แชร์

บทที่ 10 เหม่ยอิงกับแวดวงสังคม

ผู้เขียน: กุญแจฟา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-29 06:03:14

เหวินเจิ้งกลับมางานรัดตัวอีกครั้ง เขาเทียวไปเทียวมาที่มาเก๊าตลอดสัปดาห์นี้ นั่นทำให้เหม่ยอิงไม่ได้เจอสามีตัวเองนัก แม้จะนอนดึกหรือตื่นเช้าแค่ไหนเวลาก็มักจะสวนทางกับเหวินเจิ้งอยู่เสมอ

และเมื่อความว่างผสมกับอาการเบื่อหน่าย ทำให้เหม่ยอิงใช้เวลานั้นจัดของภายในห้องตัวเองใหม่หมด มีของหลายชิ้นที่เธอเอาจากบ้านมาไว้ที่นี่ด้วย และหนึ่งในนั้นคือแฟ้มงานการออกแบบเครื่องประดับซึ่งเขียนข้อความไว้ว่าเป็นธุรกิจแรกกับเพื่อนสนิทตอนเรียนอยู่ต่างประเทศ

เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน พยายามขุดค้นความทรงจำตัวเองทว่าเปล่าประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจติดต่อหาจงเซ่อ ในตอนที่เขารับสายก็ดูร้อนรนไม่น้อยที่คุณหนูเหม่ยอิงโทรมา ก่อนหญิงสาวจะได้พูดอะไรจงเซ่อก็ดันชิงแทรกมาก่อนว่าเหวินเจิ้งทำงานอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ปลีกตัวไปไหนเลย

แต่เธอไม่ได้จะถามเรื่องนั้นเสียหน่อย...

คร้านจะซักไซ้มากมายจึงเลือกที่จะขานรับในลำคอ เหม่ยอิงเริ่มเข้าประเด็นถามถึงเรื่องธุรกิจเครื่องประดับนั้นทันที และเธอก็ได้คำตอบว่าเธอเคยทำมันจริง ๆ แต่ก็ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่ต่างประเทศก่อนจะแต่งงานเสียอีก

“เหมือนว่าช่วงนั้นคุณหนูเหม่ยอิงจะมีปัญหากับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันน่ะครับถึงได้ไม่ทำมันต่อ ถึงข่าวจะออกมาว่าคุณหนูเหม่ยเป็นคนต้นเรื่องก็ตามแต่ก็ไม่ได้สรุปออกมาว่าเป็นความจริงหรือไม่” จงเซ่ออธิบาย ส่วนคนฟังทำได้แค่กลอกตา ไม่ว่าจะกี่เรื่อง ๆ เธอก็ดูเหมือนจะเป็นตัวปัญหาตลอด สมฉายาจ้าวเหม่ยอิงนางร้ายแห่งยุคเสียจริง

ทว่าก็ไม่ใช่เวลามาสำนึกผิดกับการกระทำในอดีตของตัวเอง เหม่ยอิงใช้เวลาว่างหลังจากนั้นในการหาข้อมูลต่าง ๆ จนสรุปได้ว่าหลังจากนี้เธอจะเริ่มทำมันอีกครั้ง เพราะการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แค่ที่คฤหาสน์ตระกูลไท่เป็นเรื่องแสนเบื่อหน่าย อย่างน้อยหากมีธุรกิจเป็นของตัวเองบ้างก็คงจะไม่เหงาจนเกินไป

แต่ถึงแม้จะมีความมุ่งมั่นขนาดนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้ในทันที ยิ่งแล้วกับเหม่ยอิงที่ต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ศูนย์ยิ่งแล้วใหญ่ ในขณะที่คิดไม่ตกอยู่กับตัวเองเสียนาน จู่ ๆ วันต่อมาลี่ถิงผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยเลขาของสามีดันขอมาพบกันตั้งแต่เช้า

“ฉันรู้จากคุณท่านมาว่าคุณหนูเหม่ยอยากทำงานหรือคะ” คำถามตรงประเด็นทำให้เหม่ยอิงงุนงง เหวินเจิ้งรู้เรื่องแล้วงั้นหรือ?

“อ่า เอ่อ...ก็ใช่นะ แต่ก็เป็นแค่ความคิดอยู่น่ะ” หญิงสาวตอบพลางยิ้มเจื่อน ๆ บางทีการที่คนแบบเธอจะเริ่มทำธุรกิจอาจเป็นเรื่องน่าขำสำหรับคนนอกก็ได้ ทว่า...

“ช่วยบอกแผนงานคร่าว ๆ ในหัวคุณหนูเหม่ยมาสิคะ ฉันจะช่วยสรุปให้ค่ะ” คนได้ฟังอ้าปากค้าง เพียงแค่เธอเกริ่นเรื่องไปกับจงเซ่อแต่ทุกอย่างมันรวดเร็วแล้วจริงจังขนาดนี้เลยหรือ?

