Share

บทที่ 11

Author: โม่เสียวชี่
คำพูดของเฉียวเนี่ยน เหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ จนทำให้หลินเย่ว์เกิดอาการมึนงงไปชั่วขณะ

ในมโนภาพเห็นแต่เฉียวเนี่ยนดิ้นรนอยู่ในน้ำ ส่วนนางกำนัลอื่นก็อยู่ข้างบ่อซักล้าง ต่างพากันหัวเราะเป็นการใหญ่

พลันรู้สึกเจ็บในหัวอกมากขึ้น เขาคิดจะพูดอะไรต่ออีก แต่คล้ายมีบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ จวบจนแผ่นหลังของเฉียวเนี่ยนถูกบานประตูขวางกั้นจนมองไม่เห็นอีก จึงค่อยมีสติกลับคืนมาบ้าง

“คุณหนู ฮือๆๆ...” เสียงร่ำไห้ของเสี่ยวชุ่ยดังขึ้นที่ข้างหู ทำให้รู้สึกรำคาญยิ่ง

หลินยวนถลึงตาใส่เสี่ยวชุ่ย “เอาแต่ร้องไห้อยู่ได้ ไม่รีบไปตามหมอมาอีก?”

เสี่ยวชุ่ยเพิ่งจะนึกได้ จึงรีบออกไปทันที

หลินเย่ว์ส่งหลินยวนกลับไปยังเรือนลั่วเหมย ส่วนหมอประจำจวนก็มาพร้อมกับฮูหยินหลิน

ขณะที่หมอกำลังตรวจชีพจรดูอาการให้หลินยวนอยู่นั้น ฮูหยินหลินก็พาหลินเย่ว์ออกไปข้างนอก “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? น้องเจ้าอยู่ดีๆ ตกน้ำได้อย่างไร หรือเป็นเพราะว่าเนี่ยนเนี่ยน...”

“ท่านแม่” หลินเย่ว์ขมวดคิ้ว ขัดจังหวะการพูดของฮูหยินหลินทันที “เพราะเนี่ยนเนี่ยนช่วยยวนเอ๋อร์ไว้ต่างหาก”

กล่าวพลาง เขาคล้ายกับนึกอะไรได้ จึงหันไปมองเสี่ยวชุ่ย “เจ้ามานี่”

ใบหน้าซีกซ้ายของเสี่ยวชุ่ยยังคงบวมเป่งอยู่ แสดงให้เห็นว่าหนิงซวงลงมือหนักไม่น้อย

เสี่ยวชุ่ยเดินก้มหน้ามาพร้อมคุกเข่าลงพื้น ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจหรือไม่ ใบหน้าซีกที่บวมเป่งหันไปทางฮูหยินหลินพอดี

เมื่อฮูหยินหลินเห็นเข้าก็ตกใจเป็นอย่างมาก “ตายจริง ใบหน้าเจ้าไปโดนอะไรมาน่ะ”

เสี่ยวชุ่ยพูดไม่ออก ได้แต่มองหน้าหลินเย่ว์ด้วยความหวาดกลัว

หลินเย่ว์จ้องเขม็งไปยังเสี่ยวชุ่ยอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยปากถาม “เจ้ามีเรื่องบาดหมางกับเนี่ยนเนี่ยนรึ?”

เสี่ยวชุ่ยตกใจยิ่ง พลางรีบส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ บ่าวจะกล้ามีเรื่องกับคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร?”

“ในเมื่อไม่มี แล้วเหตุใดจึงได้ใส่ร้ายนางครั้งแล้วครั้งเล่า?” หลินเย่ว์ถามเสียงเย็นชา

เมื่อครู่ตอนอยู่เรือนลั่วเหมย เขาโกรธจนหน้ามืด แต่เรื่องนั้นแม้ไม่ต้องใช้หัวคิดก็พอเข้าใจได้

เนี่ยนเนี่ยนไม่ใช่คนโง่ จะอยู่ในเรือนของตนเอง ซ้ำยังปองร้ายผู้อื่นต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร?

