มองดูฮองเฮากำลังหยอกล้อกับองค์หญิงน้อย คิ้วของเฉียวเนี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พลันสายตาก็เหลือบไปมองเต๋อกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างกายกลับเห็นว่าเต๋อกุ้ยเฟยค่อยๆ ส่ายศีรษะให้แก่นางเฉียวเนี่ยนเข้าใจความหมาย จึงก้าวขึ้นไปทำความเคารพ “หม่อมฉันขอถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมกุ้ยเฟยเพคะ”ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมองราวกับเพิ่งรู้ว่าเฉียวเนี่ยนมาถึง “ที่แท้ก็เป็นหมอหญิงเฉียวนี่เอง ห่างหายไปเสียนาน เรานึกว่าเจ้าถูกถอดถอนตำแหน่งหมอหญิงไปแล้วเสียอีก!”เฉียวเนี่ยนก้มหน้าตอบ “ฮ่องเต้ทรงพระเมตตา พระราชทานวันหยุดยาวให้หม่อมฉันพักผ่อนเพคะ”เต๋อกุ้ยเฟยก็เปิดปากพูดขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะ “ได้ยินมาว่าท่านหญิงเฉียวบาดเจ็บที่ไหล่ ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”“ยังต้องพักฟื้นอีกหนึ่งเดือนจึงจะหายดีเพคะ”เฉียวเนี่ยนตอบตามจริง ไม่คาดว่าฮองเฮากลับหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา “แค่เดือนเดียวก็หายได้งั้นรึ? วิชาแพทย์ของท่านหญิงเฉียวเก่งกาจจริงๆ ไม่เหมือนพี่ชายไร้ประโยชน์ของเรา เพียงแค่ถูกทำให้ตกใจ ก็ถึงกับล้มป่วยไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย”เรื่องที่เสนาบดีเมิ่งซ่างซูล้มป่วย เฉียวเนี่ยนก็ได้ยินมาก่อนแล้วแน่นอนว่านางยังได้ยินเรื่อ
เซียวเหออดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาแววตาของนางเหมือนกับตอนที่เขาเพิ่งเปิดผ้ามงคลออกไม่มีผิดราวกับกวางน้อยที่หลงทางอยู่กลางป่า แล้วจู่ๆ ได้พบกับเสือร้าย จึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก“ไม่เป็นไรแล้ว” เซียวเหอพูดเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้เจ้ามาอยู่ในแคว้นจิ้ง ที่นี่คือจวนรุ่ยอ๋อง เจ้าคือพระชายารุ่ยอ๋อง เป็นเจ้าของจวนนี้ ไม่มีใครกล้ามารังแกเจ้าอีกแล้ว”เสียงของเซียวเหอแผ่วเบา อ่อนโยนประหนึ่งสายลมวสันต์ พัดพาความเศร้าที่เกาะกุมกลางอกให้คลายออกเกอซูอวิ๋นเพิ่งจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง การหายใจก็ค่อยๆ สงบขึ้นตามลำดับนางนึกถึงความฝันเมื่อครู่ เผลอใช้มือลูบใบหน้าตนเองไปทีหนึ่ง เมื่อรู้สึกได้ว่ามือเต็มไปด้วยความชื้นแฉะจึงค่อยรู้สึกตัว หันไปมองเซียวเหอ “หรือว่าข้าเพ้อฝันร้าย จนรบกวนให้ท่านตื่น?”มุมปากของเซียวเหอคลี่ยิ้มขึ้นมา “ข้าได้ยินเสียงเจ้าร้องไห้ จึงเป็นห่วง เลยเข้ามาดู”เป็นห่วง...กลางอกของเกอซูอวิ๋นพลันเอ่อท่วมด้วยความรู้สึกประหลาดออกจะแปลกใหม่ แต่... กลับไม่อึดอัดใจนางหลุบตาลง ขนตาที่เปียกน้ำตากระทบกับแสงเทียนระยิบระยับ “ข้า... ข้าเพียงฝันถึงเรื่องราวในอดีต”นางกลัวว่าเซียวเหอจะเข้าใจผิด คิดว