“นี่ลี่ถิง เหวินเจิ้งให้มาทำแบบนี้งั้นเหรอ” สุดท้ายก็อดจะเอ่ยถามออกไปเสียไม่ได้ ลี่ถิงยกยิ้มพลางพยักหน้ารับ

“คุณเหวินส่งฉันมาเป็นผู้ช่วยค่ะ” ยิ่งได้ยินแบบนั้นเหม่ยอิงก็ยิ่งตกใจจนพูดไม่ออก เหวินเจิ้งหมู่นี้ทำตัวแปลกเกินไปหรือเปล่า?

“นั่นหมายถึงเงินทุนด้วยใช่ไหม” ผู้ช่วยคนเก่งหลุดขำกับคำถามที่น่าเอ็นดูของนายหญิงนั้น เธอพยักหน้ารับอีกครั้ง

“เขาไม่กลัวฉันทำให้ขาดทุนบ้างหรือไง อะไรของเขานะคุณเหวินน่ะ” เสียงหวานบ่นอุบอิบ สีหน้าดูจริงจังทว่าในสายตาคนที่มองอยู่อย่างลี่ถิงมีแต่คำว่าน่ารักน่าเอ็นดู

“ยังไงคุณหนูเหม่ยจะไปคุยกับคุณท่านอีกครั้งก็ได้ค่ะ แต่ถ้าหากอยากแชร์ไอเดียกับฉันตอนนี้ เดี๋ยวฉันจะสรุปข้อมูลไว้ก่อนดีไหมคะ” ลี่ถิงเสนอ ซึ่งเหม่ยอิงก็ขอเวลารวบรวมสมาธิตัวเองเสียก่อน เธอยังไม่หายตกใจกับอะไรที่มันรวดเร็วขนาดนี้เลย จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็เริ่มพูดสิ่งที่คิด

“ฉันเห็นว่าตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็นช่วงที่กุ้ยฮวาบานพอดีแล้วมันก็เป็นดอกไม้โปรดของฉัน พอเอาความคิดมารวม ๆ กับเรื่องแบรนด์จิวเวลรี่แล้วก็เลยอยากทำเป็นเครื่องประดับสำหรับคอลเลคชั่นในฤดูนั้นน่ะ” คำอธิบายยาวยืดหากแต่ลี่ถิงก็เข้าใจทุกถ้อยคำ เธอพยักหน้าพลางจดสิ่งที่นายหญิงต้องการ

“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยใช่ไหมล่ะ ใช่ว่าอยากจะทำก็ทำได้เลยเสียเมื่อไหร่” เหม่ยอิงเข้าใจข้อจำกัดนั้นดี ทั้งการเปิดตัวแบรนด์กะทันหันที่ไม่มีฐานลูกค้าเป็นทุนเดิม ทั้งคู่แข่งมากมายและการตลาดอันแข็งแรงของแบรนด์จิวเวลรี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นั่นเป็นสาเหตุที่เหม่ยอิงนึกสงสัยว่าเหวินเจิ้งที่รู้ถึงความเสียเปรียบพวกนั้นดีทำไมถึงยังอนุญาตให้เธอทำอีก?

หากไม่เรียกว่าเสียสติก็คงมีเงินเหลือเฟือจนยอมให้เธอเอามาถลุงเล่นล่ะมั้ง...

ทว่าลี่ถิงกลับไม่คิดเช่นนั้น จริงอยู่ที่สี่ถึงห้าเดือนนี้คุณหนูเหม่ยหายจากหน้าสื่อไปจนความนิยมห่างหายไป แต่ใช่ว่าจะมีคนรู้จักเธอน้อย ๆ เสียที่ไหน คนชังเหม่ยอิงมีมากก็จริง ทว่าคนที่พยายามเลียแข้งเลียขาภรรยาเหวินเจิ้งผู้นี้ก็มีมากไม่ได้แพ้กัน

แค่ต้องพาคุณหนูเหม่ยอิงกลับมาออกงานสังคมสักหน่อยก็เท่านั้น...

เธออยู่คุยกับคุณหนูเหม่ยอีกสักพักใหญ่ ๆ โดยใจความสำคัญก็มีเรื่องที่เหม่ยอิงอาจจะต้องกลับมาทำตัวโดดเด่นโลดแล่นหน้าสื่อ ต้องหาพันธมิตรจากหลาย ๆ ตระกูล และต้องหาฐานสร้างธุรกิจที่มั่นคงให้กับตัวเองเพิ่มขึ้น จนถึงเวลาอาหารเย็นลี่ถิงถึงได้กลับไป เหม่ยอิงที่พอได้คุยทุกเรื่องที่คิดไว้ในหัวพลันรู้สึกโล่งขึ้นมา ลี่ถิงเป็นคนทำงานเก่งสมกับเป็นผู้ช่วยเลขาเหวินเจิ้งมากเสียจริง

“วันนี้แช่ตัวหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย ฉันจะเตรียมน้ำให้ค่ะ” อาหลันที่เห็นนายหญิงตัวเองนั่งคุยงานทั้งวันจึงเสนอด้วยความหวังดี เหม่ยอิงที่ฟังเช่นนั้นก็สนใจ เธอจึงพยักหน้ารับพลางขอบคุณเสียงเบา

จะว่าไปวันนี้เหวินเจิ้งก็ยังไม่กลับงั้นหรือ...

