ช่วงเวลาสองทุ่มที่ไฟดวงใหญ่กลางห้องถูกปิดแล้ว เหลือแค่โคมไฟที่ติดกำแพงบนหัวเตียงยังส่องสว่างอยู่ ส่วนหมอไป๋วันนี้เขาอยู่เฝ้าเธอทั้งวันไม่มีบ่นเลยสักแอะเดียวปกติจะพูดหนึ่งประโยคก็เหน็บคำไปแล้ว แต่นี่นอกจากเขาจะไม่พูดอะไร ยังเอาชุดมาเปลี่ยนตอนอาบน้ำแล้วนอนเฝ้าเธอทั้งคืนอีกต่างหากร่างบางกระชับผ้าห่มเตรียมจะล้มตัวลงนอน แต่คอยลอบมองคนตัวสูงเป็นระยะว่าจะเดินมาปิดไฟไหม“คุณจะปิดไฟเลยมั้ยคะ”“ไม่ต้อง เปิดไว้นั่นแหละ”เธอมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย หมอไป๋หยิบผ้าคาดตามาใส่ ก่อนจะทิ้งตัวนอนที่โซฟาหันหลังให้แสงจากดวงไฟหัวเตียงแทนอาจเป็นที่มาของคำว่า... จบที่เราเบาที่สุดลูกคนเดียวอย่างหมอไป๋ไม่เคยยอมใครมาก่อน แต่ครั้งนี้เห็นว่าเธอป่วยแล้วก็ต้องมาโดนหางเลขเพราะตัวเขาหรอกถึงได้ยอมให้ กลับไปถึงห้องเมื่อไหร่เขาก็ยังเลือกปิดไฟนอนตามเดิม“คุณไป๋...”“นอนซะ”เธอกำลังจะอ้าปากถามว่าปิดไฟไหมงับปากแทบไม่ทัน ก่อนจะแอบงุดหน้าอมยิ้มคนเดียวแล้วล้มตัวลงนอน มือก็กระชับผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างในท่าที่ตะแคงมองแผ่นหลังกว้างของหมอไป๋“ภารัชชา” เขาเรียกชื่อเธอ แต่ยังนอนหันหลังให้อยู่“คะ” เธอขานรับ ขณะสบมองไหล่กว้างของเข
ใครจะคิดว่าภาพนี้จะเกิดขึ้น...หลังคลื่นพายุความเสียใจสงบลง หมอไป๋ก็สละเวลาทั้งวันมาดูแลภารัชชาโดยเฉพาะ ไม่ปริปากบ่นหรือเหน็บแนมเธอแม้แต่คำเดียว แค่นั่งป้อนข้าวต้มปลาร้อนๆ ให้คนป่วยทานเงียบๆหมอไป๋บริการเป่าให้ก่อนป้อนถึงปากด้วย ทำเอาภารัชชานั่งงุดหน้าเม้มปากข่มอาการใจเต้นแรง ก่อนจะอ้าปากงับช้อนที่เขาป้อนให้ใบหน้าสวยสดเริ่มมีเลือดฝาดระเรื่อบนผิวแก้ม แต่ยังทิ้งร่องรอยของคราบน้ำตาให้เห็น ทั้งดวงตาที่บวมช้ำ ลามไปยันปลายจมูกที่ขึ้นสีแดงผลจากการร้องไห้หนัก“ทำไมเธอถึงกล้าไว้ใจคนที่ไม่รู้จัก” เขาเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายกำแพงความเงียบ สายตาสบมองใบหน้าเรียวเล็กไม่ละไปไหน“ก็เขาแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนคุณนี่คะ อีกอย่างฉันไม่อยากทำให้คุณต้องขายหน้า... เขาพูดเหมือนรู้จักคุณดีด้วยฉันก็เลยเชื่อใจ”“เฮ้อ เธอนี่มัน”“ฉันโง่เอง... ไม่ต้องย้ำหรอกค่ะ”หมอไป๋ส่ายหน้าพลางลอบถอนหายใจทิ้ง แต่ก็เข้าใจทำไมเธอถึงหลงกลลมปากกิตติธัช หมอนี่วาจาเป็นเลิศเรื่องโน้มน้าวใจคนอยู่แล้วอีกอย่างเขาก็เป็นเป้าหมายที่ควรถูกกำจัดแต่แรก กิตติธัชจะตามสืบเรื่องของเขาจนรู้ทุกซอกทุกมุมก็ไม่แปลก มันคงผิดที่เขาเองที่ไม่เคยเล่าหรือบอกอะไรให