และสาวใช้ผู้นี้ก็ไปถึงเรือนฟางเหอไล่เลี่ยกับเขา ซึ่งตอนนั้นเนี่ยนเนี่ยนกับยวนเอ๋อร์ก็ได้ขึ้นฝั่งแล้วทั้งคู่ นางกลับยืนกรานเสียงแข็งว่าเนี่ยนเนี่ยนเป็นคนผลักยวนเอ๋อร์ให้ตกน้ำ

หวนนึกถึงเมื่อสามปีก่อน สาวใช้ผู้นี้ก็เคยยืนกรานเช่นนี้ พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะ แค่นี้ก็ทำให้หลินเย่ว์เกิดความระแวงแล้ว

เสี่ยวชุ่ยก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มาจากหลินเย่ว์

นางรู้ดี หากวันนี้ตนพูดผิดไปแม้แต่คำเดียว คงจะถูกลากไปโบยจนเสียชีวิตแน่

จึงรีบกลอกตารวดเร็ว ในที่สุดนางก็หาทางออกได้ “บ่าว...บ่าวเพียงแต่เป็นห่วงคุณหนูมาก เกรงว่านางจะถูกรังแก บ่าวทำเพื่อคุณหนูน่ะเจ้าค่ะ”

“ทำเพื่อคุณหนูกระนั้นรึ?” หลินเย่ว์หัวเราะเสียงเย็น “หรือเป็นเพราะคุณหนูเจ้าสั่งให้ทำเช่นนั้น?”

“ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แต่กลับไม่กล้าพูดมากความอีก

เดิมทีนางคิดว่าหากพูดเช่นนี้อาจทำให้หลินเย่ว์เกิดความเมตตาสงสาร ที่ไหนได้จะพลอยทำให้คุณหนูเดือดร้อนด้วยอีกคนเสียแล้ว

ทันใดนั้นเอง ในห้องมีเสียงหลินยวนเรียกเบาๆ “เสี่ยวชุ่ย...เสี่ยวชุ่ย...”

น้ำเสียงอ่อนแรงราวกับจะขาดใจ ฟังแล้วพาให้นึกเป็นห่วงยิ่ง

หลินเย่ว์ขมวดคิ้วมุ่น ไฟโทสะที่คุกรุ่นขึ้น ในที่สุดก็มอดลงเพราะเสียงเรียกอ่อนแรงของหลินยวน

เขาทำตาดุใส่เสี่ยวชุ่ย พร้อมกล่าวเตือนเสียงเบา “หากมีคราวหน้าอีก ไม่ต้องให้หนิงซวงลงมือ ข้าจะตัดลิ้นเจ้าไปให้สุนัขกิน! ไม่รีบไปดูแลคุณหนูอีก”

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยลุกขึ้นลนลาน พร้อมวิ่งเข้าไปในห้องทันที

ฮูหยินหลินอยู่ด้านข้างค่อยโล่งอกหน่อย มองหน้าหลินเย่ว์คล้ายกับไม่พอใจนัก “ทำไมตำหนิน้องสาวตัวเองเช่นนั้น นิสัยยวนเอ๋อร์เป็นอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกรึ?”

หลินเย่ว์มองหน้าฮูหยินหลิน แววตาแสดงออกถึงความผิดหวัง “ท่านแม่ เนี่ยนเนี่ยนว่ายน้ำเป็น ท่านรู้หรือไม่?”

ฮูหยินหลินจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

นางชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก “ว่ายน้ำเป็น? แต่ว่า เมื่อก่อนนางว่ายน้ำไม่เป็นมิใช่รึ?”

ใช่ คนที่เมื่อก่อนว่ายน้ำไม่เป็น กลับถูกผู้อื่นผลักตกน้ำไป

ซ้ำพวกนางยังใช้ราวตากผ้าไล่ตีนางอีก เพื่อไม่ให้ขึ้นฝั่ง

ในตอนนี้ นางจะรู้สึกหวาดกลัวเพียงไหน?

ในตอนนั้น พี่ชายอย่างเขาไปอยู่ที่ใด?

หลินเย่ว์ไม่คิดตอบโต้อีก จึงหันหลังเดินจากไป

ฮูหยินหลินตะโกนไล่หลังมา “เจ้าจะไปที่ใด?”

“เข้าวัง” คำตอบสั้นๆ บ่งบอกถึงความเย็นชา

ฮูหยินหลินรู้สึกกังวลใจ พลันคล้ายกับนึกอะไรได้ จึงเรียกนางกำนัลผู้อาวุโสผู้หนึ่งมาพบ “เร็วเข้า ไปส่งข่าวให้พระสนมเต๋อกุ้ยเฟย”

“เจ้าค่ะ!”

