น้ำร้อนๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตาคู่กลมโต ความอึดอัดขัดใจแน่นอยู่ในอก มาธาวีรู้ว่าที่พี่สาวโวยวายเพราะกำลังเจ็บ ไม่ใช่เจ็บเพราะโกรธ แต่เจ็บที่โดนน้องอย่างเธอหักหลัง
มาลินีเป็นคนขี้บ่นจู้จี้จุกจิกอยู่แล้ว เธอโดนตำหนิบ่อยจนเคยชินแต่รู้ว่าที่พี่สาวมักจะเคือง ไม่พอใจ หรือบ่นเธอก็เพราะหวังดี พอมารู้ว่าถูกหลอกเรื่องผู้ชายก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะปรี๊ดขึ้นมา
เธอรู้ว่าพี่สาวเสียใจกับความแห้วของตัวเองมาตั้งแต่ครั้งเปรมินทร์แล้ว แถมยังมีกิตติกรอีก แต่เพราะเป็นคนสวย เริด เชิด การศึกษาหน้าที่การงานดี มาลินีจึงมั่นใจในตัวเองว่าต้องมีคนที่ดีเหมาะสมเข้ามาในชีวิต การได้เจอปัฐวิกรในเวลาใกล้เคียงกับที่ต้องถอยห่างจากกิตติกร มาธาวีจึงไม่แปลกใจว่าหนุ่มมาดเนี้ยบหล่อโปรไฟล์หรูย่อมต้องเป็นเป้าหมายใหม่ของพี่สาวเธออย่างไม่ต้องสงสัย
อีกฝ่ายหมายมั่นปั้นมือกับปัฐวิกรพอสมควร เพียงแค่ยังไม่มีเวลาได้ทำความรู้จักเพราะชายหนุ่มไม่ได้อยู่เชียงใหม่เท่านั้น นั่นทำให้คนเป็นน้องสะเทือนใจเมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อสั่นเครือของพี่สาว จนสุดท้ายก็ต้องเอ่ยออกไปโดยไม่ได้หันไปมองด้วยไม่อาจฝืนทนเห็นอีกฝ่ายเสียใจได้ ทว่าน้ำเสียงก็เจือความสั่นไม่แพ้กัน
“สองขอโทษค่ะ”
พูดจบมาธาวีก็ก้าวช้าๆ เข้าบ้านไป โดยยังไม่ได้ยินเสียงพี่สาวตามเข้ามา อีกฝ่ายคงอยากใช้เวลาอยู่ข้างนอกตามลำพังสักพัก
แม้จะสงสารคนเป็นพี่แต่เธอไม่อาจพูดความจริงได้ ต้องก้มหน้าทำตามคำพูดของปัฐวิกรอย่างไม่มีทางเลือก ทั้งที่เขาไม่ได้สั่งออกมาตรงๆ แต่การกำชับด้วยสายตา พร้อมจูบที่ตรามาบนหน้าผากก็ย้ำเตือนอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการให้เธอทำตามนั้น
ทั้งที่ในใจร่ำร้องตะโกนว่า ‘ไม่ใช่ ไม่จริง เธอไม่ได้เป็นอะไรกับปัฐวิกร’ อยากวิ่งกลับไปบอกพี่สาว อยากสนับสนุนให้อีกฝ่ายเดินหน้าจีบชายหนุ่มได้เต็มที่แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะบางอย่างฉุดรั้งเอาไว้ บางอย่างในสายตาของปัฐวิกรในวันที่เธอพูดว่า ‘หายกัน’ แล้วเขาเพียงแค่ยิ้ม
ยิ้มที่ตีความหมายได้แทนคำพูดว่า ‘มันยังไม่จบ’ และวันนี้ชายหนุ่มก็ทำให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า เขายังต้องการทวงคืนหนี้บุญคุณจากเธอ
‘สองไม่ดื่มเหรอ’
คุณากรถาม ตาคมค่อนข้างหวานหยาดเยิ้ม เพราะเขาดื่มตั้งแต่เริ่มมานั่งร่วมโต๊ะกับเธอแล้ว
มาธาวีถอนหายใจยาวก่อนจะส่ายหน้า แต่อีกฝ่ายกลับหยิบเครื่องดื่มชนิดหนึ่งจากบริการที่เดินผ่านส่งมาให้
‘ดื่มกระตุ้นหน่อย จะได้สนุก อันนี้ไม่แรง”
ชายหนุ่มคะยั้นคะยอมาอีก
เธอรำเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เปิดงานสัมมนาช่วงหัวค่ำแล้ว หญิงสาวออกมาทานบุฟเฟ่ต์ที่จัดให้กับแขกพร้อมมีดนตรีเล่นคลอที่ริมทะเล การสัมมนาเป็นระดับผู้บริหารใหญ่และเธอก็เป็นอิสระหลังทำงาน จึงสามารถไปไหนมาไหนได้ตามสะดวก และฝ่ายประสานงานก็ต้อนรับเธอในฐานะแขกคนหนึ่งของโรงแรม
มาธาวีเพิ่งรู้ตอนมาถึงที่นี่ว่า การที่อาจารย์บอกให้เธอมาแสดงในงานสัมมนาพิเศษของโรงแรมในเครือของที่นี่ก็เพราะคุณากรเป็นคนบอกกับพี่ชายของเขาที่เป็นดูแลโรงแรมสาขานี้เอง แล้วหมอนี่ก็ตามมาวุ่นวายกับเธอได้อย่างที่ต้องการ เพราะปกติตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอจะไม่ยอมให้เขาได้มีโอกาสคุยกับเธอตามลำพัง
เพราะไม่รู้จักใครคนอื่นหญิงสาวจึงนั่งกินอาหารคนเดียว โดยมีคุณากรที่เชิญตัวเองมาร่วมโต๊ะอย่างไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ด้วยแขกค่อนข้างเยอะ เธอไม่อยากทำให้เรื่องมันวุ่นวาย คิดว่ารีบกินรีบกลับห้องพักของตน ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายอยู่ใกล้นานนัก
‘ไม่ล่ะ ฉันจะกลับห้องแล้ว’
เธอบอกพร้อมกับลุกขึ้น คิดว่าไม่ควรอยู่นานกว่านี้แล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าดื่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอรู้สึกว่าต้องระวังตัวมากขึ้นไปด้วย แต่ก็ไม่อยากแสดงท่าทีรังเกียจหรือไม่ไว้ใจให้อีกฝ่ายดูออก
‘อ้าว จะกลับแล้วเหรอ ยังคุยกันไม่เท่าไรเลย’
หน้าขาวสไตล์ลูกหลานคนจีนแดงนิดๆ แต่อีกฝ่ายคุยรู้เรื่อง ดูอารมณ์มากกว่าดีไปสักหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าเมามายจนน่ากลัว
‘ง่วงแล้ว’
‘แหม เด็กอนามัยจัง’
อีกฝ่ายยิ้มหวานให้ หญิงสาวจึงยิ้มตอบแล้วตัดบท
‘ไปนะ’
คุณากรไม่ได้ตอบกลับมา แต่พยักหน้าพร้อมยิ้มให้แล้วก็ยกแก้วที่เขาส่งให้เธอเมื่อครู่ไปดื่มแทน
มาธาวีผละออกมา รู้สึกเหมือนถูกมองตามทว่าก็ไม่ได้หันกลับไปมอง พยายามไม่ใส่ใจอีกฝ่าย
ขณะกำลังจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพักมาธาวีจึงลืมตาขึ้น เพราะเธอปิดไฟนอนแต่แง้มม่านในห้องเอาไว้เล็กน้อยเพื่อที่แสงในตอนเช้าจะได้สาดส่องเข้ามา ช่วยให้ตื่นได้ง่ายกว่าห้องมืดๆ
ความรู้สึกกลัวครอบงำในทันทีเพราะมองเห็นเงาตะคุ่มก้าวเข้ามาแล้วตรงมาที่เตียงของเธอ ร่างบางเกร็งในหัวคิดหาทางหนี แต่กลัวว่าแค่ขยับตัวก็อาจโดนตะครุบเอาไว้ ทว่าก็ไม่อยากอยู่เป็นเป้านิ่ง สุดท้ายมาธาวีก็พลิกตัวจะกลิ้งหนีลงจากเตียง แต่คนที่เข้ามาใหม่ก็มองเห็นเธอเพราะแสงเลือนรางจากด้านนอกกับเสียงขยับจากเตียง
‘จะไปไหนสอง’
