บ้านพักของคีตกานต์อยู่เยื้องไปทางส่วนด้านซ้ายของไร่ฝั่งที่อยู่ติดกับเชิงเขา จากคำบอกเล่าของบรรดาเจ๊ๆที่เคยได้ยินมา คีตกานต์มักจะมาอาศัยอยู่ที่นี่เพียงแค่คนเดียวและไม่ได้กลับไปนอนบ้านใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งของทางปีกขวา แม้ว่าทุกวันเขาจะต้องแวะเข้าไปไม่ช่วงเวลาใดก็เวลาหนึ่ง แต่แล้วคีตกานต์ก็มักจะกลับมานอนที่บ้านพักของตัวเองเท่านั้น
ช่วงเวลาสองปีตั้งแต่ที่อยู่นี้มา ฉัตรตะวันรับรู้ว่าบ้านพักของเขานั้นอยู่ที่ไหน เคยเห็น เคยขับรถผ่าน หากแต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ย่างกายผ่านเข้าไป พอวันนี้มาถึง สายตาก็เริ่มสอดส่ายสำรวจไปรอบๆโดยอัตโนมัติ
บ้านไม้สไตล์รีสอร์ตขนาดกระทัดรัดไม่ใหญ่ไม่เล็กทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่บนเนินเขา ลักษณะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ตัวพื้นระเบียงไม้หน้าบ้านที่ยื่นออกมาถูกยกให้สูงขึ้นจากพื้นดินและเปิดโล่ง ส่วนตัวบ้านใช้ผนังกระจกปนไม้สร้างความเก๋ไก๋ยามเมื่อได้มอง รวมๆแล้วเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับบรรดาต้นไม้สีเขียวๆที่ถูกปลูกกระจายไปบริเวณรอบๆตัวบ้าน
จักรยานของเธอถูกจอดทิ้งไว้ด้านหน้า ก่อนที่ฉัตรตะวันจะพาตัวเองก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดทางคอนกรีตเข้าสู่ตัวบ้าน ประตูกระจกถูกเปิดทิ้งไว้ ภายในตัวบ้านนั้นเงียบสนิทราวกับไม่มีคนอยู่ จึงทำให้แขกผู้ที่พึ่งมาใหม่นั้นค่อยๆก้าวเดินเข้าไปภายในอย่างลืมตัว
แม้ว่าด้านนอกจะถูกตกแต่งด้วยวัสดุเรียบง่าย แต่ภายในตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น ผนังเลือกใช้เป็นโทนขาวครีม ส่วนพวกเฟอร์นิเจอร์คละปนกันไปในโทนเทาดำอย่างลงตัว
ด้วยความลืมตัว จึงทำให้ฉัตรตะวันไล่กวาดสายตาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันถูกหยุดลงที่ใบหน้าเขร่งขรึมของคนที่ยืนพิงตัวเองกอดอกมองเธออยู่ที่ขอบประตูที่เชื่อมมาจากทางด้านหลังอีกที
"สำรวจเสร็จหรือยัง"
พอถูกจับได้ ดวงตากลมโตก็กระพริบถี่ๆเพื่อขับไล่ความอาย ก่อนที่มือถือในกระเป๋ากางเกงจะถูกยื่นส่งไปตรงหน้าของผู้ชายตัวใหญ่ที่ยังคงยืนทำหน้าเคร่งขรึง
"นี่ค่ะ หลักฐานว่าซันมาเข้างานตรงเวลา แถมยังเหลืออีกสองนาทีก่อนเข้างานด้วยซ้ำ" บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอที่ยื่นไปคือรูปของภาพถ่ายนาฬิกาบนผนังห้องทำงานของเขา โดยเข็มยาวและเข็มสั้นชี้บอกว่าเวลาในตอนนั้นคือแปดโมงยี่สิบแปดนาทีพอดีตามอย่างที่เธอบอกไว้
"รอบคอบดีนี่"
"ค่ะ กับคนแบบคุณ ทำอะไรมันก็ต้องมีหลักฐานไม่ใช่หรอคะ"
"ก็ดี อะไรที่มันสามารถเป็นหลักฐานได้ เธอมีเอาไว้ก็ดี เพราะถ้าหากว่าวันหนึ่งถูกใครเขาปรักปรำเข้า จะได้ใช้หลักฐานนั้นแก้ต่างให้ตัวเองได้"
แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่คีตกานต์พูด หากแต่เธอก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรออกไป มีเพียงแค่คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันเพราะว่าสงสัย แต่เรื่องอะไรจะให้เธอเสียเวลาไปต่อปากต่อคำกับผู้ชายคนนี้ต่อกันเล่า
"ตกลงวันนี้ซันต้องทำอะไร"
"งานของเธอวันนี้ คือไปล้างสระว่ายน้ำของฉันที่หลังบ้าน"
"คะ?"