“ฉันต้องได้เห็นว่าลูกสาวฉันปลอดภัย...”เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นหน้าห้องผู้ป่วย ฉุดดึงความสนใจภารัชชาที่เพิ่งฟื้นตัวมุ่นคิ้วหันไปมองตื่นมาเธอก็มีอาการคอแห้งอย่างหนักเลย โชคดีที่มีกรคอยส่งน้ำให้ดื่มแล้วก็ช่วยปรับเตียงให้ แต่ใบหน้างามล้ำก็ยังซีดเซียวไม่สดใสอยู่ดี แต่แล้วน้ำเสียงตวาดแหวที่ดังขึ้นก็กระทบโสตประสาทเธอเข้า“ถ้าลูกฉันตายขึ้นมาทำยังไงหะ ใครจะรับผิดชอบยะ!” เสียงปรางสิตาอาละวาด จนกรที่เป็นชายฉกรรจ์ก็ต้านแรงไว้ไม่อยู่“คุณปรางสิตาใจเย็นก่อนนะครับ คุณภารัชชาเพิ่งจะฟื้นตัวได้ไม่นานเกรงว่าจะ...”“หลบไป”“คุณปรางสิตาครับ”ร่างของมารดาผู้ให้กำเนิดปรากฏตรงหน้า ภารัชชาที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมากำลังจะยิ้ม และโหยหาอ้อมกอดใครสักคนที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยทว่ารอยยิ้มและความโหยหานั้นก็พลันเลือนหายไป เมื่อปรางสิตาไม่ได้ถามไถ่ถึงอาการป่วยเธอ แต่ต่อว่าเรื่องที่เธอไม่ได้อยากฟังสักนิด“แกนี่โง่จนเกือบจะพาตัวเองไปตายแล้วนะรู้มั้ย” ปรางสิตาขึ้นเสียงใส่เหมือนทุกครั้งที่โมโหร้ายไม่มีผิดก่อนหน้านี้เธอโทรเข้าหามือถือลูกสาว แต่ดันไม่มีสายตอบกลับมาก็เลยโทรหาหมอไป๋ถึงได้ทราบข่าว ว่าภารัชชาเข้าโรงพยาบาลใน
ภารัชชาถูกหามเข้าห้องฉุกเฉินในทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล ทุกอย่างชุลมุนเพียงชั่วพริบตาที่ทำให้หมอไป๋ว้าวุ่นใจ ไม่นานอาการของเธอก็เข้าสู่โหมดปลอดภัยแต่แค่ยังไม่รู้สึกตัวเธอถูกย้ายไปยังห้องผู้ป่วยพิเศษ โดยมีร่างสูงของสามีนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ประสานงานให้เจ้าหน้าที่แล้วเรียบร้อยแผ่นหลังกว้างของหมอไป๋ลู่ลง นั่งคอตกจับมือเย็นเฉียบของภารัชชาไว้ หวังว่าความอุ่นร้อนจากร่างกายเขาจะถ่ายโอนไปหาเธอปึกศีรษะเขาสัปหงกจนทิ้งลงบนเตียงผู้ป่วย พอรู้ตัวว่าหลับก็ผวาตื่นรีบผงะออกเพื่อมองว่าเธอฟื้นหรือยัง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าภารัชชาจะรู้สึกตัว นี่ก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้วที่เขายังอยู่ตรงนี้“ตื่นได้แล้ว...” เขาพูดเสียงแผ่วเบาในห้องเงียบที่สงัด ขณะมองใบหน้าสวยสดอันซีดเซียวไร้สีซับเลือดริมฝีปากที่เคยอมชมพูดูสุขภาพดีเจือจางไปเยอะ เปลือกตาสีมุกที่หลับสนิทไม่กระดิกตัวตั้งแต่สามชั่วโมงก่อนแล้ว มีแค่หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงจังหวะหายใจ“จะเอาไหม 300 ล้าน...” เขาพูดเชิงขู่แต่ยิ้มไม่ออกเลยสักนิดหมอไป๋มุ่นคิ้วเข้าหากันเชิงเว้าวอน ส่งมือไปสัมผัสที่ข้างแก้มของหญิงสาวที่นอนหลับใหล ราวกับ
