หญิงสาวเริ่มเดินสำรวจบ้านอย่างเป็นจริงเป็นจัง บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้หลังเล็กสีหม่นใต้ถุนเตี้ย เสาบ้านสูงแค่ประมาณหนึ่งเมตร เมื่อเดินขึ้นบันไดบ้าน จะพบชานเรือนเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทั้งที่นั่งเล่น ที่กินข้าว และห้องครัวของสมาชิกภายในบ้าน พิริยาถอนหายใจอย่างเศร้า ๆ เมื่อคิดว่าต่อไปคงมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่จะใช้ประโยชน์จากพื้นที่นี้
จากชานเรือนไปก็จะเป็นตัวบ้าน เมื่อเปิดประตูไม้บานเล็กเข้าไปด้านใน ก็จะเจอโถงเล็ก ๆ ที่มีชั้นวางของขนาดย่อมตั้งไว้ แค่นี้ก็เกือบเต็มพื้นที่แล้ว ถัดจากโถงก็จะเป็นห้องนอนเล็ก ๆ ซึ่งมีอยู่สองห้อง มีพื้นที่เพียงเท่านี้จริง ๆ สำหรับบ้านหลังนี้ เมื่อเปรียบกับคฤหาสน์หรูหราที่เธอเคยอยู่เมื่อชาติก่อน บริเวณบ้านทั้งหลังนี้เทียบเท่าได้เพียงแค่ห้องนอนของคนงานในบ้านเท่านั้น หญิงสาวถอนหายใจแรงอีกทีอย่างหนักใจ
สิ่งที่ได้รับเพิ่มเติมหลังจากสำรวจโดยละเอียด คือเงินสดสามร้อยกว่าบาทและเอกสารหลักฐานสำคัญต่าง ๆ เธอเก็บรวบรวมสิ่งของเหล่านี้ไว้ในพื้นที่ว่างเพื่อป้องกันการสูญหาย และสามารถหยิบใช้ได้ในทันทีที่ต้องการ
ระหว่างที่กำลังเตรียมลงจากบ้านเพื่อไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ ต่อ เธอก็เหลือบตาไปเห็นรูปภาพขาวดำจำนวนสองภาพที่ใส่กรอบวางไว้บนชั้นวางของตรงโถงทางเดิน
“น่าจะเป็นรูปพ่อกับแม่ของเจ้าของร่างเดิม” เธอพึมพำก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ หลังจากนิ่งพินิจอยู่ชั่วครู่เธอถึงกับชาไปทั้งร่าง
ผู้ชายและผู้หญิงในรูปภาพมีใบหน้าคล้ายกับป๊าและม้าของเธอในชาติก่อนไม่มีผิด!
พิริยายกมืออันสั่นเทาไปแตะที่รูปภาพ ถ้าตัดสีผิวที่ดำคล้ำของทั้งสองคนในภาพออก ทั้งคู่คือป๊ากับม้าของเธอในชาติก่อนอย่างแน่นอน ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าใช่ แม้แต่ไฝที่มุมปากของผู้ชายในรูปก็มีเหมือนกับป๊า ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจของโชคชะตาที่กำหนดให้เธอกลับมาเป็นลูกของคนที่ใบหน้าเหมือนป๊ากับม๊าอีกครั้ง
“หนูคิดถึงป๊ากับม้ามากเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือและน้ำตาที่คลอเบ้า
พิริยานั่งอยู่ตรงชานเรือนด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลยหลังจากเห็นรูปภาพตรงห้องโถง ทำไมทั้งคู่จึงเหมือนกับป๊าและม้าของเธออย่างกับแกะ
ป๊ากับม้าเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.2545 ตอนอายุ 48 ปี แล้วตอนนี้คือปี พ.ศ.2525 ป๊ากับม้าของเธอควรจะอายุได้ 28 ปีแล้ว? และเธอที่เป็นลูกของป๊ากับม้าก็ควรจะอายุได้ 5 ขวบแล้วใช่ไหมในตอนนี้?
