เมื่อถึงยามกลางคืน หยวนเพ่ยก็ทำตามที่วางไว้ นางนั่งลงที่ข้างเตียง นวดนิ้วมือของอีกฝ่ายด้วยมือสลับกับปลอกนิ้ว ท่าทีเอาใจใส่ของนางทำเอาเขาอดปลื้มใจไม่ได้ “ดึงครั้งละยี่สิบครั้ง ดึงเบาๆ ไม่ต้องแรงนัก ทำแบบนี้ทุกวันอาการจะดีขึ้นเพคะ” หยวนเพ่ยว่า ขณะที่ใช้นิ้วนวดคลึงระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
หยวนเพ่ยนั้นตื่นนอนตั้งแต่ย่ำรุ่ง นางหันไปมองเป็นอันดับแรกว่าบุรุษที่นอนอยู่เคียงข้างยังคงหลับสนิท นางจึงลุกออกจากที่นอนอย่าเงียบเชียบ แม้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังเย็นอยู่มาก นางจึงไม่ลืมที่จะสอดริมผ้าห่มเพื่อไม่ให้ลมหนาวเข้ามาได้หลังจากดูแลความเรียบร้อยของตนเอง ล้างหน้า สางผมเกล้ามวยเสียใหม่
เมื่อฉู่หวางตื่นมาในตอนเช้า ก็พบว่าหยวนเพ่ยปลุกเขาผิดเวลา แต่พอดีว่าวันนี้เขาแค่ไปยังฝ่ายหน้าเพื่อหารือกับฮู่ปู้ (ตำแหน่งการคลัง) เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงบประมาณของทหารในด่านเสินเยี่ย อีกทั้งยังไม่ถึงเวลานัด แต่กระนั้นเขาก็ยังต้องเร่งรีบด้วยนิสัยที่ตรงต่อเวลา ซึ่งหยวนเพ่ยก็ได้แต่คอยดูแลเสื้อผ้าเครื่องแ
“ฟู่หยวนเพ่ยน่ะหรือ? นางแต่งเป็นชายารองของฉู่หวางไปแล้ว มีเรื่องอันใดให้น้องหญิงกังวลหรือ?” เซียวซูเฟยเอ่ย ในขณะที่ที่เหลือลอบถอนใจด้วยระอาใจกับพฤติกรรมเสแสร้งของอีกฝ่าย รู้ทั้งรู้ว่าที่หยวนเพ่ยออกจากวังเพื่อเสกสมรสกับฉู่หวางนั้นเป็นเพราะผู้ใด ยังมาทำท่าทีสงสารเห็นใจอีก...ตบศีรษะจนระบมแล้วค่อยลูบหลั
ณ ตำหนักคุนหนิง ครานี้เงียบสงบ มีเพียงหวงไท่โฮ่วที่พินิจพิจารณาภาพวาดสาวงามหลายสิบภาพที่ทางเจ้ากรมพิธีการจัดหามาให้ จังหวะเดียวกับที่หวงตี้เสด็จมายังตำหนัก“ลูกถวายพระพรเสด็จแม่”“ลุกขึ้นเถอะ” หวงไท่โฮ่วยิ้มบาง “วันนี้ลมอันใดหอบฝ่าบาทมาหาแม่ได้เล่า”“ลูกคิดถึงเสด็จแม่จึงมาเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ” เขายิ้ม พล
“แต่นางก็ไม่ จึงกลั่นแกล้งให้หยวนเพ่ยพลาดงานเลี้ยงของเฉากุ้ยเฟยสินะ” หวงไท่โฮ่วยิ้มแย้ม จากคำบอกเล่า ละครโรงนั้นก็ช่างยิ่งใหญ่อลังการ ชวนให้นึกถึงตอนที่พระนางยังขับเคี่ยวกับบรรดาสนมต่างๆ ในสมัยสาวๆ จริงๆ นั่นละ“นั่นเป็นการเตือนของลูก ลูกอยากให้เสียนเฟยหยุดเพียงแค่นั้น ทว่านางกลับไม่ แม้ลูกจะให้หยวน
เมื่อเข้าสู่เดือนที่สามของการแต่งงานระหว่างฉู่หวางกับหยวนเพ่ย ก็มีเรื่องมงคลเกิดขึ้นในจวน ไป๋ฟูเหรินที่พำนักอยู่ด้วยได้ให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิง นับว่าเป็นบุตรหงส์บุตรมังกรอย่างแท้จริง เด็กผู้ชายตั้งชื่อว่าซือเสียน เด็กผู้หญิงตั้งชื่อว่า ซือเซียน เด็กน้อยทั้งสองสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ด้วยการดูแลของหมอหลว
งานคัดเลือกชายาให้ฉู่หวาง จื่อหาน จัดขึ้นในลานหน้าตำหนักชุนชิว ที่นั่นนอกจากเสียนเฟยและเหล่าสาวงามที่นางคัดเลือกมาแล้ว ยังมีเฉากุ้ยเฟย หลิวเต๋อเฟย และเซียวซูเฟยร่วมด้วย ทั้งสามอยู่ในชุดประจำฤดูใบไม้ผลิที่ทั้งสีสันสวยงาม เนื้อผ้าค่อนข้างเย็นสบาย ทั้งสามโบกพัดกลมพลางสนทนาอย่างออกรสเมื่อได้เวลาตามนัด
แต่แล้วในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันประสูติของรัชทายาท กลับทำให้พระองค์แปลกใจเหลือประมาณการแสดงของซินฉีไม่ได้เป็นการร่ายรำดื่มเดี่ยวใต้จันทร์ของหลี่ไป๋ กลับเป็นเพลง เจียเหรินฉู่ (ลำนำสาวงาม) ซึ่งเป็นเพลงของหลี่เหยินเหนียน นักดนตรีสมัยฮั่นตะวันตกที่แต่งเพื่อชมโฉมของฟูเหริน[1]พระองค์หนึ่ง“นางคือโฉมงามแห่ง