ดวงตากลมโตสอดส่องไปทางประตูข้างนอกคฤหาสน์อย่างเผลอตัว กระทั่งพอรู้ว่าเพิ่งจะนึกหาอีกคนทั้ง ๆ ที่ไม่ควรนึกก็สะดุ้งตัวโยนรีบส่ายหน้าไปมา

“ไม่ได้คิดถึงซะหน่อย” เสียงหวานพูดอู้อี้คล้ายสะกดจิตตัวเอง หลังจากนั้นเหม่ยอิงก็ขึ้นไปอาบน้ำแช่ตัวที่ห้องตัวเองอยู่เป็นชั่วโมง กว่าจะเสร็จก็ค่ำมากแล้ว เหล่าสาวใช้ต่างกลับไปพักผ่อนกันหมดจนเหลือแค่เธอเท่านั้นที่อยู่ภายในคฤหาสน์

เหม่ยอิงเมื่อได้ใช้ชีวิตคนเดียวหลายวันก็เริ่มชิน และวันนี้พอได้แช่น้ำจนสบายตัวแล้วเธอจึงเลือกสวมแค่ชุดคลุมอาบน้ำแล้วลงไปยังห้องที่คล้ายบาร์ขนาดย่อมหวังจะหาอะไรดื่ม พลันก้าวได้แค่ไม่เท่าไหร่ก็ต้องแปลกใจเมื่อกลิ่นหอมเย็นแสนคุ้นเคยปะทะจมูกเป็นอย่างแรก

ดวงตาคมกริบสีไม้สนตวัดมองคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา เหวินเจิ้งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำที่ปลดกระดุมออกถึงสามเม็ด คู่กับกางเกงสีเข้ม ในมือถือแก้วเหล้าสีอำพันที่พร่องไปเกินครึ่ง บรรยากาศรอบกายเงียบเชียบ ทว่าสายตาที่กำลังจดจ้องผู้เป็นภรรยานั้นกลับร้อนแรงแผดเผาเสียอย่างนั้น

“อยู่คนเดียวแล้วสวมชุดแบบนั้นมาเดินด้านล่างทุกวันหรือ” สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบระหว่างกัน คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยอย่างคนขัดใจ ถึงภายในคฤหาสน์จะไม่อนุญาตให้ลูกน้องที่อยู่ข้างนอกเข้ามาได้ แต่เหวินเจิ้งก็ยังรู้สึกขุ่นมัวอยู่ดีเมื่อนึกว่าจะมีใครได้เห็นเรือนร่างในเสื้อคลุมผืนบางของภรรยา

“ปะ เปล่าค่ะ” เธอตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก อาจเพราะรู้สึกได้ถึงความดุดันผ่านน้ำเสียงและแววตานั้น ทว่าก็ไม่สามารถบังคับให้ตัวเองหันหลังกลับขึ้นห้องได้

“...” เหวินเจิ้งไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เขายังมองตรงไปที่เหม่ยอิง ท่าทางนั้นทำให้คนโดนมองหายใจไม่ทั่วท้อง

“นั่งด้วยกันไหม จะลงมาหาอะไรดื่มไม่ใช่หรือ” คำชักชวนนั้นเหม่ยอิงคิดปฏิเสธ แต่พอเห็นว่าเหวินเจิ้งวันนี้ดูแตกต่างไปจากทุกทีและอาจจะเพราะไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน ขาเรียวจึงก้าวเข้าไปหาก่อนที่จะได้รู้สึกตัว

ร่างสูงยังนั่งที่เดิม เพียงแค่เลื่อนสายตาตามการขยับกายของภรรยา กระทั่งเหม่ยอิงมาหยุดอยู่ข้างกัน มือหนาถึงได้หยิบแก้วแล้วเอามารินแอลกอฮอล์พลางยื่นให้เธอ เหม่ยอิงพูดขอบคุณเสียงเบา

“ฉันนึกว่าคุณยังทำงานอยู่ที่มาเก๊า” คราวนี้บทสนทนาเริ่มต้นจากฝั่งเหม่ยอิงบ้าง

“สบายใจที่เฮียไม่อยู่งั้นหรือ” ทว่าคำตอบของสามีก็ทำให้เธอกลอกตาไปมา คำพูดนี้เหวินเจิ้งยังจำได้อยู่อีกเหรอ?