หญิงสาวส่งเสียงหายใจอย่างสงบ ทำให้เขารู้สึกแสนจะไม่คุ้นเคยแต่ไหนแต่ไร เขานั้นชอบความเงียบสงัดในห้าปีอันเป็นเหมือนฝันร้ายนั้น เว้นเสียแต่จี้เยว่ เขาแทบไม่อยากพบใครทั้งสิ้นจนกระทั่ง ตอนที่แต่งกับเฉียวเนี่ยน เขาไม่ออกไปต้อนรับ ไม่ทำพิธี และไม่เคยนอนห้องเดียวกันทั้งที่นี่เป็นการแต่งงานครั้งที่สองของเขา แต่ทุกสิ่งที่ประสบในวันนี้ สำหรับเขากลับสดใหม่ยิ่งนักแม้ตอนที่แต่งกับเฉียวเนี่ยนก็เพื่อช่วยนางให้พ้นปัญหา แต่เมื่อคิดย้อนกลับมา สิ่งที่เขาไม่เคยมอบให้นาง สุดท้ายกลับกลายเป็นความเสียดายเขาหลับตาลงช้าๆ เซียวเหอถอนหายใจหนักหน่วงหนึ่งเฮือกช่างเถอะ ช่างเถอะเกรงว่าชาตินี้คงเป็นชะตาที่รักใครก็ไม่อาจได้ครอบครองกับเมิ่งอิ้งจือเป็นเช่นนั้น กับเฉียวเนี่ยนยิ่งเป็นเช่นนั้นคิดถึงความตายของเมิ่งอิ้งจือ มือทั้งสองของเซียวเหอก็กำแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวแท้จริงแล้วเขามิได้เกลียดนาง ต่อให้รู้แจ้งว่าผู้ที่วางยาพิษเขาคือนาง เขาก็มิเคยโกรธแค้นนางแม้แต่น้อยห้าปีนั้น ได้ขัดเกลาทุกสิ่งจนราบเรียบ แม้แต่ความรักในวัยเยาว์ก็กลายเป็นเพียงฝุ่นทราย แค่ลมพัดก็สลายไร้ร่องรอยภายหลังเมื่อได้พบเมิ่งอิ้งจ
เซียวเหอมองไปที่นางดวงตาคู่นั้นดุจดังดวงดาว กำลังส่องประกายแสงที่ทำให้หัวใจแตกสลายทันใดนั้น จึงค่อยๆ ปลอบโยนขึ้นว่า "ตราบใดที่องค์หญิงไม่ข้องเกี่ยวกับกลุ่มชนเตอร์กิกอีก ภายในจวนนี้ก็จะไม่มีใครทำร้ายองค์หญิงได้"เมื่อได้ฟังคำของเซียวเหอ ดวงตาที่สั่นไหวของเกอซูอวิ๋นจึงค่อยๆ กลับมามีสติ"เนี่ยนเนี่ยนบอกว่าท่านเป็นคนดี ท่านจะไม่ทำร้ายข้า" เกอซูอวิ๋นเอ่ยช้าๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียงด้วยความสิ้นหวังแววตาของเซียวเหอพลันหม่นลึกลงโดยไม่รู้ตัวได้ยินเกอซูอวิ๋นกล่าวว่า "แต่ข้าก็รู้ว่าท่านเคยเป็นแม่ทัพ ท่านเคยออกรบกับเผ่าทูเจี๋ย ท่านก็เกลียดเผ่าทูเจี๋ย ท่านย่อมไม่อยากเห็นใบหน้านี้ของข้า... ต่อไปข้าจะอยู่เงียบๆ ในห้องของตนเอง จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าท่านง่ายๆ ข้าจะพยายามทำตัวให้เหมือนคนไร้ตัวตนข้า... ข้าเก่งมากในการทำตัวให้เหมือนเป็นคนล่องหน ตอนที่ข้าอยู่ในกลุ่มชนเตอร์กิก สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือการซ่อนตัว ไม่ทำให้ใครสังเกตเห็น..."พูดไปพูดมา น้ำตาหยดโตก็ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสายนางเผลอยกขาทั้งสองขึ้นบนเตียง กอดเข่าของตนเองแน่น "หากวันหน้า ท่านมีคนที่รัก ก็สามารถรับเข้ามาได้ ข้าจะไม่คัดค้าน