ฝ่ายงานราชพิธีของวังหลวงแบ่งออกเป็นหลายกองได้แก่ กองตำราอักษร กองสังคีต กองอาคันตุกะ และกองพิธีเฉลิมฉลอง ซึ่งยามที่ราชนิกุลหนุ่มทั้งสองพระองค์เดินผ่าน มักได้ยินเสียงเครื่องดนตรีและเสียงขับร้องไพเราะหวานแว่วไปทั่วบริเวณ จื่อหยวนและจื่อซินมาหยุดที่เรือนของกองพิธีเฉลิมฉลอง ที่นั่นมีหญิงสาวส
กาลเวลาผันผ่านตามฤดูกาลทั้งสี่ ยามวสันต์บุปผาบานสะพรั่ง เปลี่ยนเป็นคิมหันต์ตะวันสาดแสงแรงกล้า พอเข้าเดือนสารทใบเฟิงแดงส้มก็ร่วงหล่นปูลาดพื้นวิจิตรตระการ จากนั้นจึงผันผ่านเปลี่ยนเป็นเหมันต์ปกคลุมไปด้วยหิมะทุกแดนดิน ไม่นานก็ผ่านไปสิบห้าหนาว เหล่าทารกตัวน้อยที่เดิมเคยนอนขดนิ่งอยู่ในเปลรอการ
ณ เรือนหลังเล็กของจวนฉู่หวางแห่งฉางอันที่ใช้เป็นที่ทำงานและเป็นที่พักผ่อนคลายอิริยาบถของเจ้าของจวน บัดนี้มีของเล่นเด็กทั้งชายหญิงวางเรียงรายอยู่บนพื้นไม้ที่ปูด้วยผ้าผืนนุ่ม ทั้งตุ๊กตาเสือสีแดงปักลวดลายสดใส ม้าโยกตัวน้อยสีเหลืองสด ตุ๊กตาผ้าเด็กผู้หญิงหลากหลายขนาดและสีสัน และทองคำหีบเล็กที่เป็นของเล่น
หยวนเพ่ยได้ฟังข้อหาใหม่เช่นนี้ยิ่งงุนงงหนัก “เขาไปล่วงเกินฝ่าบาทตอนไหนหรือเพคะ”“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้า” เขาชี้มาทางนาง“หม่อมฉัน? ผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นแค่หรูเหริน เทียบเท่ากับตำแหน่งพระสนมขั้นไฉเหรินลำดับห้า ถ้านับตามยศแล้วหม่อมฉันย่อมต่ำชั้นกว่า หม่อมฉันจะคารวะเขาก่อนย่อมไม่แปลกเพคะ และที่เขาแตะ
หวงตี้จูงมือหยวนเพ่ยเข้ามายังสวนด้านใน สร้างความแตกตื่นให้แก่นางกำนัลที่พบเห็นไม่น้อย หยวนเพ่ยเองก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรง หนึ่ง ด้วยนางกำลังครรภ์แก่ใกล้คลอด สอง อีกฝ่ายเป็นถึงหวงตี้ ตอนนี้สถานการณ์ในจวนก็ย่ำแย่พอแล้ว ถ้าเกิดนางเผลอพลั้งมือซัดหวงตี้สลบเหมือนตอนสยบท่านข่านด้วยขากวาง เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างไม่มั่นคงและทุกข์ทรมานที่สุดนับตั้งแต่หยวนเพ่ยรู้จักวิธีหายใจ รายงานอาการบาดเจ็บของฉู่หวางที่ถูกส่งมาสัปดาห์ละสองฉบับนั้น แต่ละครั้งล้วนเป็นรายงานที่ไม่อาจนับได้เต็มปากว่าเป็นข่าวดี ถึงแม้เขาจะพ้นขีดอันตราย แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะส่งตัวกลับมายังซีหนิงได้ ทำให้หยวนเ
หยวนเพ่ยได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวไม่อยู่ โชคดีที่มีหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลานช่วยประคอง และมีหยวนหลี่ผู้เป็นมารดาบีบมือบุตรสาวไว้แน่น แล้วเอ่ยเบาๆ“ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อน”หญิงสาวได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้า นางสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย“เรื่องเป็นมาอย่างไร”อู่จี๋หอบหายใจครู่หนึ่งจึงกัดฟันเอ่ยต่อ“เมื่อวั
สองเดือนหลังจากนั้น หยวนเพ่ยก็ได้รับข่าวดีว่าทัพของฉู่หวางได้รับชัยชนะ บัดนี้อยู่ในค่ายของซีซย่า คาดว่าอีกสามวันถึงจะเดินทางกลับสู่ซีหนิงหญิงสาวที่ได้ยินข่าวดีเช่นนี้ก็ให้เบาใจ นางในตอนนี้อายุครรภ์เจ็ดเดือน แต่ครรภ์กลับใหญ่โตอุ้ยอ้ายยิ่ง จะนั่งก็ลำบาก จะยืนก็ปวดขา ขนาดหยวนหลี่ผู้เป็นมารดายังอดทักไม