“ยังไม่เสร็จดีแต่ก็เคลียร์ไปได้เยอะแล้ว” เขาว่าต่อ คนตัวเล็กจึงพยักหน้ารับ

“อ๋อ แล้วเรื่องวันนี้ที่คุณเหวิน--” คำพูดของเหม่ยอิงชะงักไปกลางคัน เมื่อจู่ ๆ เหวินเจิ้งเอื้อมมือมาสัมผัสผมเปียกชื้นของเธอแล้วม้วนเล่น

“ว่าต่อสิ”

“ฉัน...จะพูดเรื่องที่คุณให้ลี่ถิงมาหา” เธอนึกสงสัยกับท่าทีแปลกประหลาดของเหวินเจิ้ง เขาเอาแต่เลื่อนสายตามองกันไม่หยุดหย่อน ทั้งสัมผัสที่ปลายนิ้วนั่นอีก

“อืม” เสียงทุ้มขานรับ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากอีกคนทำให้ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้พอบรรเทาให้ผ่อนคลายลงได้ เหวินเจิ้งรู้สึกเหนื่อยสะสมกับช่วงตลอดหลายวันมานี้ที่เขาต้องเดินทางและเคลียร์งานไม่หยุดไม่หย่อน นั่นทำให้เขาวันนี้มีท่าทางที่แปลกไป ทว่าพอได้เห็นหน้าภรรยาและกลิ่นหอมในระยะใกล้ก็รู้สึกดีขึ้น

“อยากกลับไปทำใช่หรือเปล่า”

“อืม ฉันอยากทำค่ะ” เหม่ยอิงตอบแบบไม่ลังเล

“รู้ใช่ไหมว่าธุรกิจที่ไม่มีกำไรไม่เรียกว่าธุรกิจ”

“...”

“ยิ่งกับตระกูลไท่ อะไรที่ลงทุนไปแล้วขาดทุนย่อมเปล่าประโยชน์ที่จะให้ค่า” รอยยิ้มกดลึกราวพูดเรื่องดินฟ้าอากาศธรรมดาทำให้เหม่ยอิงเม้มริมฝีปากแน่น

“แต่เพราะว่ามันเป็นเรื่องภรรยาต้องการ และทรัพย์สินในบัญชีเฮียก็มากพอให้เอาไปเล่นซนได้” เหม่ยอิงอ้าปากพะงาบครั้นได้ฟังประโยคนั้นจบ ก่อนหน้านี้เธอนึกว่าเหวินเจิ้งจะขู่เพื่อให้เธอกลัวจะได้ไม่คิดทำมันเสียอีก ทว่าก็ผิดทั้งหมดเมื่อนอกจากจะพูดเช่นนั้นแล้วเขายังยื่นเช็คเงินสดให้เหม่ยอิงด้วย

ดวงตาเบิกกว้างครั้นเห็นตัวเลขในนั้น ร้อยล้านหยวนกับแค่เธอเอ่ยปากอยากหาอะไรทำเนี่ยนะ!?

“คุณรู้ไหมคะว่าพวกเราอยู่ในสถานการณ์ไหน ใส่ชุดล่อแหลมกับคุณเหวินที่กำลังยื่นเช็คเงินสดให้ฉันอยู่นะ? ให้ตายเถอะ” เหม่ยอิงบ่นอุบ ทว่าคำพูดนั้นก็ทำให้เหวินเจิ้งหลุดหัวเราะ จะว่าไปมันก็เป็นสถานการณ์ที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย

“ภรรยาฉันนี่คิดเล็กคิดน้อยเสียจริง”

“ก็มันน่าคิดนี่คะ”

“หรือจะไม่เอาล่ะ?”

“เอาค่ะ แล้วก็ไม่ต้องมาพูดเหมือนว่าฉันจะทำเงินคุณเหวินขาดทุนเลย รับรองว่าฉันคืนให้แบบไม่ตกหล่นสักหยวน” เขากระตุกยิ้ม ทอดมองสีหน้าแสนเย่อหยิ่งที่ยามนี้ดูมั่นอกมั่นใจนัก

“ทำให้ได้เหมือนที่ปากว่า”

“เอ๊ะ!” สงครามขนาดย่อมเหมือนจะเริ่มอีกครั้งหลังจากไม่เจอกันหลายวัน ทว่ามันกลับยุติด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของเหวินเจิ้งเสียก่อน เหม่ยอิงนิ่วหน้าเมื่อเห็นเขามีงานกระทั่งเวลาดึกดื่น

“อืม” เสียงทุ้มขานตอบคนปลายสาย อารมณ์ดีก่อนหน้านี้ถูกขัดจังหวะและเมื่อยิ่งได้ฟังเรื่องที่จงเซ่อรายงานก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ เห็นทีว่าเขาจะต้องกลับไปมาเก๊าต่ออีกหลายวันและน่าจะนานกว่าเดิมเป็นแน่ เมื่อวางหูจากลูกน้องคนสนิทเรียบร้อยจึงหันกลับมามองคนข้างกาย เหวินเจิ้งถอนหายใจก่อนเอ่ยให้เหม่ยอิงขึ้นห้องไปทำให้ผมแห้งจะได้ไม่ป่วย