"งงอะไร ฉันว่าฉันก็พูดออกไปชัดหมดทุกคำแล้วนะ ไป ล้าง สระ"
"แต่คุณไม่ได้บอกล่วงหน้า แล้วซันจะเอาชุดที่ไหนเปลี่ยน" พอเห็นว่าถูกเขาแกล้งแน่ๆ ฉัตรตะวันเริ่มต่อกรและโวยวาย
"ก็อะไรที่มันถอดได้ เธอก็ถอดๆไปเถอะ สระว่ายน้ำหลังบ้านของฉันฝั่งโน้นอยู่ติดป่าแล้วก็อยู่สูงจากพื้นดินตั้งมาก ถ้าหากว่าเธอจะแก้ผ้าก็คงไม่มีใครมาเห็นหรอก แล้วบ้านของฉันก็ไม่ได้อนุญาตให้ใครเข้ามามั่วซั่วหรอกเธอไม่ต้องกลัว ส่วนฉันก็อย่างที่รู้ๆกัน ว่าเห็นมาหมดแล้ว"
แววตายิ้มเยาะบวกกับรอยยิ้มที่เย้ยหยันนั่นอีกแล้วที่เขากำลังมองมา ฉัตรตะวันเกลียดเวลาที่คีตกานต์ใช้อำนาจและคิดว่าเขานั้นถือไพ่เหนือกว่ามาบังคับให้เธอทำอะไรที่ไร้เหตุผล
"คุณคีย์ นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะคะ"
"หึ กับคนอย่างเธอไม่มีคำว่าเกินไปหรอกฉัตรตะวัน"
ฉัตรตะวันเดินออกจากตัวบ้านผ่านทะลุออกมาตามทิศทางที่คีตกานต์พยักหน้าให้เธอไป ด้านหลังของบ้านมีสระว่ายน้ำขนาดพอเหมาะตั้งอยู่ติดกับดงต้นไม้ยืนต้นสีเขียวเข้มบ้างอ่อนบ้างสลับกันไป แต่ละต้นยืนขึ้นบดเบียดชนกันจนแทบจะชิด อีกทั้งกิ่งก้านใบ ทำให้เมื่อลองมองไปจึงไม่สามารถผ่านทะลุเข้าไปได้จริงๆ
อุปกรณ์ทำความสะอาดสระถูกวางรออยู่ไม่ไกลนัก พอยืนทำใจแล้วสูดหายใจเข้าปอดไปสี่ห้าที ฉัตรตะวันก็ตัดสินใจทำบางอย่างอย่างทีคีตกานต์ไม่คิดว่าเธอจะกล้าเสื้อยืดคอปกสีน้ำเงินเข้มถูกถอดออกจากร่างงามอย่างช้าๆ ก่อนตามมาด้วยกางเกงยีนต์เข้ารูปที่ถูกถอดออกมากองเป็นอย่างที่สอง จนกระทั่งมันเหลือเพียงแค่ชุดชั้นในเข้ารูปบางเฉียบสีขาว
ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ เขาเห็นเธอมาหมดแล้วจะมาอายอะไร เพราะแต่มีแต่เขาเสียที่ไหนที่เห็นของเธอ เธอเองก็เห็นเขามาหมดแล้วเช่นกัน ในเมื่อเขาอยากให้เธอถอดมันดีนักก็เอาสิ คนแบบเธอใครท้าได้เสียที่ไหน ถอดก็ถอด
"อ้าว หายไปไหนเสียแล้วล่ะ มาทำเป็นท้าคิดว่าฉันไม่กล้าทำจริงๆหรือไง"หลังจากที่หันกลับไปแล้วไม่ได้มีใครยืนมองจับตาอยู่ ความอึดอัดที่คล้ายว่าจะทำให้เธอนั้นหายใจติดขัดก็เปลี่ยนเป็นโล่งขึ้นมาทันที
เรือนร่างสวยงามสมส่วนก้าวเดินไปหยิบอุปกรณ์มาทีละชิ้น เริ่มจากกระชอนตาข่ายที่ค่อยๆช้อนตักใบไม้ที่ถูกพัดปลิวเข้ามาจากด้านข้างสระขึ้นมา ต่อด้วยแปรงขัดด้ามยาวไล่ถูไปทีละด้าน ดีที่ด้านบนนั้นมีหลังคากันแดดสร้างครอบสระเอาไว้ ไม่เช่นนั้นผิวอันขาวผ่องเป็นยองใยของเธอคงมิวายถูกแดดเผ่าจนมอดไหม้แน่
เวลาผ่านเลยไปนานแค่ไหนไม่ได้นับ รู้แต่ว่าการทำความสะอาดสระครั้งนี้ทำเอาเธอหมดแรงกำลังไปเลยเหมือนกัน คีตกานต์หายไปตั้งแต่นั้นและไม่ได้แวะมาตรวจตราดูอีก ฉัตรตะวันคิดว่าเขาคงจะออกไปตรวจงานในไร่เสียมากกว่า คนอย่างเขาวันไหนไม่ได้เข้าไร่ วันนั้นคงไม่มีแรงเดิน
