เฉียวเนี่ยนไม่รู้ว่านี่ใช่วิธีที่ดีที่สุดหรือไม่ รู้เพียงแค่หลังจากราชโองการพระราชทานสมรสถูกประกาศออกมาแล้ว คนที่ดีใจมีเพียงเกอซูอวิ๋นคนเดียวเท่านั้นอีกทั้งสิ่งของสำหรับการแต่งงานถูกพระราชทานมามากมายแล้ว แต่เกอซูอวิ๋นก็ยังคงเซ้าซี้ให้เฉียวเนี่ยนออกมาเดินถนนด้วย “ข้าได้ยินว่าหญิงสาวแคว้นจิ้งพอแต่งงาน มีกฎระเบียบมากมายเลย! เนี่ยนเนี่ยนคนดี เจ้าพาข้าไปดูหน่อยเถอะ! ข้าอยากเห็นว่าหญิงสาวแคว้นจิ้งแต่งงาน ต้องเตรียมของมากมายแค่ไหน!”ในใจของเกอซูอวิ๋น การแต่งงานครั้งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดเฉียวเนี่ยนไม่อาจขัดใจนางได้ ก็เลยจำต้องพาหนิงซวงไปด้วย แล้วออกเดินทางพร้อมกับนางตอนนี้เพิ่งเลยเทศกาลปีใหม่ได้แค่วันที่ห้า หิมะริมถนนยังไม่ละลาย ลมหนาวพัดมา ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นหนิงซวงนำเสื้อคลุมมาคลุมให้เฉียวเนี่ยน แล้วหยิบอีกตัววิ่งตามไปหาเกอซูอวิ๋น “ว้าย องค์หญิงเดินช้าหน่อย รีบคลุมเสื้อคลุมนะเพคะ อย่าให้หนาวจนไม่สบายไปนะเพคะ!”แต่เกอซูอวิ๋นกลับไม่สนใจ “ลมที่กลุ่มชนเตอร์กิกหนาวกว่าที่นี่มากนัก ข้าไม่กลัวหนาวหรอก! อ๊ะ อันนี้ช่างสวยจริงๆ!”นางพูดพลางก้าวเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับริมถนน ห
และตอนนี้ แคว้นจิ้งก็มีท่านอ๋องเพิ่มขึ้นอีกคน พี่ชายทั้งหลายเขียนมาในจดหมายบอกว่า นางเพียงแค่แต่งให้ท่านอ๋องแห่งแคว้นจิ้งก็จะไม่ฆ่านาง เช่นนี้แสดงว่าชีวิตนางรอดแล้ว!ยิ่งไปกว่านั้น เนี่ยนเนี่ยนบอกว่าเขาเป็นคนดี เช่นนั้นย่อมเป็นคนดีแน่แม้จะไม่ชอบนาง แต่ก็เป็นคนดีที่ไม่ดุด่าทุบตีนาง!เมื่อเห็นเกอซูอวิ๋นดีใจถึงเพียงนี้ เฉียวเนี่ยนก็ไม่อาจเอ่ยอะไรต่อได้จนกระทั่งฉู่จืออี้กลับมา นางจึงรีบไปยังห้องหนังสือ พบกับฉู่จืออี้“พี่ใหญ่ เรื่องของท่านพี่เซียว ท่านได้ยินแล้วหรือไม่?” นางรีบถาม ก็เพื่ออยากรู้คำตอบเซียวเหอ ที่แท้แล้วใช่เพราะนางหรือไม่?ฉู่จืออี้มิได้ปิดบัง เขาเล่าคำที่เซียวเหอพูดให้ฟังทั้งหมด“เป็นเพราะอยากช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเจ้ากับข้าแน่แท้ แต่เขาก็พูดว่า มิใช่เพื่อเจ้าและข้าโดยสิ้นเชิง”เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วแน่น พลางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง “ข้าติดหนี้ท่านพี่เซียวมากเกินไปแล้ว”ครั้งนั้นท่านพี่เซียวเพื่อช่วยนาง จึงแต่งนางเข้ามาครานี้กลับก็เพื่อช่วยนางอีก จึงต้องแต่งกับเกอซูอวิ๋นครั้งก่อนที่แต่งกับนางเป็นข้อตกลงกันของคนสองคนแต่การแต่งกับเกอซูอวิ๋นกลับเป็นกา