น้ำเสียงเข้มที่ไม่ปกติต่างจากเดิมของคุณากรทำให้มาธาวีขนลุก เหงื่อผุดพราย ไม่เพียงเท่านั้นร่างสูงกำยำยังเคลื่อนมาฝั่งที่เธอหลบมาอย่างทันท่วงที
‘คุณ’
มาธาวีอุทานเสียงสั่น
‘อย่าเข้ามา’
‘มาสนุกกันเถอะสอง’
พร้อมคำพูดร่างของคุณากรก็โถมเข้ามาหาเธอทั้งตัว จุดที่ยืนอยู่เป็นมุมอับข้างเตียงไม่สามารถหนีไปไหนได้ มาธาวีจึงเลือกจะกระโดดกลับขึ้นไปบนเตียงเพื่อจะหนีไปทางที่สะดวกกว่า แต่ก้าวได้เพียงก้าวเดียวก็ถูกตะปบจากทางด้านหลังจนหน้าคะมำ
ร่างที่ใหญ่กว่าตะเกียกตะกายตามมาคร่อมตัวเธอเอาไว้ ขณะที่มาธาวีพยายามคว้าขอบเตียงอีกด้านเพื่อเป็นหลักยึดใช้ดึงตัวเองออกจากใต้ร่างคุณากรแต่ก็ไม่เป็นผล
‘ปล่อยฉันนะนายคุณ’
อีกฝ่ายราวกับไม่ได้ยินเธอ จะพูดให้ถูกคือไม่สนใจมากกว่า หญิงสาวรู้สึกถึงแรงทับจากด้านหลังที่หนักมหาศาล แถมสัมผัสร้อนเจือกลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรงยังนาบลงมาข้างลำคอ
‘อี๋...’
เธอส่งเสียงร้องด้วยความรังเกียจพร้อมกับพยายามสะบัดตัวสะบัดหน้าหนี
ร่างกายใหญ่กว่าที่ได้เปรียบทิ้งมาบนเธอเต็มๆ มาธาวีรับรู้ได้ถึงอีกฝ่ายอย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้เธอดิ้นหนีด้วยความกลัว ทว่าก็ไม่อาจต้านแรงของคนเมาได้
‘คบกับนะเราสอง เราชอบสองจริงๆ’
ใบหน้ากับปากที่ฝังลงข้างลำคอและไหล่ของเธอขยับบดเบียดพร้อมกระซิบ
‘ไม่’
‘ทำไม เราก็ไม่ใช่ขี้ๆ นะ สองก็เห็น ทำไมคบกับเราไม่ได้’
อีกฝ่ายคุยรู้เรื่องนั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เมาจนขาดสติ นั่นทำให้มาธาวียิ่งไม่พอใจ มันหมายความว่าคุณากรตั้งใจเข้ามาข่มขืนเธอ ไม่ได้ทำไปเพราะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
‘ฉันเกลียดนาย’
คราวนี้ชายหนุ่มจับเธอพลิกตัวอย่างแรง ทั้งสองคนไม่เห็นหน้ากันนัก แต่จากเสียงหายใจฉุนเฉียวทำให้เธอรู้ว่าเขากำลังโกรธมาก
‘เรามันน่าเกลียดตรงไหนหา! บอกมาสิ’
มาธาวีไม่ตอบแต่อาศัยตอนที่เขาพลิกตัวเธอคว้าจับหมอนที่อยู่ใกล้มือเหวี่ยงใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
‘ปล่อยฉันนะ!’
เธอตวาดออกไปเสียงดังและตีเขาอย่างแรงสองสามครั้งแต่ไม่นานหมอนในมือก็ถูกแย่งไปแล้วปาทิ้ง
‘ไม่ปล่อย เกลียดนักใช่ไหม จะเอาเป็นเมียให้ดู’
พูดแล้วร่างสูงกำยำก็แนบลงมาหา มาธาวีหันหน้าหนีมือยันอกอีกฝ่าย ทั้งยังตีไม่หยุด
‘อย่ามายุ่งกับฉันไอ้บ้า!’
‘เดี๋ยวจะทำให้ด่าไม่ออก’
หน้าคมฝังลงมาข้างแก้ม กลิ่นฉุนจากลมหายใจร้อนทำให้มาธาวีเอียนไปหมด พยายามเบี่ยงตัวหลบให้มาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขาก็ขยับถีบขึ้นลงบนที่นอนไม่หยุด ไม่ยอมให้อีกฝ่ายทับลงมาบนตัวเธอได้
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