“แล้วก็คราวหน้าคราวหลังอย่าสวมแค่เสื้อคลุมเดินเพ่นพ่านตอนดึกอีก”

“ทำไมคะ ร่างกายฉันแข็งแรงมากขึ้นแล้วนะไม่ได้ป่วยง่ายขนาดนั้นเสียหน่อย คุณเหวินไม่ต้องกลัวหรอก” เหม่ยอิงกอดอกพลางตอบ

“ไม่ได้กลัวเรื่องนั้น” หญิงสาวเอียงหน้าอย่างสงสัย

“เธอไว้ใจกันมากเกินไปหรือเปล่า ถึงเฮียจะดูเป็นคนอดทนเก่งก็ใช่ว่าจะอดทนได้ตลอด”

“...” สิ้นคำตอบนั้นร่างบางถึงกับเบิกตากว้าง มือเรียวสวยยกขึ้นกอดตัวเองไว้พลางมองเหวินเจิ้งอย่างไม่ไว้ใจสุดขีด เขาลอบขำก่อนตอบว่าเธอรู้สึกตัวช้าไป

“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณเหวิน” ได้ทีก็รีบบอกลาแล้วกำลังจะหันหลังหนีแต่ก็โดนเหวินเจิ้งรั้งไว้ เขาลุกขึ้นยืมเต็มความสูงแล้วก้าวเท้าให้ระยะห่างระหว่างกันเหลือน้อยนิด เหม่ยอิงช้อนตาขึ้นมองอย่างมีคำถาม

“หือ?” แต่เธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อเหวินเจิ้งดึงข้อมือข้างหนึ่งของเธอออกอย่างถือวิสาสะ หญิงสาวตกใจนึกว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีแต่ก็ไม่ใช่ เพราะในวินาทีต่อมาริมฝีปากร้อน ๆ ของเหวินเจิ้งกลับทาบลงที่หลังฝ่ามืออย่างบรรจง

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ และมันก็เงียบมากพอให้เหม่ยอิงได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวจนน่ากลัว กระทั่งเหวินเจิ้งเคลื่อนใบหน้าเข้ามาหากัน เขากระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงพร่า

“เฮียอยากจูบเธอมากแต่กลัวว่าอยู่กันในสภาพนี้แล้วจะไม่หยุดแค่จูบ”

“...”

“ราตรีสวัสดิ์อาเหม่ยอิง”

ค่ำคืนในวันนั้นจบลงที่เหม่ยอิงรีบหันหลังหนีสามีขึ้นห้องท่ามกลางสายตาขบขันปนเอ็นดูของเขา เหม่ยอิงนึกโกรธตัวเองที่เอาแต่พ่ายแพ้เหวินเจิ้งอยู่เสมอ

“ฉันรวบรวมรายชื่อของตระกูลที่ตอนนี้กำลังมีงานเลี้ยงมาให้แล้วค่ะคุณหนูเหม่ย ก่อนอื่นฉันว่าเราควรรับคำเชิญพวกนี้แล้วกลับไปอยู่หน้าสื่ออีกครั้งให้ได้” ทว่าก็นึกเคืองเหวินเจิ้งได้แค่ไม่เท่าไหร่ เพราะเขาคนนั้นอุตส่าห์อนุญาตให้ลี่ถิงมาช่วยเธอได้ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีงานล้นมือ เหม่ยอิงรับแฟ้มจากอีกคนมาดู

“อืม” เธอร้องในลำคออย่างคนใช้ความคิด แค่เห็นรายชื่อทอดยาวเกือบเต็มหน้ากระดาษก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาแล้ว

“เข้าใจแล้ว งั้นฉันฝากลี่ถิงตอบรับให้หน่อยนะ”

“ได้ค่ะคุณหนูเหม่ย” ความจริงแล้วเหม่ยอิงก็ไม่ได้คิดให้ธุรกิจตัวเองเป็นที่รู้จักหรือต้องได้ผลตอบรับถล่มทลายตั้งแต่เพิ่งเริ่มเปิดตัวอะไรขนาดนั้น ทว่าเพราะเมื่อคืนที่ดันพลั้งปากอวดดีไปกับเหวินเจิ้งว่าเธอไม่มีทางทำเงินเขาขาดทุนก็ผลักให้เหม่ยอิงต้องจริงจังกว่าเดิมอย่างช่วยไม่ได้

จะให้ไท่เหวินเจิ้งหัวเราะเยาะทีหลังไม่ได้เด็ดขาด!

“แล้วก็ฉันจะติดต่อหาคุณเฉียนเฉียนด้วยนะ อยากได้ชุดใหม่สักสองสามชุด” ลี่ถิงเพิ่มตารางงานให้คุณหนูเหม่ยอิงอย่างรู้หน้าที่

“อยากได้อะไรเพิ่มเติมไหมคะ”

“อืม...ตอนนี้ยังหรอก แค่ฉันอยากลองออกแบบรูปจี้กุ้ยฮวาดูสักหน่อยน่ะ”

“คุณหนูเหม่ยจะออกแบบเองหรือคะ?”