เมื่อเห็นว่าทางสะดวกและคิดว่าคนใจร้ายคงจะยังไม่กลับเข้ามาง่ายๆ ฉัตรตะวันจึงได้นำอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหมดไปกองรวมกันไว้ที่ข้างสระก่อน เพื่อหากว่าเขากลับมาตอนไหน เธอก็จะได้อ้างได้ว่าพึ่งทำความสะอาดเสร็จ
พอคิดแผนได้ ร่างงามจึงกลับมาหย่อนตัวลงไปในสระก่อนจะเริ่มแหวกว่ายกลับไปกลับมาอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าในหัวจะคิดว่าเธอกำลังบ้าไปแล้วแน่ๆที่แอบมาว่ายน้ำเล่นในสระแบบนี้ เพราะถ้าหากว่าคีตกานต์กลับมาเห็น มีหวังบิดาเธอคงโดนคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอกอีกล่ะมั้ง กระทั่งเหนื่อยล้าอ่อนแรง จึงได้เริ่มว่ายเกาะไปตามขอบสระ พลางใช้ขาตีน้ำน้อยๆ แล้วจึงได้ขอพักสายตาลง
"หมดแรงแล้วหรอ"
"ว้าย"
ทันทีที่ได้ยินเสียงเสียงกระซิบที่ข้างหู ด้วยความตกใจจึงได้ร้องออกมาพร้อมกับใช้มือตีน้ำจนแตกกระจายก่อนที่จะลืมตาขึ้นมองเสียอีก ฉัตรตะวันปล่อยมือให้ตัวเองจมลงไปในสระ แต่ราวกับว่าร่างกายกำลังถูกเกาะเกี่ยวจากอะไรบางอย่างจึงได้ลืมตาขึ้นมอง
ทันทีที่เปิดตามอง ริมฝีปากของเธอก็ถูกประกบปิด แม้ว่าจะสะบัดออกจากการจู่โจมและพยายามดีดตัวให้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำแต่ก็ยังไม่เป็นผล ริมฝีปากเธอยังคงถูกรุกรานอยู่อย่างนั้นจวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจวนใกล้จะหมดไปจึงได้ถูกฉุดให้ลอยตัวขึ้นมา
"ช่วยอธิบายให้ซันฟังหน่อยได้ไหมคะว่าระหว่างที่ซันหลับไป คุณกับป๊าซันไปแอบทำสัญญาพักรบกันตอนไหน จำได้ว่าที่ซันเป็นล้มไปก็เพราะว่าคุณกับป๊านั้นเถียงกันไม่หยุด" ฉัตรตะวันถามซักไซ้ไล่เรียงทันทีที่คีตกานต์เดินกลับเข้ามา"สงสัยว่าป๊าซันคงกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนถึงหลานละมั้ง ก็เลยยอมอ่อนข้อลงให้""หลาน? ที่ไหนคะ""ก็หลานในท้องซันไง""คุณคีย์ซันไม่ตลกด้วยนะคะ นี่คุณกำลังหมายความว่าอะไร คุณบอกอะไรกับป๊าซันไปคะ ป๊าถึงได้ยอมถอยกลับไปได้ง่ายๆแบบนั้น" ฉัตรตะวันรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แถมสีหน้าท่าทางยังดูระแวงระวังอย่างไม่ไว้วางใจ"ผมบอกกับป๊าว่าซันกำลังท้องลูกของเราอยู่ แล้วก็จะยกหนี้สินทั้งหมดที่ป๊าคุณกู้ไปให้ ป๊าคุณคงเห็นแก่หลานและความจริงใจของผมละมั้ง ก็เลยยอม""ท้อง? ใครกันที่ท้อง ซันยังไม่ได้ท้องนะคะ นี่คุณโกหกป๊าซันทำไม""ผมไม่ได้โกหกป๊าคุณนะซัน ที่คุณเป็นลมล้มตึงไปนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณกำลังท้องอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่ ยังไงเร็วๆนี้คุณก็ต้องท้องแน่ๆ เชื่อมือผมสิ"ฉัตรตะวันยังคงงงๆกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่ภายในสัปดาห์ คีตกานต์ก็ได้พาทั้งคุณยายประไพศรีและคุณพรประภาเข้าไปต