ไม่นานนัก

ขณะที่หลินเย่ว์โมโหโกรธาพร้อมใช้เท้าเตะประตูกรมซักล้างจนเปิดออก ก็เห็นนางกำนัลกลุ่มหนึ่งกำลังฉุดกระชากลากถูนางกำนัลร่างผอมอีกคนให้ไปทางบ่อซักล้าง

เห็นชัดว่า พวกนางคิดจะผลักนางกำนัลผู้นี้ให้ตกน้ำไปอีก

เหตุการณ์นี้ สร้างความบาดตาให้แก่หลินเย่ว์เป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่เขามองเห็น ก็คือนางกำนัลเด็กผู้นี้คล้ายกับเฉียวเนี่ยนเมื่อสามปีก่อน

ในตอนนั้น พวกนางได้รังแกน้องสาวเขาเช่นนี้หรอกรึ?

มีนางกำนัลผู้อาวุโสผู้หนึ่งจำหลินเย่ว์ได้ จึงรีบพาทุกคนเดินมาคารวะ “บ่าวคารวะท่านโหวน้อย ไม่ทราบมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?”

หลินเย่ว์ไม่ยอมมองหน้านาง พลางเดินไปทางกลุ่มนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ จากนั้นจึงไม่พูดพล่ามทำเพลง มือกระชากตัวคนไหนได้ก็จับคนนั้นโยนลงน้ำไป

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน จนมีนางกำนัลสองคนร้องตกใจ นางกำนัลผู้อาวุโสจึงได้เอะอะโวยวาย “ตายจริง ท่านโหวน้อยทำอะไรเจ้าคะ?”

ไม่ทันขาดคำ แม้แต่นางกำนัลผู้อาวุโสก็ถูกยกขึ้นเช่นกัน แล้วพริบตา น้ำเย็นเฉียบในบ่อก็ทะลักเข้าปากและจมูกของนาง

หลินเย่ว์ไม่พูดไม่จา ตรงไปจับคนที่เหลือโยนลงน้ำเช่นกัน

นางกำนัลบางคนที่ลงน้ำก่อนคิดตะกายขึ้นฝั่งมา หลินเย่ว์จึงใช้ราวตากผ้าฟาดพวกนางลงไปซ้ำอีก

เขาเป็นคนฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก การลงมือจึงหนักหน่วง นางกำนัลที่โดนฟาดเพียงครั้งเดียวก็รู้สึกเหมือนขาจะหัก ร้องเสียงดังพร้อมหมดสติไปทันที

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ทุกคนจึงไม่กล้าขยับส่งเดชอีก ได้แต่ยอมอยู่ในน้ำดีๆ ด้วยสภาพเปียกปอน

แต่ละนางได้แต่แอบสะอึกสะอื้น เพราะกลัวว่าหากร้องไห้เสียงดัง จะโดนหลินเย่ว์หวดด้วยราวตากผ้าอีก

ดูๆ ไปก็น่าสงสารนัก

แต่ว่า น้องสาวเขาไม่น่าสงสารบ้างรึ?

สมัยก่อนน้องสาวเขาก็เคยยืนร้องไห้อยู่ในบ่อนี้ คนกลุ่มนี้เคยปล่อยนางบ้างหรือไม่?

หลินเย่ว์ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ความเกรี้ยวกราดในดวงตาแทบกลายเป็นไฟโทสะแผดเผานางกำนัลกลุ่มนี้ให้กลายเป็นเถ้าถ่านเสีย

เหล่านางกำนัลเห็นดังนี้ แม้แต่คำวิงวอนร้องขอชีวิตก็ไม่กล้าพูด มีเพียงนางกำนัลผู้อาวุโสอาวุโสผู้นั้นที่ยังกล้าเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม "ท่านโหวน้อย บ่าวรู้ว่าท่านทำเช่นนี้ก็เพื่อหวังแก้แค้นแทนแม่นางหลิน แต่ว่า จะตีสุนัขก็ควรดูหน้าเจ้าของเสียก่อน พวกเราล้วนเป็นคนของฝ่าบาททั้งสิ้น ท่านทำเช่นนี้ ถ้าให้ฝ่าบาททรงทราบเข้า...”