ตอนนี้เป็นเวลา 21.00 น.พิริยายังไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เธอกำลังนั่งอยู่บนเบาะแข็ง ๆ ของรถไฟขบวนร้อนที่กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของประเทศ
หลังจากได้เห็นรูปภาพของพ่อและแม่ของเจ้าของร่างเดิม หญิงสาวกระสับกระส่ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงสองวันเต็ม ในที่สุดจึงตัดสินใจที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อพิสูจน์เรื่องบางอย่าง
ก่อนออกจากบ้าน เธอได้บอกกับคำปันและวงเดือนเพียงแค่ว่าจะเดินทางไปหางานทำในตัวเมืองของจังหวัด แม้ทั้งคู่จะไม่เห็นด้วยกับเธอนักแต่ก็ขัดความตั้งใจอันแน่วแน่ของเธอไม่ได้ เธอจึงสัญญากับทั้งคู่ว่าจะกลับบ้านภายในเจ็ดวันแม้ว่าจะยังหางานทำไม่ได้เลยก็ตาม
พิริยาจะไปแอบดูครอบครัวของเธอในชาติก่อน เธออยากรู้สภาพความเป็นไปของทั้งป๊าและม้าในช่วงเวลานี้ และเธอตั้งใจแล้วว่าจะไม่เข้าไปให้ทั้งคู่เจอหน้าเพราะกลัวจะทำใจไม่ได้ อีกอย่าง ปี พ.ศ.2525 เธอในชาติก่อนก็อายุได้ห้าขวบแล้ว หญิงสาวกลัวว่าหากนำตัวเองเข้าไปพัวพันอยู่ใกล้ ๆ อาจส่งผลกระทบต่อดวงชะตาของทั้งสามได้
ทันทีที่รถไฟเข้าเทียบชานชาลาในเวลา 10.00 น.ของวันใหม่ พิริยาก็รีบลงจากรถอย่างเร็วรี่ แม้จะปวดเมื่อยไปทั้งเนื้อทั้งตัวเพราะนั่งตัวตรงอยู่บนเบาะแข็ง ๆ ทั้งคืนแต่เธอไม่คิดจะหยุดพัก หญิงสาวเดินตรงไปยังป้ายรถเมล์เพื่อรอที่จะขึ้นรถเมล์สายที่แล่นผ่านหน้าบ้านของเธอในชาติก่อน
เมื่อรถเมล์สายเป้าหมายเข้ามาเทียบท่า เธอก็ก้าวขึ้นไปนั่งด้วยอาการดีใจ ความรู้สึกของเธอตอนนี้เหมือนกับคนที่จากบ้านเกิดไปนาน ๆ แล้วมีโอกาสได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของคนที่รักอีกครั้ง
และตอนนี้ความรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนก็หายไปจากใจเธออย่างหมดสิ้น เหลือเพียงความเปล่าเปลี่ยว ว้าเหว่อย่างสุดแสนประมาณ พิริยายืนมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำ
บ้านและอาคารที่ตั้งอยู่โดยรอบบ้านของเธอยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้แต่คนที่เดินสวนกันไปมานั้นก็มีบางคนที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี เพียงแค่คนเหล่านั้นยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวมากกว่าที่เคยเจอ จะมีเพียงแค่บ้านของเธอเท่านั้นที่ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าจะให้ถูก ให้บอกว่าไม่มีบ้านของเธอปรากฏอยู่ให้เห็นน่าจะดีกว่า!