ภารัชชาพยายามจะขืนร่างไว้ แต่ก็ถูกกิตติธัชลากขึ้นรถไปได้สำเร็จอยู่ดี เธอถูกอุ้มออกมาจากร้านที่ดูจะมีแต่คนของเขา สุดท้ายก็โดนจับยัดขึ้นรถแล้วปิดประตูใส่ในสภาพอ่อนปวกเปียก“อือ...”เธอสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนรวบแรงเฮือกสุดท้ายในการล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ควานหาโทรศัพท์มือถือกับใจที่เต้นแรง จนเม็ดเหงื่อผุดซึมตามไรผมและเปียกชุ่มทั่วลำคอ“จะทำอะไร” กิตติธัชตวัดสายตาไม่พอใจมอง เธอที่กำลังจะล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแต่เรียวแรงอันน้อยนิด กอปรกับสภาพโดนยาของภารัชชา แทบจะไม่มีทางต่อกรเขาได้อยู่แล้ว กิตติธัชกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเลือดเย็น เขาใช้มือบีบปลายคางเธอให้เงยหน้ามอง“ฮึก”“จะโทรให้ผัวมาช่วยเหรอ”ในแววตาคู่สวยมีม่านน้ำตาบดบัง วูบไหวไปมาด้วยความหวาดกลัวที่ร่างกายไม่ตอบสนองสมองสั่งการ เนื้อตัวเธอสั่นเทากับอาการหายใจไม่ค่อยออก จนใบหน้าขาวแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นมากิตติธัชนั่งอยู่บนเบาะคนขับ เขาจับใบหน้าเธอพลิกไปมา เชยชมความสวยงามจนตาเป็นประกายหื่นกระหายอย่างปิดไม่มิด“ฮึก...” ภารัชชาตัวสั่นเทิ้ม ลมหายใจสั่นแรง พลิกใบหน้าหันหลบอีกฝ่ายที่ยื่นหน้าจะจูบเธอ“ไม่ต้องกลัวผมหรอกคุณภารัชชา ห
“เหยื่อเข้ามาให้ปากคำเพิ่มอีกรายแล้วนะครับหมอไป๋...”เสียงคมเข้มของร่างสูงในชุดเครื่องแบบเต็มยศเอ่ยขึ้น ขณะก้าวเดินขนาบข้างร่างสูงไล่เลี่ยกันอย่างหมอไป๋ หลังเพิ่งเฝ้าการชันสูตรพลิกศพที่ต้องสงสัยว่ามีการลักลอบอวัยวะเกิดขึ้น“ยังไงฝากด้วยนะครับสารวัตร พวกเธอน่าสงสารมากจริงๆ” หมอไป๋ลอบระบายลมหายใจ นัยน์ตาสีรัตติกาลพลันหม่นอับแสงเหล่าเหยื่อสาวที่เป็นทั้งหมอและพยาบาล ต่างก็ขอให้เขาช่วยเหลือเรื่องที่ถูกหมอธานนท์ลวนลามในห้องผ่าตัด อีกทั้งยังพยายามจะเข้าหาชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์อย่างคุกคามอีกต่างหากเหยื่อบางคนมีสภาวะซึมเศร้าต้องกินยาเป็นประจำ หรือบางคนก็มีอาการหวาดระแวงหวาดกลัวผู้ชายไปโดยปริยายเพราะฉะนั้นหมอธานนท์คือเนื้อร้ายของโรงพยาบาล เขาจำเป็นต้องตัดทิ้งก่อนจะลุกลามจากเนื้อร้ายกลายเป็นเชื้อมะเร็ง“ไม่ต้องห่วงครับ ผมให้การคุ้มครองพยานและเหยื่อแน่นอน”หมอไป๋พยักหน้ารับ พลอยโล่งใจที่ตลอดร่วมเดือนรวบรวมหลักฐานและพยาน จนสามารถเอาผิดหมอธานน์ได้ จากจุดเริ่มต้นที่หมอหญิงในแผนกสังเกตเห็นการลักลอบขนอวัยวะที่หลังโรงพยาบาลหมออิงดาวเธอเป็นศัลยแพทย์ฝีมือดี เป็นเหยื่อยอีกรายที่โดนหมอธานนท์ลวนลามในห้อ