หลินเย่ว์ตวัดราวตากผ้าไป จนเกือบฟาดถูกใบหน้านางกำนัลผู้อาวุโสอาวุโสผู้นั้น

พลันได้ยินเขาหัวเราะเสียงเย็น แววตายิ่งเย็นชาไปใหญ่ “ทำไม? คิดเอาฝ่าบาทมาขู่ข้ากระนั้นรึ?”

“ท่านโหวน้อยช่างโอหังนัก”

มีเสียงอ่อนโยนทว่าทรงอำนาจดังมาจากด้านหลังหลินเย่ว์ “แสดงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ปรามเจ้าไม่อยู่ใช่หรือไม่?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (2)
goodnovel comment avatar
Wednesday 20
เอาเลยฟาดมันท่านพี่ ข้าจะให้อภัยท่านในตอนแรกๆก็ได้
goodnovel comment avatar
Sita
ขอติดตามตอนต่อไปค่ะ
VIEW ALL COMMENTS

Latest chapter

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1432

    ขณะที่พูด สายตาก็ลอบชำเลืองมองเฉียวเนี่ยนแวบหนึ่ง ก่อนจะลดเสียงลงกระซิบถามอย่างใคร่รู้ว่า “อิ๋งชี คุณหนูของข้าใช้ให้ท่านไปทำอะไรมาหรือ ท่าทางลับลมคมในเชียว!”อิ๋งชีปรายตามองหนิงซวงแวบหนึ่ง รับถ้วยยามากระดกดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นจึงทิ้งมือยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง สำรวมกายใจประหนึ่งรูปปั้นหิน ราวกับไม่ได้ยินคำถามของหนิงซวงแม้แต่น้อยหนิงซวงรู้สึกขัดใจยิ่งนัก ทว่าก็รู้อยู่เต็มอกว่าคงง้างปากถามความอันใดไม่ได้ จึงได้แต่เบ้ปากแล้วถือถ้วยยาเปล่าถอยออกไปเวลาล่วงเลยไปทีละน้อย ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยขึ้นสูง ยามอู่ใกล้เข้ามาทุกทีทันใดนั้น ด้านนอกเรือนปีกข้างพลันมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบสับสนวุ่นวายดังขึ้น เคล้าไปกับเสียงตะโกนและเสียงครวญครางแผ่วเบาประตูเรือนที่ปิดสนิทถูกผลักออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง “โครม”ผู้ที่ปรากฏกายคือมู่ซ่างเสวี่ย มู่เจิ้นเจียง และพรรคพวกที่ย้อนกลับมา ทว่าบัดนี้บนใบหน้าของพวกเขาหาได้มีความแข็งกร้าวและมืดมนอำมหิตดังก่อนหน้า เหลือไว้เพียงความตื่นตระหนกและหวาดผวาอย่างถึงที่สุด!ใบหน้าของมู่ซ่างเสวี่ยซีดเผือด หน้าผากชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ฝ่ายมู่เจิ้นเจียงนั้นอาการหนักหนายิ่ง

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1431

    พี่ห้าแทบอยากจะพุ่งเข้าไปถีบพี่ชายของตนเสียให้รู้แล้วรู้รอด ส่งให้ถลาเข้าไปหาเฉียวเนี่ยนเสียตรงนั้นทว่าสองเท้าของฉู่จืออี้กลับราวกับถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น หนักอึ้งเสียจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยยิ่งปรารถนาจะกระทำสิ่งใด กลับยิ่งมืดแปดด้านไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดดีความรู้สึกพ่ายแพ้และโทสะที่เกรี้ยวกราดใส่ตนเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถาโถมเข้าเกาะกุมจิตใจราวกับเถาวัลย์ที่รัดพันร่างเขาไว้อย่างแน่นหนาแต่แล้วในยามนั้นเอง เฉียวเนี่ยนกลับเป็นฝ่ายสืบเท้าเดินเข้าไปหาฉู่จืออี้เสียเองแสงตะวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งก้านใบไม้ที่โปร่งตา ทาบทอเป็นเงาสลัวรางบนเรือนร่างของนางเมื่อเห็นดังนั้น ผู้คนในลานเรือน ไม่ว่าจะเป็นหนิงซวงที่อยู่ใต้ระเบียงทางเดิน เกอซูอวิ๋น หรือเหล่าองครักษ์พยัคฆ์ ต่างก็รู้ความยิ่งนัก รีบถอยฉากกลับเข้าห้องของตนไปอย่างพร้อมเพรียง ลานเรือนอันกว้างใหญ่พลันว่างเปล่าเงียบสงัด เหลือเพียงคนสองคนที่ยืนตระหง่านเผชิญหน้ากัน และเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังสวบสาบเท่านั้นจนกระทั่งเฉียวเนี่ยนมายืนอยู่ตรงหน้า ใกล้เสียจนมองเห็นไรขนอ่อนบนใบหน้าซีดเผือดและความเหนื่อยล้าที่ซุกซ่อนอยู่ลึกในแว