พื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของบ้านเธอถูกแทนที่ด้วยอาคารสำนักงานของหน่วยงานราชการหน่วยงานหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอมองอาคารหลังดังกล่าวด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
บ้านของวิภาวีอยู่ใจกลางเขตเทศบาลเมือง ใกล้สถานที่ราชการทุกแห่ง เดินทางไปมาได้สะดวกมาก บ้านของเธอเป็นบ้านไม้หลังใหญ่สองชั้น เนื้อไม้เงาวับ บ่งบอกถึงฐานะที่มีอันจะกินของครอบครัวนี้ชาตรีทำงานในตำแหน่งระดับสูงของพาณิชย์จังหวัด ประกอบกับที่เกิดมาในครอบครัวฐานะดี จึงเป็นที่นับหน้าถือตามากของบรรดาข้าราชการและผู้คนในตัวจังหวัดส่วนญาดานั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา แต่ก็ต้องออกงานและดำรงตำแหน่งในสมาคมต่าง ๆ ในฐานะภรรยาหัวหน้าส่วนราชการ ประกอบกับพ่อแม่ของญาดาเป็นเศรษฐีระดับต้น ๆ ของจังหวัด จึงค่อนข้างเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงเช่นเดียวกับสามี“แก้วจะขายขนมอบแบบไหน” ญาดาถามด้วยความสนใจหลังจากได้กินมื้อค่ำและคุยเรื่องสัพเพเหระจนรู้สึกสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น ปิ่นแก้วจึงได้เอ่ยถึงสิ่งที่ตั้งใจจะทำในอนาคตให้ทั้งครอบครัวฟัง“ตอนนี้แก้วคิดไว้ 4 อย่างค่ะ มีขนมปังกระเทียม ทาร์ตไข่ บราวนี แล้วก็คุกกี้นิ่ม”“อาเคยกินแต่ขนมปังกระเทียมกับคุกกี้ แต่คงไม่เหมือนคุกกี้นิ่มของแก้วแน่ ๆ ส่วนอีกสองอย่างอาไม่เคยกิน นึ
ระหว่างที่ยุ่งกับการขาย เธอก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นแหวงและแววมายืนมองด้วยความอิจฉาเป็นระยะ ทำให้เธอรู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง ก็ตามประสามนุษย์คนหนึ่งแหละนะส่วนความกลัวที่เคยมีต่อทั้งคู่ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้วในครั้งนี้ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ไปแย่งที่ของใครเขา อีกอย่างมีลุงสุขมานั่งคุมเชิงให้ที่หลังร้านยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นไปอีก“ปิ่นแก้ว! ใช่ปิ่นแก้วจริง ๆ ด้วย” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของหญิงสาววัยรุ่นดังขึ้นที่หน้าร้านเมื่อได้ยินเสียงไม่คุ้นหูเรียกชื่อตนเอง ปิ่นแก้วจึงเขม้นมองไป เธอยืนนึกอยู่ครู่ใหญ่จึงยิ้มออกมาอย่างดีใจวิภาวี สาวน้อยบนรถไฟคนนั้นนั่นเอง“พ่อคะ แม่คะ ใช่ปิ่นแก้วจริง ๆ ด้วย บอกแล้วว่าวิตาไม่ฝาด” วิภาวีหันไปพูดกับทั้งพ่อและแม่ที่เดินตามหลัง“ปิ่นแก้ว นี่พ่อของเรา ส่วนแม่ เธอก็เคยเจอแล้วเมื่อคราวก่อน”ชาตรีและญาดาต่างส่งยิ้มให้ปิ่นแก้วอย่างมีไมตรีจิต หลังจากที่ลูกสาวเล่าเหตุการณ์ในรถไฟให้ฟัง ทั้งคู่ต่างตกอกตกใจและรู้สึกขอบคุณปิ่นแก้วมาโดยตลอดที่ช่วยให้วิภาวี