"ถุย! ไอ้คีตกานต์ น้องซันเกลียดมึงจะตายไป ยังจะมากล้าพูดได้ไม่อายปากว่าน้องซันเป็นเมียมึง ไม่กระดากปากบ้างหรือไงวะ" ธนากรทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกฉัตรดนัยห้ามเอาไว้"ที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าพี่ซัน" ฉัตรดนัยเองก็อดสงสัยไม่ได้ที่อยู่ดีๆตนก็มีพี่เขยโผล่มา "ซี คือว่า.." เพราะฉัตรตะวันมัวแต่อึกๆอักๆไม่ยอมพูดไป จึงทำให้คนข้างๆเริ่มที่จะหมั่นไส้ตัดสินใจชูใบแผ่นกระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป"ผมกับฉัตรตะวันเราพึ่งไปจดทะเบียนสมรสกันมา และผมต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่พาฉัตรตะวันไปจดโดยพละการโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่หลังจากนี้ผมจะพาคุณยายกับคุณแม่เข้าไปพูดคุยกับเสี่ยให้เร็วที่สุด ไม่ทราบว่าเสี่ยสะดวกวันไหนครับ""พูดบ้าอะไรของมึงวะไอ้คีตกานต์ จดทะบงทะเบียนอะไร น้องซันเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู กูไม่ยอมให้มึงมาชุบมือเปิบไปหรอก ไอ้บ้านี่มันโกหก เรื่องที่มันพูดไม่เป็นความจริงใช่ไหมน้องซัน" พอเห็นคีตกานต์ชูแผ่นกระดาษที่มีกรอบเป็นรูปดอกกุหลาบล้อมรอบธนากรก็เริ่มร้อนใจ พยายามถามให้ฉัตรตะวันตอบหรือปฏิเสธอะไรก็ได้ ช่วยพูดออกมาทีว่าสิ่งที่คีตกานต์กำลังพูดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง"จริงค่ะพี่ธนา ซันกับคุณคีย์พึ่งไ
หลังจากนั้นคีตกานต์ก็พาเธอมายังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งดูสงบและร่มเย็น เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอกก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน ใบไม้ต้นไม้พัดโบกปลิวไสว ฉัตรตะวันมองตามที่คีตกานต์ชี้นิ้วตรงไปใต้ร่มโคลนต้นไม้ใหญ่ ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาวปิดเปลือกตาทำสมาธิอย่างสงบฝ่ามือเล็กยกขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อปิดปากไว้ หลังจากที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ที่โคลนใต้ไม้ต้นนั้นคือใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกลแค่ไหน ใบหน้านั้นก็ยังดูเด่นชัดคีตภัทรอยู่ในนุ่งห่มสีขาวและกำลังนั่งสวดภาวนาอย่างตั้งใจ คีตกานต์เล่าต่อให้เธอฟังว่า