“แน่นอนสิ ก็ฉันเป็นคนเจ้าของแบรนด์นี่” เหม่ยอิงตอบพลางหัวเราะกับท่าทีที่ดูตกใจของลี่ถิง ผู้ช่วยของเธอคงจะคิดว่าเธอจะใช้เงินของสามีแก้ปัญหาทุกเรื่องสินะ

แต่คิดผิดแล้ว ยามนี้เหม่ยอิงไม่ใช่คุณหนูที่จะใช้เงินฟุ่มเฟือยอีกต่อไป!

“ได้ค่ะ หลังเวลาน้ำชาเดี๋ยวฉันจะเตรียมของที่ต้องใช้ไว้ให้”

“ขอบคุณนะ ไม่มีลี่ถิงฉันต้องแย่แน่เลย” รอยยิ้มงดงามกับคำชมอย่างตรงไปตรงมาทำเอาคนฟังชะงัก ลี่ถิงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะยิ้มตอบอย่างเขินอาย ใครจะไปคาดคิดว่าจะได้รับคำชื่นชมจากนายหญิงผู้นี้กันล่ะ

กระทั่งเวลาผ่านไปอีกสี่วัน เหวินเจิ้งยังคงทำงานอยู่ที่มาเก๊า ส่วนเหม่ยอิงก็ทำหน้าที่ของตัวเอง และงานเลี้ยงแรกที่เหม่ยอิงต้องไปคือของตระกูลเจีย ภรรยาผู้นำตระกูลมีนามว่าเสี่ยวหมี่ เธอเป็นคนมีอิทธิพลไม่น้อยสำหรับแวดวงตระกูลขนาดกลาง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เหม่ยอิงตอบรับคำเชิญของเธอเป็นคนแรก

งานเลี้ยงแบบโต๊ะจีนร่วมแสดงความยินดีที่เธอกำลังจะมีทายาทแต่ก็เป็นงานเลี้ยงเฉพาะคนที่ได้รับคำเชิญเท่านั้น ทันทีที่เหม่ยอิงก้าวเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยง สายตาหลายคู่พลันมองตรงมาอย่างตั้งคำถาม

นั่นคือคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงไม่ใช่หรือ?

ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทาย ได้แต่ส่งสายตามองคนที่อยู่ในชุดกี่เพ้าคอจีนสีขาวประดับลวดลายดอกไม้มงคลอย่างปราณีต ซึ่งชุดนี้ถูกตัดพิเศษโดยห้องเสื้อชื่อดังอย่างเฉียนเฉียน ผมยาวสีหม่นเกล้าขึ้นแล้วปักด้วยปิ่นปักผมสีเงิน ในมือถือพัดที่เข้าชุดกัน ใบหน้างามนิ่งเฉยทว่าสะกดสายตาคนที่มองเห็น คุณหนูเหม่ยอิงตัวจริงงามถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

“สวัสดีค่ะคุณไท่เหม่ย” คำเรียกไม่คุ้นเคยทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะค้อมศีรษะตอบเสี่ยวหมี่ซึ่งเข้ามาทักทายกัน

“สวัสดีค่ะ”

“ไม่คิดว่าคุณหนูเหม่ยจะมาจริง ๆ ฉันตกใจมากเลยล่ะค่ะ” ว่าพลางก็ยกพัดขึ้นป้องปากแล้วยิ้มตาหยี แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่ได้ยินเรื่องเธอคนนี้มาไม่น้อย ทว่าใครจะไปสนใจข่าวคาวพวกนั้นเล่า ตอนนี้งานเลี้ยงแสดงความยินดีต่อทายาทของเธอกำลังได้รับความสนใจเพราะเธอกระจายข่าวออกไปว่าเหม่ยอิงจะมาเข้าร่วมด้วยไงล่ะ

“ต้องมาสิคะ นี่ของขวัญแสดงยินดีกับเจ้าตัวเล็กในท้องค่ะ” เสียงหวานรื่นหูตอบพลางหันไปรับของจากลี่ถิงที่มาด้วยกัน มันคือของขวัญที่เหม่ยอิงสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เข็มกลัดสีทองรูปดอกเหมย เสี่ยวหมี่ที่เห็นเช่นนั้นถึงกับตาวาววับ แค่ได้ดูก็รู้ว่าราคาต้องแสนแพงแน่นอน

“ดอกเหมยแสดงถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญ ฉันอยากอวยพรถึงทายาทของคุณเสี่ยวหมี่ให้เขาเติบโตอย่างกล้าหาญน่ะค่ะ” คนในงานที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับหันไปซุบซิบกันพลางแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานา ข่าวลือที่เคยได้ยินกับคุณหนูเหม่ยที่ได้เห็นแตกต่างโดยสิ้นเชิงเลยไม่ใช่หรือ?

“สวยมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณหนูเหม่ยจริง ๆ ฉันจะกลัดทุกวันเลย” เหม่ยอิงที่ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มรับ คราวนี้เริ่มมีหลายคนเข้ามาทักทายเธอบ้าง พวกเธอเหล่านั้นหวังว่าในอนาคตจะได้รับของขวัญจากภรรยาคุณไท่เหวินเหมือนเสี่ยวหมี่

กระทั่งงานเลี้ยงเริ่มไปได้หลายชั่วโมง เหม่ยอิงเริ่มที่จะปรับตัวได้ ร่างขาวผ่องโดดเด่นท่ามกลางภรรยาประมุขหลายตระกูลที่เข้ามาพูดคุยกัน ทำให้บุคคลหนึ่งซึ่งปกติมักเป็นที่ได้รับความสนใจตอนนี้กลับโดนแย่งไป หนิงอันได้แต่ยืนกำมือแน่น

“ดูนั่นสิคะ คุณหนูเหม่ยตัวจริงสูงโปร่งแล้วก็งามกว่าที่เห็นในรูปเสียอีก” ยิ่งได้ยินคำเยินยอข้างหูก็ยิ่งแสดงสีหน้าย่ำแย่ ทว่าเพื่อให้ตนกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งเธอจึงก้าวไปยังวงสนทนานั้นโดยไม่คำนึงเรื่องมารยาทใด ๆ อีก

“สวัสดีค่ะคุณหนูเหม่ย” ดวงตาสีสวยตวัดมองบุคคลมาใหม่ เหม่ยอิงทักทายกลับก่อนจะหันไปหาลี่ถิงซึ่งหญิงสาวก็รู้หน้าที่ เธอกระซิบบอกว่าหนิงอันคืออีกหนึ่งคนที่เป็นตระกูลกลาง ๆ และมีคอนแทคกว้างขวาง เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหม่ยอิงจึงลอบสำรวจอีกคนอย่างพินิจ หนิงอันมีส่วนสูงพอเหมาะพอดีตามมาตรฐาน ดวงตาสีอ่อนทั่วไป ผมลอนสีน้ำตาลทว่าสิ่งที่โดดเด่นคงเป็นไฝข้างริมฝีปากที่ต่อให้ไม่สังเกตก็เห็นได้โดยง่าย

“สวัสดีค่ะ” เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าภรรยาไท่เหวินทำให้หนิงอันตระหนักว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่าขนาดไหน ทั้งรูปร่างสมส่วนที่ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา ใบหน้าหวานพริ้มพราวเสน่ห์ เสียงหวานที่เอ่ยตอบกันนั้นก็รื่นหูราวน้ำผึ้ง หนิงอันรีบยกพัดขึ้นมาป้องปากพลางพูดต่อ

“มะ ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณหนูเหม่ยที่นี่”

“มาพูดอะไรตอนนี้กันล่ะคะ คุณหนูเหม่ยมาตั้งนานแล้วส่วนคุณหนิงก็มาก่อนเริ่มงานเสียอีก พูดเหมือนเพิ่งจะเห็นเสียได้” เป็นเสี่ยวหมี่ที่แซวขึ้นมา เธอหัวเราะในท้ายประโยค

“พอดีฉันมัวแต่คุยกับคนอื่นอยู่น่ะค่ะเลยไม่ทันสังเกต”

“คุณหนิงนี่คงจะจริงจังกับบทสนทนามากเลยนะคะ คุณหนูเหม่ยโดดเด่นขนาดนี้แท้ ๆ กลับไม่เห็นเสียได้” อีกคนที่ยืนข้าง ๆ เสี่ยวหมี่พูดขึ้น หนิงอันได้แต่กักเก็บสีหน้าเกลียดชังผ่านพัดในมือ คนพวกนี้คงพยายามเลียแข้งเสียขาเอาใจเหม่ยอิงอยู่เป็นแน่

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนในงานก็ตั้งเยอะแยะ ฉันไม่ใช่คนที่ทุกคนต้องมาสนใจขนาดนั้นหรอกค่ะ” เหม่ยอิงว่าต่อ ความจริงเธอก็ไม่ได้ถือสาตามที่พูด แม้ว่าตัวเองจะเป็นภรรยาไท่เหวินเจิ้งซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่และมีอำนาจกว่าคนพวกนี้แต่ที่เธอมาก็เพื่อธุรกิจตัวเองเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ดูท่าคุณหนูเหม่ยจะแตกต่างจากที่เคยได้ยินมามากเลยนะคะ” ลี่ถิงขมวดคิ้ว เธอมองดูผู้หญิงคนนั้นว่าต้องการจะพูดอะไรกับภรรยาเจ้านายของเธอกันแน่

“เหมือนแสแสร้งแกล้งทำจนน่าตกใจเลย”

“...”