หญิงสาวเดินเข้าร้านเพื่อเลือกซื้อขนมอบ ขนมเค้กไม่มีแบ่งขายเป็นชิ้น เธอจึงเลือกปอนด์เล็กสุด และหยิบคุกกี้กระปุกเล็ก เค้กโรล ขนมปังปอนด์มาอีกอย่างละหนึ่งเพื่อทดสอบรสชาติ“แอะ! แค็ก..” คาวไข่ขั้นสุดเมื่อกลับมาถึงหอพัก เธอได้รีบแกะขนมออกมาชิม ทันทีที่ตักขนมเค้กเข้าปาก ผลที่ได้คือเนื้อเค้กที่หวานจัดและคาวไข่เป็นอย่างมาก ไม่เท่านั้น เนื้อครีมที่ปาดหน้าเค้กค่อนข้างหนัก ทั้งหวานและเลี่ยน เมื่อกัดชิมคำแรกถึงกับคายทิ้งแทบไม่ทัน แล้วทำไมถึงยังขายดีได้ขนาดนี้เค้กโรลก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน สำหรับคุกกี้นั้นให้ความรู้สึกหวานเพียงอย่างเดียว ไม่มีความหอมหรือมันของเนยแม้แต่น้อย ส่วนขนมปังปอนด์นั้นสามารถพูดได้เลยว่าขนมปังให้ปลาในยุคที่เธอจากมายังนุ่มมากกว่า แล้วทำไมถึงยังขายดีขนาดนี้ได้อีกแต่ข้อด้อยพวกนี้แหละคือตัวช่วย หากทำขนมออกมาแบบไม่เหลือข้อด้อยพวกนี้ ธุรกิจจะต้องรุ่งโรจน์อย่างไม่ต้องสงสัย ปิ่นแก้วอยู่ในอารมณ์ที่คึกคักถึงขีดสุดเธอรีบหายเข้าไปในพื้นที่และเปิดคลิปวิดีโอเกี่ยวกับขนมยอดฮิตต่าง ๆ ดู ก่อนจะคัดเมนูที่ทำได้ไม
“แก้วรู้ค่ะว่าป้าเป็นห่วงแก้วและหวังดีกับแก้วที่สุด แก้วขอบคุณป้ามาก ๆ นะคะ”“ถ้าจะให้พูดตามจริง ตอนนี้แก้วมีเงินพอที่จะส่งทั้งตัวเองและชัยเรียนได้อย่างสบาย แต่ใจแก้วยังไม่อยากเรียนเอง เพราะถ้าเรียนต่อ ม.4 แล้วพอจบ ม.6 ก็ต้องอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยอีก ค่าใช้จ่ายเรียนมหาวิทยาลัยค่อนข้างสูงป้าเองก็รู้นี่คะ แล้วแก้วจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนต่อ”“สู้ตอนนี้ หยุดเรียนก่อนสักครึ่งปี สร้างฐานะให้มั่นคง เก็บเกี่ยวเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วค่อยไปเรียน กศน. แก้วว่าน่าจะสบายกว่า”วงเดือนถอนหายใจแรง “แต่เรียน กศน. แล้วเหมือนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากเต็มทีนะแก้ว ป้าเสียดายอนาคต”“ไม่หรอกค่ะป้า ลองเราตั้งใจจริง ไม่ว่าเรียนจบจากไหนก็สามารถสอบเข้าได้ แต่ที่เห็นกันจนชินตาว่าเรียน กศน.แล้วความรู้ไม่พอจะไปต่อมหาวิทยาลัย นั่นเพราะคนเรียน กศน.มีภาระผูกพันค่อนข้างมาก บางคนก็มีครอบครัวอยู่แล้ว ทำให้คิดไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยกันน้อย แต่แก้วไม่มีภาระตรงนี้นี่คะ ภาระอย่างเดียวของแก้วคือต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองให้ได้เยอะ ๆ ถ้า
