เข้าสู่ระบบฮองเฮาใบหน้าดำคล้ำอย่างไม่น่ามอง นางมองดูพระโอรสที่คลอดมาเองอย่างนึกรังเกียจในความโง่เขลาของเขา
“หากเจ้าให้ความเป็นธรรมกับนางสักหน่อย อาอวี่นางจะหนีไปเช่นนี้หรือ หากตระกูลเซี่ยรู้เรื่องเข้า เจ้าจะทำเช่นใด”
“ลูกคิดว่านางเรียกร้องความสนใจ หึงหวงไม่เข้าเรื่องที่ลูกรับเจินเจินนางเข้าตำหนัก นางจึงหาเรื่องฆ่าตัวตาย”
“แล้วเรื่องที่นางถูกพิษเล่า เจ้าจะว่าเช่นใด”
“สาวใช้ของเจินเจินเป็นผู้นำอาหารเข้าไป แต่ลูกตรวจสอบแล้วนางไม่รู้เรื่องนี้”
“ยังจะกล้าแก้ตัวแทนนาง ข้าเตือนเจ้าแล้ว จะรอให้อาอวี่นางตั้งครรภ์ก่อนมิได้เลยหรือ พอนางมีบุตรของตนเอง นางจะมีสนใจหรือว่าเจ้าจะรับสตรีใด ชายารองของเจ้าก็เหลือเกิน ยังไม่ทันเข้าตำหนักก็เรียกร้องอยากได้เรือนพักของอาอวี่ เจ้าต้องโง่เพียงใดที่ยอมนาง เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ หากข้าออกหน้าความสัมพันธ์กับตระกูลเซี่ยคงจบสิ้น เจ้าไปตามนางกลับมาเสีย ที่เดียวที่นางจะไปคงเป็นจินเป่ย”
“ลูกก็คิดเช่นเสด็จแม่ จึงได้มาขอพระราชทานอนุญาตก่อนเดินทาง”
“ยังดีที่มีหัวคิด หากตามนางกลับมาไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมา หากชายารองของเจ้ายังสร้างเรื่องไม่เลิก อย่าหาว่าแม่ใจดำ” คงมีเพียงพระโอรสของนางที่โง่มองไม่ออกว่าโจวเจินนางมีเล่ห์เหลี่ยมเพียงใด
หนิงหวงออกจากวังหลวงก็พบองครักษ์รออยู่ที่หน้าประตูวัง
“พบร่องรอยของพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นางอยู่ที่ใด”
“เมืองหูเจียง กำลังเดินทางขึ้นเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
“เตรียมตัวออกเดินทาง”
หนิงหวงเร่งกลับตำหนัก ระหว่างที่นางกำนัลกำลังจัดเตรียมข้าวของให้เขาใช้ออกเดินทาง หนิงหวงก็ไปหาโจวเจินที่เรือนพักของนาง
“เจินเจิน ข้ามีงานที่ต้องไปทำ มิได้ไปเที่ยวเล่น จะพาเจ้าไปด้วยได้อย่างไร” เขาถอนหายใจออกมา มองหญิงคนรักที่อยู่ในอ้อมแขน
“องค์ชายรองคงไปตามพระชายากลับมา หม่อมฉันเข้าใจเพคะ หากหม่อมฉันติดตามไปด้วย นางคงจะไม่พอใจ” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ใช่เสียที่ไหน นางจะกล้าไม่พอใจเจ้าได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าระหว่างนางกับเจ้า ข้าต้องแลกเจ้า”
“แล้วเหตุใดถึงไม่ปล่อยนางไปเล่าเพคะ หากนางหายโกรธก็คงจะกลับมาเอง อีกอย่างหม่อมฉันยังมิได้เข้าห้องหอเลย บ่าวไพร่มีแต่มองหม่อมฉันด้วยสายตาดูแคลน”
“ผู้ใดกล้า ข้าจะควักลูกตามันทิ้งเสีย หากผิดใจกับตระกูลเซี่ยจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับข้า เจินเจินเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจ” โจวเจินสวมกอดหนิงหวงเอาไว้แน่น ใบหน้าของนางที่ซุกอยู่กับแผงของของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