เซียวเหอเคลื่อนไหวรวดเร็วจนแทบไม่เปิดโอกาสให้เกอซูอวิ๋นได้ตั้งตัวชั่วพริบตาเดียว ดาบโค้งในมือนางก็ร่วงไปอยู่ในมือเซียวเหอเสียแล้วอาวุธชิ้นเดียวที่สามารถป้องกันกายถูกแย่งไป เกอซูอวิ๋นถึงกับตระหนก “ท่าน... ท่านมิได้บอกว่าจะแบ่งปันสุขทุกข์ไปด้วยกันหรือ...”“องค์หญิงมิรู้วิชายุทธ์หรอกหรือ?” คิ้วเซียวเหอขมวดแน่น น้ำเสียงแฝงความประหลาดใจเกอซูอวิ๋นสะดุ้งถอยหลังไม่หยุด “ข้า... ข้ารู้สิ! ข้าเก่งมากด้วย ท่าน... ท่านอย่าเข้ามานะ!”เซียวเหอมองก็ย่อมเห็นว่านางเพียงเสแสร้งทันใดนั้น เขาก็โยนดาบโค้งคืนให้นางเกอซูอวิ๋นรีบร้อนรับไว้ ท่าทางเงอะงะ แต่ยังดีที่รับได้มั่นคงเพียงแต่ไม่รู้ว่าความหมายของเซียวเหอคืออะไร ดวงตาที่มองเขายังคงเต็มไปด้วยความระแวง“ทับทิมและไพลินบนปลอกมีดเล่มนี้มีค่ามหาศาล เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์กลุ่มชนเตอร์กิก ตามหลักแล้วควรเป็นเพียงองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดไม่กี่องค์เท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง”เกอซูอวิ๋นก้มมองมีดในอ้อมแขนด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “นี่เสด็จพี่ประทานให้ข้า”“เขาให้เจ้าลอบสังหารท่านอ๋องผิงหยางรึ?” เซียวเหอถามต่อเกอซูอวิ๋นเบิกตากว้าง
ทันใดนั้น ริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นมาช่างน่ายินดีจริงๆ!น่ายินดีที่ครั้งหนึ่งตนเคยได้แต่งงานกับเขา มิเช่นนั้นแล้ว นางจะได้รู้หรือว่าขาของเขายังรักษาได้ จะได้เห็นหรือว่าเขาสวมชุดเจ้าบ่าวยืนอยู่อย่างสง่างามเช่นนี้ได้?รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวเนี่ยน คือทั้งความยินดีและคำอวยพรเซียวเหอมองออกทันใดนั้นเขาก็ค่อยๆ พยักหน้าให้เฉียวเนี่ยน ถือเป็นการส่งสัญญาณจากนั้น เขารับผ้าแพรแดงจากมือท่านยายผู้จัดการพิธีมงคล จูงเจ้าสาวเดินออกจากห้อง โดยไม่หันมามองเฉียวเนี่ยนอีกเลยเกอซูอวิ๋นรู้สึกว่าขั้นตอนแต่งงานของแคว้นจิ้งช่างยุ่งยากเหลือเกินไม่เหมือนพวกกลุ่มชนเตอร์กิก แค่จัดงานเลี้ยง ร้องรำทำเพลงก็จบแล้วที่นี่ต้องก้าวข้ามกองถ่าน ต้องไหว้ฟ้าดิน ต้องยกน้ำชาให้ผู้อาวุโส แล้วนางยังถูกส่งตัวเข้าห้องหอเพียงลำพัง แม้แต่หนิงซวงยังไม่สามารถตามเข้าไปได้ท่านยายผู้จัดการพิธีมงคลกำชับไว้ว่า เมื่อขึ้นนั่งบนเตียงแล้วจะลุกไม่ได้ ผ้าคลุมหน้าแดงก็ห้ามเปิด จนกว่าเจ้าบ่าวจะเข้ามานางไม่รู้ว่าทำไมต้องมีกฎเช่นนี้ แต่เมื่ออยู่เพียงลำพัง นางก็ไม่กล้าทำลายกฎนั้นจึงได้แต่นั่งเชื่อฟังอยู่ข้างเตียงเงียบๆ รอเวลาให้ผ่านไป