วงเดือนใช้มือตบพื้นเรือนเสียงดังด้วยความไม่พอใจ “ยุพินนี่มันเกินไปจริง ๆ รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก”“ป้า อย่าโมโหไปเลย เรื่องมันสบช่องให้เขาได้เปรียบก็ต้องปล่อยไป” ปิ่นแก้วพูดปลอบ“ชัย พี่แก้วเค้าไปลงชื่อค้ำประกันเราไว้แบบนี้แล้ว ต่อไปเราต้องระมัดระวังตัว อย่าไปทำเรื่องทำนองนี้จนทำให้พี่เค้าเดือดร้อนอีกนะ ถ้าหิวหรือขาดอะไร ให้มาหาป้ากับลุงก่อน ป้ากับลุงจะช่วยเอง”“ผมขอบคุณพี่แก้วอีกครั้งนะครับที่ช่วย ต่อไปผมไม่กล้าแล้วจริง ๆ” ชิงชัยพูดพร้อมกับมีน้ำตารื้นอยู่เต็ม มันเป็นความรู้สึกทั้งเสียใจบวกกับความอับอายที่โดนประณามในเรื่องนี้“แม่กับพี่แก้วไม่ต้องห่วง ชัยเป็นคนดีจริง ๆ ไม่เคยมีนิสัยชอบขโมย” แดนไทยช่วยรับประกันให้เพื่อนรัก “ต่อไปหลังเลิกเรียนผมจะไปช่วยชัยหาผักป่าไปขายอีกแรง จะได้เอาเงินไปใช้หนี้ที่ติดอยู่ไว ๆ”“นี่แม่ชัยยังสร้างหนี้เพิ่มอีกเหรอ” วงเดือนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “อาทิตย์หน้าจะเปิดเทอมแล้วด้วย จะมีเวลาไปหาของป่าขายได้ที่ไหน เลิกเรียนก็ใกล้ค่ำแล้ว คงไม่พอหาหรอก”“ชัยไม่เรียนต่อแล้วนะแม่ ไม่มีค่าเทอม”“แล้วแม่ชัยรู้ไหมว่าลูกตัวเองจะไม่เรียนต่อแล้ว” วงเดือนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พ
“ที่น้าพูดมันก็ถูก แต่ควรดูเจตนาเด็กก่อนที่จะกล่าวหา ชัยไม่ได้ตั้งใจขโมยแต่แรกนี่ เขาได้ยินว่าน้าไม่กินแล้ว และกำลังจะเทให้หมา ชัยเขาหิว เขาเลยตัดสินใจไปแบบนั้น”“หล่อนไม่ต้องมาทำหัวหมอ ฉันไม่สนใจ ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการกินแกงนี่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นของฉัน ฉันจะให้ใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน ในเมื่อฉันตั้งใจจะยกให้หมาแล้ว ไอ้เด็กหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แย่งไปได้ ฉันจะเอาเรื่องไอ้เด็กเหลือขอนี่ให้ถึงที่สุด”เมื่อยุพินพูดจบ ผู้คนที่ยืนรายล้อมต่างส่งเสียงออกมาหลายแนว บ้างก็เห็นด้วยกับยุพิน บ้างก็เห็นด้วยกับปิ่นแก้ว บ้างก็มองดูเหตุการณ์ด้วยความสะใจและสนุกกับคราวเคราะห์ของชัยในครั้งนี้ บ้างก็มีสีหน้าแสดงความเห็นใจเด็กชาย แต่ยุพินไม่สนใจ เธอยังคงตั้งมั่นในความคิดของตน“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน” คำแปง ผู้ใหญ่บ้านที่โดนเรียกตัวมาอย่างเร่งด่วน สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อได้ฟังทั้งยุพินและปิ่นแก้วชี้แจงเรื่องราวในมุมมองของตน คำแปงก็ทำสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อย เรื่องเหมือนจะดูเล็กน้อย แต่ถ้าคิดเป็นเรื่องใหญ่ ก็ดูใหญ่พอตัว โดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ไม่เคยเกิดเหตุทำนองนี้มาก่อน“ยุพิน ปล่อยเด็กไปสักครั้งเถอะ อย