หนิงหวงลุ่มหลงนางก็ด้วยนางทำตัวอ่อนหวาน เอาใจเก่ง ทั้งยังเข้าอกเข้าใจเขาเป็นอย่างดี ผิดกับเซี่ยเฟิงอวี่ ที่พบเจอเพียงครั้งแรกนางก็ปากเก่งกับเขาแล้ว และไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของเขาอีกด้วย
หนิงหวงเร่งรีบออกเดินทาง เพื่อจะไปให้ทันเฟิงอวี่ที่ยังออกเดินทางไปได้ไม่ไกล เขาคิดทบทวนหลายหนเรื่องที่นางสามารถออกจากเมืองหลวงโดยหลบสายตาของทหารและองครักษ์ของเขาได้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
“เอาจดหมายไปส่งให้ท่านพ่อข้า” พอส่งหนิงหวงออกไปแล้ว โจวเจินก็ให้สาวใช้ของนางกลับไปที่จวนตระกูลโจว
ตลอดการเดินทางของเฟิงอวี่ไม่ค่อยมีอุปสรรคอันใด นางเดินทางอย่างเร่งรีบจะหยุดพักก็เพียงให้ม้ากินน้ำ กินหญ้า และหยุดอีกครั้งก็เพื่อหาที่พักก่อนที่ฟ้าจะมืด
ระหว่างการเดินทางในวันที่สิบ สัญชาตญาณก็บอกนางว่าด้านหน้ามีอันตรายรออยู่ นางดึงบังเหียนม้าให้หยุดลงอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเยว่ที่ตามมาด้านหลังเกือบจะเสียหลักบังคับม้าชนนาง
“เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ”
“เสี่ยวเยว่ รับไว้ เจ้าไปหาที่หลบ ไม่ว่าได้ยินเสียงใดห้ามออกมา เข้าใจหรือไม่”
“คุณหนู มันเรื่องอันใดเจ้าคะ”
“มีมือสังหาร” นางยิ้มเย็นออกมา รอยยิ้มเช่นนี้เสี่ยวเยว่เห็นตอนที่นางฆ่าบุรุษทั้งห้าคนทิ้ง
“ให้บ่าวไปตามคนมาช่วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องมีไม่มาก อย่าได้ช้า ข้าไม่อยากพะวงเรื่องเจ้า” เฟิงอวี่ผลักตัวเสี่ยวเยว่ให้นางไปหาที่ซ่อน
เป็นเวลาเดียวกับที่มือสังหารออกมาจากที่ซ่อน เมื่อเห็นว่านางรู้ตัวแล้ว
“หึ ให้มาฆ่าสตรีเพียงคนเดียว ต้องพาคนมามากเช่นนี้เลยหรือ” หนึ่งในนั้นถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างดูแคลน
พวกมันเป็นมือสังหารว่าจ้าง ง่ายที่รับมาจากรองเจ้ากรมพิธีการโจว ไม่คิดว่าจะเป็นการสั่งหารสตรีเพียงคนเดียว เงินค่าจ้างถึงจะมาก แต่ใช้คนถึงยี่สิบคนก็นับว่ามากเกินไป
มีดสั้นในมือของเฟิงอวี่ ปักเข้ากลางศีรษะของมันราวกับจับวาง เสียงสูดลมหายใจของคนที่เหลือดังขึ้น แม้เสี่ยวเยว่ที่ซ่อนตัวยังได้ยิน
เฟิงอวี่นางไม่ปล่อยให้พวกมันมีเวลาคิด ตอนนี้นางอยู่กลางถนนที่ชาวบ้านใช้เดินทาง จึงไม่อาจจะนำปืนออกมาใช้ได้ ไม่เช่นนั้น ชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่คงได้สงสัยที่มาของอาวุธหน้าตาประหลาด
อาวุธลับถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว มือสังหารที่หลบไม่ทันต่างก็พากันล้มลงราวกับใบไม้ที่ร่วงสู่พื้น
มือสังหารเห็นว่าเฟิงอวี่นางไม่ได้จัดการง่ายอย่างที่คิด จึงพากันบุกเข้ามาพร้อมกัน ระหว่างที่นางต่อสู้อยู่นั้นไม่ทันได้มอง มีสองคนที่พุ่งเป้าไปทางเสี่ยวเยว่แทนนาง
“กรี๊ดดดด” เสียงร้องของเสี่ยวเยว่ ทำให้เฟิงอวี่เสียสมาธิ
นางหันไปมองด้านหลัง ทำให้เปิดช่องว่างให้มือสังหารลงดาบมาที่หลังของนาง
“อึก...” ดวงตาของนางหรี่ลง ก่อนจะหมุนตัวกลับไปแทงเข้าที่หน้าอกของมือสังหาร
ราวกับเลือดขึ้นหน้า ปืนปรากฏขึ้นในมือของเฟิงอวี่ นางลั่นไกออกไปโดยไม่หยุดคิดถึงเรื่องที่จะตามมาภายหลัง เสียงกัมปนาททำให้มือสังหารที่กำลังจับตัวเสี่ยวเยว่มาต่อรองกับนางหยุดชะงัก
เสี่ยวเยว่นางจึงมีโอกาสใช้มีดที่เฟิงอวี่ให้มาแทงเข้าไปที่ตัวของมือสังหาร แต่นางแทงไม่ถูกจุดตาย ก่อนที่ดาบในมือสังหารจะฟันลงมาที่ร่างของเสี่ยวเยว่ ลูกปืนก็ทะลุผ่านร่างของเขาไป
กว่าจะจัดการกับมือสังหารที่เหลือได้ ร่างกายของเฟิงอวี่ก็เกือบจะประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ นางเสียเลือดไปไม่น้อย
เฟิงอวี่นางเดินถือปืนในมือเข้าไปหามือสังหารที่ยังไม่ตายในทันทีช้าๆ ใบหน้าที่ดุดันของนาง ราวกับปีศาจร้ายที่จะเข้ามาเอาวิญญาณของมันไป มือสังหารได้แต่ถอยตัวหนี แต่ก็ถูกมีดสั้นที่เฟิงอวี่เพิ่งจะนำออกมาปักลงบนหัวเข่าของมันเสียก่อน
“อ๊ากกกกกก”
“ผู้ใดส่งเจ้ามา” ความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้ไม่ได้ยินสิ่งที่นางถาม
เฟิงอวี่หมุนใบมีดช้าๆ ราวกับจะคว้านเอาลูกสะบ้าออกมาให้ได้
“อ๊ากกกกก”
“ข้าถามว่าผู้ใดส่งเจ้ามา”
“รอง รองเจ้ากรม เจ้ากรมพิธีการโจว อ๊ากกกก” หัวสะบ้าหลุดกระเด็นออกมาด้านนอก
เฟิงอวี่หยิบเข็มฉีดยาระงับความเจ็บออกมาฉีดให้มือสังหาร นางไม่ต้องการให้มันตาย นางต้องการใช้เป็นหลักฐานเอาความผิดกับสองพ่อลูกตระกูลโจว
ร่างของเฟิงอวี่โงนเงนจะล้มลง เสี่ยวเยว่รีบวิ่งเข้ามาหมายจะประคองนางเอาไว้
“คุณหนู!!! ท่านได้รับบาดเจ็บ”
“ยะ อย่า อย่าเข้ามา อย่าโดนเลือดข้า” นางกัดฟันถอยห่างจากเสี่ยวเยว่
“เหตุใดเล่าเจ้าคะ หะ ให้บ่าวดูแผลท่านหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวเยว่เลือดข้ามีพิษ เจ้าถูกจะตายในทันที” ฝ่ามือของเสี่ยวเยว่ชะงักนิ่ง
“บ่าวไม่กลัวตาย” เป็นเพราะนาง เฟิงอวี่ถึงได้รับบาดเจ็บ
“ประคองข้าเข้าไปในป่า อย่าให้โดนเลือดเด็ดขาด”