ฮ่องเต้ก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าทั้งคู่จะหารือกันแล้วเอาปัญหานี้โยนมาให้พระองค์มองดูเซียวเหอที่คุกเข่าอยู่ในห้องทรงอักษร ฮ่องเต้โกรธจนเกือบจะตบโต๊ะ “อ๋องต่างราชสกุลรึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องมีผลงานความชอบยิ่งใหญ่เพียงใดจึงจะสามารถแต่งตั้งอ๋องได้?”แม้แต่เมื่อนานมาแล้วที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแต่งตั้งองค์ชายฉู่จืออี้ขึ้นเป็นท่านอ๋อง ก็เป็นเพราะฉู่จืออี้เกือบตายที่กลุ่มชนเตอร์กิก แต่กลับอาศัยกำลังตนเพียงคนเดียวตัดศีรษะผู้นำกลุ่มชนเตอร์กิกมาได้!นั่นต้องเป็นผลงานเทียบเท่าแม่ทัพหมาป่าเท่านั้นถึงจะได้ตำแหน่งอ๋องมา!หากจำต้องแต่งตั้งคนจากตระกูลเซียวเป็นอ๋องต่างราชสกุล เมื่อคิดดูแล้ว ก็เป็นเซียวเหิงที่มีคุณสมบัติมากกว่า“หากมิใช่เพราะปีนั้นกระหม่อมบาดเจ็บที่ขา ต่อให้เป็นความชอบทางการทหารที่ยิ่งใหญ่เพียงใด กระหม่อมก็ย่อมสามารถหามามอบแก่ฝ่าบาทได้”เซียวเหอเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนเขารู้อยู่เสมอ ว่าโรคขาของเขาเป็นเสมือนเสี้ยนหนามในใจของฮ่องเต้ถึงตอนนี้จะรักษาหายแล้ว แต่ก็เสียเวลาชีวิตไปถึงห้าปีเต็ม ฮ่องเต้ย่อมเจ็บปวดใจยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มิได้พูดเพ้อเจ้อความสามารถของเซียวเหิง เก้าในสิบล้วนมาจาก
ต่อมา เขาก็ปลอบใจตัวเอง ต่อให้ช่วยเมิ่งอิ้งจือออกมาได้แล้วจะอย่างไรเล่า?จวนเซียวจะเลี้ยงดูบุตรีที่เป็นบ้าแห่งตระกูลเมิ่ง หลานสะใภ้ที่เป็นบ้าแห่งตระกูลวั่นได้อย่างไร?สู้รอให้เนี่ยนเนี่ยนกลับมาดีกว่า เนี่ยนเนี่ยนย่อมต้องรักษาเมิ่งอิ้งจือให้หายได้แน่ดังนั้น วันแล้ววันเล่าในที่สุดเนี่ยนเนี่ยนก็กลับมาแล้วแต่เมิ่งอิ้งจือกลับ...ต่างก็ว่าแม้เสือร้ายยังไม่กินลูกตัวเองเขาไม่เคยคิดเลยว่าเมิ่งซ่างซูจะเป็นคนเลือดเย็นถึงเพียงนี้เป็นเขาเองที่ทำร้ายเมิ่งอิ้งจือเห็นว่าเซียวเหอเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความทรงจำที่ไม่ชวนให้รำลึก ฉู่จืออี้จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “ไม่มีใครคาดคิดว่าเมิ่งอิ้งจือจะตาย”แม้แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดไม่เช่นนั้น วันนั้นเขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้เมิ่งซ่างซูพาตัวนางไปแน่รู้ว่าฉู่จืออี้กำลังปลอบโยนตน เซียวเหอจึงพยักหน้ายิ้ม แต่กลับถามขึ้นว่า “เช่นนั้น เรื่องที่พิษในกายข้าเริ่มแพร่กระจายออกไป ท่านอ๋องได้บอกเนี่ยนเนี่ยนแล้วหรือไม่?”ข้อมือของเขา เริ่มเย็นขึ้นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนดังนั้นวันนั้นที่เฉียวเนี่ยนกลับมาแล้วพยายามแตะข้อมือเขา เขาจึงขัดขืน หลบเลี่ยง ถึงขั้นถอดสร้อยข้อม