หลังจากที่ถูกธนากรทำร้ายจิตใจในวันนั้น คีตภัทรก็เริ่มเปลี่ยนไป จิตใจคิดฝักใฝ่ไปในทางธรรม เห็นทุกข์เห็นแจ้งว่าคงจะไม่มีใครรักเธออย่างจริงใจได้เท่าคนครอบครัว จากนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะละจากทางโลกมุ่งเข้าสู่ทางธรรม"เห็นแล้วนะว่าต่อไปนี้ครีมคงจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้""อันที่จริงขนาดน้องสาวคุณยังตัดสินใจละจากทางโลกเลย คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคุณก็น่าจะทำบ้างนะคะ""ไม่ล่ะ คนอย่างฉันมันกิเลสหนา ฉันยังตัดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ นี่ขนาดว่าเธอยืนอยู่ตั้งไกลแบบ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่คีตกานต์ยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถและปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างนั้น ธนากรบอกว่าเสี่ยมนัสรู้สึกตัวและรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานก็คงจะนำเงินทั้งหมดมาคืนให้ เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเงินจากธนากรที่เสนอให้ อาจแลกด้วยการหมั้นหมายหรืออะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นฝ่ายนั้นคงจะไม่แสดงท่าทีที่สุดแสนจะมั่นอกมั่นใจและกล้าเรียกฉัตรตะวันได้เต็มปากว่า 'ว่าที่คู่หมั้น'เขายังไม่ได้อยากได้เงินคืน หรือไม่ก็ไม่ได้อยากที่จะได้เงินคืนเลย..ขอเพียงแค่ฉัตรตะวันยังอยู่ใกล้ๆ คีตกานต์พาตัวเองกลับมายังบ้านพักก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วจัดการโหลดไฟล์วีดีโอใส่เข้าไปในมือถือ จากนั้นจึงกดส่งไปยังรายชื่อที่ถูกตั้งค่าไว้ในโหมดรายชื่อโปรดที่พักหลังๆมานี้มักจะแสดงอยู่ในหน้าจอประวัติการโทรเข้าออกของเขาบ่อยที่สุด พร้อมมีข้อความกำกับเขียนเอาไว้ด้วยความร้อนอกร้อนใจ เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเรื่องระหว่างเขาและเนตรดาววันนั้นมันไม่ได้มีอะไร เขาไม่เคยแม้แต่คิดนอกใจเธอ'ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำผิดต่อเธอเลย แล้วเธอกล้าที่จะทิ้งฉัน หนีฉันไปหมั้นกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง'หมดวันหยุดฉัตรตะวันยังคง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นคีตกานต์ก็ได้รับข่าวว่าฉัตรตะวันยกเลิกที่จะเช่าบ้านพักหลังนั้นแล้วย้ายออกไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ในเมืองแทน พอคีตกานต์รู้ข่าวก็เกิดกระวนกระวายใจ พยายามแอบขับรถตามไปดูว่าฉัตรตะวันย้ายไปพักอยู่ที่ไหน และพอได้รู้ ใจก็อยากจะขอแอบตามขึ้นไปดูอีกว่าห้องหับความเป็นอยู่ของเธอนั้นเป็นอย่างไร