หนิงหวงถอนหายใจออกมา เขากดสูดดมที่เส้นผมของเฟิงอวี่ก่อนจะเอ่ยตอบ“ข้าจะหลอกเจ้าเพื่ออันใด ข้าไม่คิดจะขึ้นนั่งบัลลังก์ด้วยซ้ำ ตอนนี้เสด็จพ่อได้รับน้ำวิเศษอยู่ตลอด คงจะไม่ลงจากบัลลังก์ง่ายๆ ข้าคิดเอาไว้แล้ว ว่าจะให้โยวอี้เริ่มเรียนรู้งานกับเสด็จพ่อตั้งแต่ยังเล็ก ต่อไปก็ให้เขาทำหน้าที่แทนข้าเลย”“ท่านคิดดีแล้วหรือ” เฟิงอวี่อดที่จะมองอย่างสงสัยไม่ได้ บัลลังก์ไม่ว่าผู้ใดก็อยากจะครอบครอง อย่างรุ่ยอ๋องที่คิดก่อกบฏจนตัวตาย พี่น้องของหนิงหวงแม้จะเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บอย่างดี แต่ต่อไปจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่คิดอยากจะแย่งชิง“ข้าเบื่อปั้นหน้าเต็มที เจ้าเห็นข้ายินดีหรือตอนที่ต้องเข้าท้องพระโรงทุกวัน ข้าอยากจะนอนกอดเจ้าต่ออีกหน่อยก็ทำไม่ได้”“อืม...ข้ามีเรื่องดีจะบอกท่าน” เฟิงอวี่ดันตัวออกมาจากอ้อมแขนของหนิงหวง พร้อมทั้งดึงมือหนิงหวงไปวางที่ท้องของนาง“จริงหรือ” หนิงหวงเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ“อืม ข้าตั้งครรภ์” นางยิ้มกว้างออกมาเสียงหัวเราะของหนิงหวง ทำให้เด็กทั้งสามที่เล่นอยู่ในลานด้านข้างศาลาริมน้ำ วิ่งเข้ามาภายในศาลาอย่างสนใจ เมื่อรู้ว่าเสด็จแม่ของตนตั้งครรภ์อีกแล้ว เด็กทั้งสามก็กระโดดไปรอบๆ ตัวหนิง
วันที่เซี่ยเหลี่ยงเดินทางกลับชายแดนเหนือ เฟิงอวี่นางมอบระเบิดมือให้เขาไปนับสิบลูก ทั้งยังสาธิตและสอนให้เขาระวังในการเคลื่อนย้ายเช่นใดจะได้ไม่เกิดอันตรายขึ้นด้วยรู้ดีว่าแคว้นต้าฉี ต้องการจะทำสงครามกับแคว้นต้าซ่ง หากสงครามไม่เกิดขึ้น พี่ชายของนางก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงตายอยู่ในสนามรบ ชีวิตของทหารและชาวบ้านก็จะได้ไม่ต้องล้มตายหรืออยู่กันอย่างหวาดกลัวเฟิงอวี่นางพาเซี่ยหร่วน เซี่ยเหลี่ยงและหนิงหวง ออกไปลองใช้ระเบิดมือที่ภูเขานอกเมือง พื้นที่โดยรอบไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันใดยามที่เฟิงอวี่นางขว้างระเบิดมือออกไป หินก้อนใหญ่เท่าเรือนหนึ่งหลังก็แตกออกเป็นหลายเสี่ยง พร้อมด้วยเสียงกัมปนาทที่ราวกับฟ้าจะถล่มลงมา พื้นที่รอบด้านสั่นสะเทือนจนรู้สึกได้ภายในเมืองหลวงและหมู่บ้านใกล้ๆ ต่างก็ได้ยินเสียง ทุกคนออกมาดู พร้อมหาต้นเสียงว่ามาจากที่ใดก็หาไม่พบ“วิเศษนัก!!! เช่นนี้ แคว้นต้าฉีกับชนเผ่านอกด่านก็ไม่กล้ารุกรานแล้ว” เซี่ยเหลี่ยงร้องออกมาอย่างยินดี“ท่านต้องใช้อย่างระวัง หากตกใกล้ตัวเกินไป หากไม่ตายก็ต้องพิการ ข้าให้ท่านเพื่อใช้ข่มขู่เท่านั้น ระเบิดหนึ่งลูกสามารถคร่าชีวิตคนได้น
ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว เด็กทารกในครรภ์ดูเหมือนจะอยากออกมาเต็มที่ ยังดีที่ทั้งสองออกมาจากมิติได้ทัน พอเฟิงอวี่นางขึ้นนอนบนเตียง เสียงเด็กก็ร้องดังลั่นไปทั่วเสี่ยวเยว่กับเถามามาที่ย้ายมานอนเฝ้าอยู่หน้าห้องวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ ยังดีที่หนิงหวงสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“อุแว้ อุแว้”“ว้ายยยยย คลอดแล้ว” เสี่ยวเยว่กรีดร้องออกมามีเพียงเถามามาที่ยังได้สติ นางผลักตัวเสี่ยวเยว่ให้รีบไปตามหมอตำแยเข้ามาในห้อง แล้วรีบไล่หนิงหวงที่ยังยืนมองอย่างตกตะลึงให้ออกไปด้านนอก ก่อนจะเข้าไปรับเด็กที่ไหลออกมาจากช่องคลอดของเฟิงอวี่เอาไว้ตำหนักบูรพาวุ่นวายในชั่วพริบตา ต่างไม่มีสัญญาณเตือน หรือได้ยินเสียงร้องของเฟิงอวี่เลยสักนิด ได้ยินเพียงเสียงเด็กน้อยที่ร้องลั่นประท้วงที่ไม่มีคนรอรับเขาตอนออกมาจากท้องของมารดาฮ่องเต้กับฮองเฮาที่เข้านอนไปแล้ว ต่างก็รีบร้อนมาที่ตำหนักบูรพา เมื่อมาถึงก็เห็นหนิงหวงก็อุ้มพระโอรสที่ล้างตัวเรียบร้อยแล้วเอาไว้ในอ้อมแขน“คลอดง่ายหนัก” ฮองเฮาฟังเรื่องของเฟิงอวี่ก็ได้แต่นึกอิจฉา ยามที่นางคลอดหนิงหวงเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ฮ่องเต้จึงไม่ให้นางตั้งครรภ์อีกเลยคนตระกูลเซี่ยก็เร่งรีบมาทั
เฟิงอวี่นางเข้าชมการประหารในวันนี้ด้วย โดยไม่สนใจคำห้ามปรามของฮองเฮาและมารดาของตนเลย“เจ้าจะมาเพื่ออันใด สตรีตั้งครรภ์สมควรเห็นเรื่องพวกนี้หรือ” เซี่ยหร่วนได้แต่ตำหนิบุตรสาวของตน เถามามาและเสี่ยวเยว่ที่อยู่ด้านหลังพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนหน้าที่จะมา บ่าวทั้งสองต่างห้ามปากจนเสียงแทบจะไม่มีแล้ว แต่เฟิงอวี่นางมีหรือที่จะฟัง“หากข้าไม่ได้เห็นนางตาย ข้าคงหลับไปสนิท” นางจะไม่อยากเห็นคนที่ทำให้ชีวิตของนางต้องพบเจอเรื่องร้ายมากมายตายด้วยตนตนเองได้อย่างไรเซี่ยหร่วนถอนหายใจออกมา หากตนเองถูกกระทำเช่นบุตรสาวก็คงอยากจะเห็นจุดจบของมันผู้นั้นเช่นกันก่อนจะทำการประหาร นักโทษที่ใกล้ตายล้วนแต่ได้รับสิทธิ์ให้พูดความในใจหนึ่งประโยค ที่ผ่านมาต่างก็พูดขอความเมตตาหรือไม่ก็พูดขอโทษในสิ่งที่ตนเองทำลงไปแต่ไม่ใช่กับรุ่ยอ๋อง เขารอเวลานี้มานาน“สิ่งที่เปิ่นหวางลงมือทำไป ไม่เคยนึกย้อนเสียใจ อาหวง หลานชายข้า...หึหึ” รุ่ยอ๋องมองไปที่โจวเจิน ก่อนจะถอนสายตากลับมา“พระชายารองของเจ้าช่าง...อึก” เขายังไม่ได้พ่นประโยคน่ารังเกียจออกมา ก็ถูกมีดสั้นที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศใดพุ่งเสียบทะลุคอของเขาเสียแล้วชาวเมืองและขุนนางหลาย