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1430

    สีหน้าของฉู่จืออี้ทะมึนถึงขีดสุด เห็นได้ชัดว่าตระกูลมู่ถือดีที่จับจุดอ่อนของพวกเขาได้ ว่ามิปรารถนาให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นจนราษฎรผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน จึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้!ทว่า... ความจริงกลับเป็นเช่นนั้น!ขอเพียงตระกูลมู่เอ่ยปาก ต่อให้ฮ่องเต้ถังมิประสงค์จะเปิดศึก ก็มิอาจทัดทานแรงกดดันที่ถาโถมจากตระกูลมู่ได้ถึงยามนั้น สงครามระหว่างสองแคว้นย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง!สองหมัดของฉู่จืออี้กำแน่นโดยไม่รู้ตัว เพลิงโทสะที่ไร้ชื่อสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นกลางอกทันใดนั้น ปลายแขนเสื้อพลันถูกกระตุกเบา ๆฉู่จืออี้หันขวับกลับมา สบเข้ากับแววตาของเฉียวเนี่ยนภายในแววตาคู่นั้น อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำที่ถูกกดข่มไว้นางส่ายหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามิใคร่จะให้หน่วยองครักษ์พยัคฆ์ลงมือเช่นกันลูกกระเดือกของฉู่จืออี้ขยับเลื่อนขึ้นลงอย่างรุนแรง สันกรามขบเกร็งประดุจเหล็กกล้าเขาสูดลมหายใจเข้าลึก กดข่มไอสังหารอันเยือกเย็นลงไป ก่อนจะกุมมือที่เย็นเฉียบและสั่นเทาของเฉียวเนี่ยนเอาไว้แน่นเขาไม่ชายตามองคนตระกูลมู่อีกแม้แต่หางตา เพียงตระกองกอดปกป้องเฉียวเนี่ยน แล้วเดินกลับเข้าสู่เรือนรองปร

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1429

    “ไม่ได้การ! ข้าจะรอช้ากว่านี้มิได้แล้ว!” น้ำเสียงของเฉียวเนี่ยนแหบพร่าเจือแววร้าวรานปานใจจะขาด นางกำจดหมายในมือแน่น ร่างกายโงนเงนถลันจะวิ่งออกไปด้านนอกฉู่จืออี้ซึ่งเฝ้าระวังอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด เห็นนางพุ่งตัวออกมาเช่นนั้น จึงรีบสืบเท้าเข้าไปประคองร่างที่โอนเอนคล้ายจะล้มลงได้ทุกเมื่อเอาไว้หนิงซวงและเหล่าองครักษ์พยัคฆ์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ต่างก็รีบรุดเข้ามาสมทบ สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียด “เนี่ยนเนี่ยน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”“เป็นเซียวเหิง!” เกอซูอวิ๋นที่ตามหลังเฉียวเนี่ยนออกมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เซียวเหิงกำลังจะไม่ไหวแล้ว!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่จืออี้พลันตื่นตระหนก ก้มลงมองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวลจนแทบสิ้นหวังของเฉียวเนี่ยน หัวใจของเขาพลันบีบรัดรุนแรงเขาออกคำสั่งเสียงขรึมทันที “เตรียมม้า! ไปจวนองค์ชายรอง”คณะเดินทางรีบจัดเตรียมความพร้อม ทว่าเมื่อก้าวเท้ามาถึงหน้าประตูเรือนปีกข้าง กลับต้องชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหันเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าด้านนอกประตูเรือน บัดนี้รายล้อมไปด้วยองครักษ์ของตระกูลมู่ที่ตรึงกำลังอยู่อย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบพวกเขาสวม

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1428

    นางหวนนึกถึงสายตาของฉู่จืออี้ที่กวาดมองมาเมื่อครู่ ในใจยังคงรู้สึกหวาดหวั่นไม่หายอิ๋งชีหันหลังให้นาง เดินไปที่โต๊ะแล้วรินชาเย็นชืดมาจอกหนึ่ง ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบเขาเงียบงันไปครู่ใหญ่จึงค่อยหันกลับมา สีหน้ากลับมาเรียบเฉยดังเดิม พลางย้ำคำพูดเดิมซ้ำอีกครั้ง “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่คิดว่าในเมื่อเหยาวั่งซูผู้นั้นมาจากสำนักราชาโอสถ ของที่ทิ้งไว้ย่อมต้องไม่ธรรมดา อาจเป็นของวิเศษที่หลงเหลืออยู่ของหุบเขา ข้าก็แค่เกิดความสงสัยใคร่รู้ชั่ววูบเท่านั้น”หนิงซวงมองเขาด้วยสายตาคลางแคลงใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เชื่อน้ำคำเขาทั้งหมด แต่ยามนี้นางเป็นห่วงความรู้สึกของเฉียวเนี่ยนมากกว่านางลอบถอนหายใจ เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะยังไง ท่านอย่าเพิ่งพูดถึงมันตอนนี้เลย ตอนนี้... ในใจคุณหนูคงทุกข์ตรมจะแย่อยู่แล้ว หญ้าผลึกหยกม่วงที่เฝ้าคะนึงหาก็สูญหายไป ทางฝั่งแม่ทัพเซียวเองก็... เฮ้อ”นางเว้นจังหวะ น้ำเสียงเข้มขึ้นอีกหลายส่วน “ช่วงนี้ท่านก็ทำตัวให้สงบเสงี่ยมหน่อยเถิดอย่าได้ถามเรื่องสัพเพเหระให้คุณหนูต้องกลัดกลุ้มใจอีกเลย เมื่อครู่ดูสายตาของท่านผู้บัญชาการฉู่สิ หากเจ้ายังขืนมากความอีก ข้าล่ะกลั

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 1427

    ฉู่จืออี้หยุดฝีเท้าลง ส่ายหน้าให้แก่ทุกคน น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววเหนื่อยล้าและหนักอึ้งราวกับฝุ่นละอองที่ร่วงหล่นสู่พื้นหลังพายุสงบลง “ไม่มีหญ้าผลึกหยกม่วง”ถ้อยคำสั้น ๆ นั้นประดุจคำพิพากษาอันเยือกเย็น ทำให้ใบหน้าของหนิงซวงและเกอซูอวิ๋นซีดเผือดลงในทันที ประกายความหวังสายสุดท้ายในแววตาดับวูบลงไม่มีหญ้าผลึกหยกม่วง นั่นมิเท่ากับยืนยันว่าเซียวเหิงต้องตายแน่แล้วหรือ?ฉู่จืออี้ไม่อยากเอ่ยความใดให้มากความ เขาเพียงต้องการพาเฉียวเนี่ยนกลับห้องไปพักผ่อนโดยเร็วที่สุดร่างสูงเบี่ยงกายเล็กน้อย เตรียมจะเดินเลี่ยงผ่านพวกเขาไป“เช่นนั้น…” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอิ๋งชีก้าวออกมาข้างหน้า สายตาคมกริบกวาดมองฉู่จืออี้และเฉียวเนี่ยน น้ำเสียงเจือความร้อนรนและคาดคั้นผิดวิสัย “ในแดนต้องห้ามมีสิ่งใดอยู่กันแน่ขอรับ?”ฉู่จืออี้และเฉียวเนี่ยนเงยหน้ามองอิ๋งชีขึ้นพร้อมกันคำถามนี้ช่างดูไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่งในเวลานี้ มิหนำซ้ำยังดูแปลกประหลาดพิกลนัยน์ตาของฉู่จืออี้ฉายแววพินิจพิเคราะห์พาดผ่านเพียงชั่ววูบฝ่ายเฉียวเนี่ยนแม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าเจียนขาดใจ แต่ก็ยังฝืนรวบรวมสติ ตอบกลับด้วยน้ำเสียง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status