่ะ” ตงไฮ่ตอบอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องเสียเวล
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ บานประตูของเรือนสาวใช้ก็เปิดออก หมอหลวงต่งเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ฉินเยี่ยนฟางรีบถลาไปสอบถามอาการของเสี่ยวหงในทันที“เสี่ยวหงมีอาการเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ท่านหมอสามารถรักษาได้หรือไม่เจ้าคะ? แล้ว...”“พี่หญิงใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ” ฉินเจียวเยี่ยนรีบพูดแทรกขึ้นมา “ให้หมอหลวงต่ง ท่านได้อธิบายเสียก่อน”ฉินเยี่ยนฟางราวกับได้สติ คุมลมหายใจให้สงบลง “อา ขออภัยท่านหมอหลวงเจ้าค่ะ ข้าเสียมารยาทแล้ว”“ข้าเข้าใจความเป็นห่วงของคุณหนูใหญ่ดีเจ้าค่ะ” หมอหลวงต่งระบายรอยยิ้มอ่อนโยนฉินเจียวเยี่ยนจึงได้ถามอาการแทน “แล้วอาการของเสี่ยวหงเป็นอย่างไรบ้าง?”“เฮ้อ อาการของนางช่างพิกลนัก มีไข้ขึ้นสูง ร่างกายร้อนผ่าว แต่นางกลับบอกว่า หนาวสะท้านถึงกระดูกตลอดเวลา” หมอหลวงต่งอธิบายอาการด้วยสีหน้าท่าทางที่หนักใจ “อีกทั้งยังมีรอยผื่นที่บริเวณใต้ร่มผ้าอีกด้วย”ฉินเยี่ยนฟางที่ยิ่งฟังอาการของสาวใช้คนสนิทก็ยิ่งมีสีหน้าซีดเผือด “ละ แล้วไม่ทร