สะดวกสบายปลอดภัยดีหรือเปล่า หากแต่แล้วก็ทำไม่ได้ มีคนไม่ยอมให้เขาขึ้นไปด้วยความที่ว่าหอพักแห่งนี้มีระบบความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ทันทีที่บุคคลภายนอกอย่างเขาย่างกรายเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งเข้ามาเชิญตัวเขาให้ออกไปโดยทันที "เมียผมพักอยู่ที่นี่จริงๆ เธอพึ่งย้ายมาเพราะว่าเราทะเลาะกัน ผมแค่อยากจะขอขึ้นไปดูความเป็นอยู่ของเธอหน่อยว่าห้องที่เธออยู่เรียบร้อยปลอดภัยดีไหม พี่ให้ผมขึ้นไปแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้วผมจะรีบลงมา"หลังจากยืนอ้อนวอนพี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เสียนาน สุดท้ายแล้วคีตกานต์ก็ต้องหน้าจ๋อยกลับขึ้นรถมาอย่างเก่า สองวันมานี้ยอมรับว่าจิตใจของเขานั้นไม่เป็นสุขเลย มันค่อยๆดิ่งลงเพราะมัวแต่พะวงคิดมากเรื่องที่ฉัตรตะวันเข้ามาเห็นเขาและเนตรดาวอยู่ด้วยกันเขาไม่สบ
คีตกานต์ค่อยๆขยับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงแดดที่สาดเข้ามาจากด้านนอกนั้นโผล่ทะลุผ้าม่านห้องนอนเข้ามาได้ เมื่อวานเขาคงจะดื่มไปจนหนักมาก เช้านี้พอตื่นขึ้นมาถึงได้มีอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดแบบนี้ได้เรือนร่างสูงใหญ่พยามยามกระถดกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับอย่างช้าๆ สายตาเหลือบมองไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งกำลังบอกว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมง แต่ทันทีที่ได้ขยับ บริเวณหน้าอกของเขากลับมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง พอมันค่อยๆโผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา จึงได้เห็นว่าเป็นแขนของใครคนหนึ่งที่ยกพาดทับมากอดก่ายหน้าอกเขาเอาไว้คีตกานต์ถึงกับต้องทำการนึกคิดทบทวนอย่างละเอียด จำได้ว่าเมื่อคืนเขานั่งเครียดและดื่มอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน แล้วเช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาในบ้านของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหนหรือว่าพาใครที่ไหนเข้ามา แล้วแขนของคนที่นอนขยุกขยิกอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาใต้ผ้าห่มนี้คือใคร "ตื่นแล้วหรอคะคีย์"และทันทีที่ได้ยินเสียง คีตกานต์ก็จำได้ทันทีว่าเสียงที่พูดออกมานี้คือเสียงใคร ใช่เสียงของคนที่เขาคิดเอาไว้แน่ๆ แต่เพราะความที่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ผ้าห่มผืนใหญ่จึงได้ถูกดึงเปิดออกจนปรากฏเผยให้เห็นร่างที่เกือบจะนอนเปลือยเ