ฉู่จืออี้เดินตรงเข้าไปหาเขาเซียวเหอทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คารวะท่านอ๋อง”“ไปกันเถอะ”ฉู่จืออี้เอ่ยเสียงทุ้มแล้วก็ก้าวเดินนำไปเองเซียวเหอชะงักเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าฉู่จืออี้หมายความให้เดินคุยไปด้วย จึงยกยิ้มแล้วก้าวตามไปแน่นอนว่าหน้าห้องทรงอักษรไม่ใช่สถานที่เหมาะแก่การสนทนาแต่ไม่รู้ว่าทั้งสองเดินมาไกลเพียงใด จนกระทั่งมาถึงอุทยานหลวง มองเห็นต้นเหมยในอุทยานหลวง เซียวเหอจึงเอ่ยขึ้นก่อนในที่สุด“ต้นเหมยในอุทยานหลวงนี้ ก็ยังสู้ต้นที่จิ่งเหยียนปลูกไม่ได้”เขาพูดความจริงต้นเหมยในอุทยานหลวง แม้จะรวมกันอยู่สองสามต้น แต่ก็ดูไม่สะพรั่งและแข็งแรงเท่ากับที่จิ่งเหยียนปลูกเพียงแต่เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ย่อมแฝงนัยบางอย่างอยู่เซียวเหอถึงเพิ่งตระหนักได้ รีบจะอธิบาย แต่ฉู่จืออี้กลับพูดขึ้นก่อน “ในใจของเนี่ยนเนี่ยน ไม่มีใครเทียบจิ่งเหยียนได้”ข้อนี้ เขาย่อมรู้ดีจิ่งเหยียนคือน้ำหล่อเลี้ยงในห้วงเวลามืดมนของนาง ตอนที่ทุกคนทอดทิ้งนาง จิ่งเหยียนคือผู้ที่มอบคำมั่นว่าจะไม่ทอดทิ้งเพราะเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดเทียบได้กับจิ่งเหยียนเซียวเหอพยักหน้าช้าๆ ริมฝีปากยกยิ้มบาง “แต่ก็ไม่มี
ดวงตาฉู่จืออี้สลดเล็กน้อย “ครั้งนี้กลุ่มชนเตอร์กิกพ่ายศึก ส่งเกอซูอวิ๋นมาสานสัมพันธไมตรี ภายนอกเหมือนเป็นการแสดงความอ่อนแอ แท้จริงแล้วก็เพียงเพื่อมาสร้างความน่าขยะแขยงแก่ข้าเท่านั้น”ความแค้นระหว่างเขากับคนเผ่าทูเจี๋ย เกรงว่าให้ร่ายยาวไปถึงยมโลกก็ยังนับไม่หมด บัดนี้กลับยังจะให้เขาแต่งกับคนเผ่าทูเจี๋ยอีกหรือ?อย่าว่าแต่เขามีเฉียวเนี่ยนแล้ว ต่อให้ไม่มี ก็ไม่มีวันตอบรับการแต่งงานเช่นนี้ได้ฮ่องเต้ก็เข้าใจ “เราเข้าใจ แต่กระนั้นองค์หญิงแห่งกลุ่มชนเตอร์กิกก็ใช่ว่าจะอยู่ในจวนของเจ้าตลอดไปโดยไม่มีสถานะอะไรเลยมิใช่หรือ? เฉียวเนี่ยนนั้นยังพอพูดได้ว่าเป็นน้องสาวบุญธรรมของเจ้า... เจ้าอยากจะรับน้องสาวบุญธรรมเพิ่มอีกคนกระนั้นหรือ?”ฉู่จืออี้ส่ายหน้าไม่ว่าจะเป็นน้องสาวบุญธรรมหรือคนรัก มีเฉียวเนี่ยนคนเดียวก็เพียงพอแล้วชั่วชีวิตนี้ จะไม่มีสตรีอื่นใดได้ใกล้ชิดเขาอีก“เฮ้อ!”ฮ่องเต้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จึงว่า “ถ้าเช่นนั้นก็คิดให้ดี ว่าจะจัดการองค์หญิงแห่งกลุ่มชนเตอร์กิกผู้นี้อย่างไร!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่จืออี้รับคำ ก่อนลุกขึ้น คารวะขอตัวกลับเพียงแต่ ก่อนที่เขาจะก้าวออกพ้นประตูห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ก