คนของรุ่ยอ๋องไม่มีผู้ใดคิดจะขัดขืน นอกจากวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ก็ถูกจับตัวกลับมาได้ทั้งหมด หนิงหวงเดินไปหยุดตรงหน้ารุ่ยอ๋อง สายตาที่จ้องมองร่างที่นอนเจ็บปวดอยู่บนพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับมองคนตาย“เรื่องสกปรกที่ท่านทำ คิดว่าผู้อื่นไม่รู้หรือ เพียงแค่ไม่มีผู้ใดอยากจะพูดให้เสียปากเท่านั้น”รุ่ยอ๋องจ้องมองหนิงหวงอย่างโกรธแค้น แต่ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา ในมือของหนิงหวงยังถืออาวุธประหลาดมาทางเขาอยู่องครักษ์พ่านเดินเข้าไปลากตัวรุ่ยอ๋องที่ยังคงนอนเจ็บปวดอยู่ที่พื้น ลากออกไปจากป่า เพื่อไปรับโทษ ตลอดทางที่พาตัวไปขังในคุกหลวงในวัง รุ่ยอ๋องมิได้พูดสิ่งใดออกมาอีก ความเจ็บปวดที่บาดแผลและเสียเลือดไปจำนวนมาก ทำให้เขาไร้เรี่ยวแรงที่จะปากดีชาวเมืองเมื่อรู้ข่าวว่ากบฏรุ่ยอ๋องถูกจับกุมตัวแล้ว ต่างก็ออกมาโห่ร้อง และด่าทอตลอดทางที่รุ่ยอ๋องถูกคุมตัว หนิงหวงที่ได้รับคำสรรเสริญสีหน้าของเขาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เซี่ยหร่วนและเซี่ยเหลี่ยงต่างก็ถอนกำลังทหารที่ปิดล้อมตามประตูเมืองต่างๆ ไปรวมตัวกับหนิงหวงที่วังหลวงขุนนางเกือบทั้งหมดยามนี้อยู่ภายในวังหลวงอยู่ก่อนแล้ว เมื่อรุ่ยอ๋องถูกคุมตัวมาถึงฟ้าด้านนอกก็มืดสนิท
ยิ่งเห็นพวงแก้มที่แดงระเรื่อของฮองเฮา เฟิงอวี่เกือบอดใจไม่ไหว ยื่นมือไปหยิกแก้มนางเสียแล้ว“ออกกันไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะให้องครักษ์พ่านไปเชิญฝ่าบาทมาที่ตำหนักของพระองค์”ฮองเฮาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะพากันออกไปด้านนอก เมื่อออกมาแล้ว เฟิงอวี่นางเรียกนางกำนัลคนที่ไปตำหนักนางเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะให้ไปหาผ้ามาปิดหน้าให้ฮองเฮา ด้วยยังไม่สะดวกไล่นางกำนัลคนอื่นออกไปในยามนี้ กลัวว่าจะมีคนคิดร้ายขึ้นมาอีกเฟิงอวี่เองก็สั่งความองครักษ์พ่านให้ไปเชิญฮ่องเต้มาที่ตำหนักของฮองเฮาอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกฮ่องเต้คิดว่าฮองเฮามีอาการไม่สู้ดี แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องด้านข้าง เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของนางก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้“กะ เกิดอันใดขึ้น” ฮ่องเต้เดินเข้าไปจับไหล่ของฮองเฮาเอาไว้“นี่อย่างไรเล่า ที่หม่อมฉันกำลังจะบอกพระองค์”ฮองเฮาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮ่องเต้ฟัง ก่อนจะพากันเข้าไปในมิติของเฟิงอวี่เพื่อแช่ตัว ฮ่องเต้เองก็ตกตะลึงไม่แพ้ฮองเฮา แต่เพียงไม่ได้กรีดร้องออกมา เฟิงอวี่นางไม่ต้องติดตามฮ่องเต้ไปแช่ตัว ด้านข้างพระองค์มีฮองเฮาคอยดูแลอยู่แล้ว จึงเข้าไปนั่งรออยู่ภายในอาคารเพียงไม่นานทั้งสองพระอง