“หมายถึงในข่าวน่ะค่ะ ที่ว่าร้ายนักร้ายหนาดูเป็นข่าวที่แสแสร้งเสียจริงนะคะ” พูดจบเธอก็หัวเราะคล้ายเรื่องนั้นตลกเสียเหลือเกิน ลี่ถิงที่ยืนอยู่ด้านหลังได้แต่กำมือแน่น อยากต่อว่าแทนนายหญิงแต่ก็ทำไม่ได้

วงสนทนาเงียบไปอึดใจหนึ่ง พวกเธอเหล่านั้นสำรวจท่าทีเหม่ยอิงเงียบเชียบเพื่อประเมินสถานการณ์ แม้ตัวจริงเหม่ยอิงจะแตกต่างจากข่าวลือมากโขแต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่หนิงอันกำลังเหน็บแนม บางทีเธอผู้นี้อาจแสร้งทำเพื่อหาประโยชน์อะไรบางอย่างก็ได้ ทว่าคำตอบต่อมาของเหม่ยอิงยังคงเอ่ยแบบนุ่มนวลไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด

“จริงด้วยค่ะ ข่าวลือไร้มูลแบบนั้นคุณเหวินก็ไม่พอใจอยู่หลายครั้ง แต่เพราะเป็นแค่คำพูดขี้ปากคนฉันก็เลยไม่อยากเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาใส่สมอง” เหม่ยอิงว่าพลางแสดงสีหน้าหนักอกหนักใจ เธอโบกพัดในมืออย่างเอื่อยเฉื่อยทว่าหลายสายตาก็จับจ้องยังแหวนเพชรเม็ดโตที่นิ้วนางข้างซ้ายซึ่งโดดเด่นสะดุดตา เหม่ยอิงกดมองหนิงอันราวกับจะสื่อว่าให้เธอยอมแพ้และหุบปากไป

ชื่อของไท่เหวินเจิ้งในบทสนทนาทำเอาคนฟังสะดุ้ง แม้เป็นเรื่องโกหกแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เหวินเจิ้งเป็นคนมีอิทธิพลใหญ่โตคับฟ้ากันล่ะ? เหม่ยอิงได้แต่พูดขอโทษในใจที่ใช้ชื่อเขาขึ้นมาอ้าง

“ตายจริง ดูคุณไท่จะหวงแหนภรรยามากเลยนะคะ” เสี่ยวหมี่เอ่ยขึ้นทำลายความอึดอัด เมื่อฟังประโยคเมื่อครู่แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเธอทั้งหมดจะลงใจว่าต้องอยู่ฝ่ายไหน คราวนี้หนิงอันยิ่งคับแค้น เธอกัดฟันกรอดอย่างไม่สบอารมณ์

“แต่ว่าคุณเสี่ยวหมี่เพิ่งจะแต่งงานกับท่านเจียไปไม่กี่เดือนก็มีทายาทมาสืบสกุลแล้วนะคะ แล้วคุณหนูเหม่ย...” จนกระทั่งต้องนึกเอาคำพูดมาหักหน้าเหม่ยอิงอีกครั้ง หนิงอันเว้นประโยคไว้ แม้ดูเป็นประโยคธรรมดาแต่คนฟังก็รู้ได้ว่าจงใจกระทบคุณหนูเหม่ยที่แต่งงานร่วมปีแต่ยังไม่มีทายาทซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียสกับแวดวงนี้ไม่น้อย ซึ่งคราวนี้ลี่ถิงไม่อยู่เฉย เธอกำลังจะออกหน้าเอ่ยเถียงทว่ากลับโดนคนตัวขาวยกมือห้ามไว้

“จริงด้วยค่ะ คุณเสี่ยวหมี่เพิ่งแต่งงานแต่กลับตั้งครรภ์แล้วแสดงว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องหวานชื่นแน่เลย” เสี่ยวหมี่ยกพัดขึ้นบังใบหน้าคล้ายเขินอาย เหม่ยอิงยังคงพูดต่อ

“ทางฉันนี่สิคะที่น่าเป็นกังวล” หนิงอันแสยะยิ้มร้ายเมื่อเห็นว่าเหม่ยอิงกำลังจะพ่ายแพ้ต่อหัวข้อนี้

“คุณเหวินมีงานเยอะมาก เขากลับดึกตื่นเช้าทุกวันจนฉันกังวลกับเรื่องสุขภาพเขาไม่น้อยเลยล่ะค่ะ ถ้ายังเอาเรื่องทายาทไปใส่หัวเขาอีกก็คงเป็นภรรยาที่ใจร้ายไม่น้อยเลย” เสี่ยวหมี่พยักหน้าเข้าใจ คนอื่น ๆ ก็คล้อยตามไปกับประโยคนั้น ยกเว้นหนิงอัน

“ว่าแต่คุณหนิงอันที่ยังไม่ได้แต่งงานกลับสนใจเรื่องทายาทเป็นพิเศษเลยนะคะ แบบนี้ก็คงใกล้จะได้ฟังข่าวดีแล้วใช่ไหมคะ” เหม่ยอิงสังเกตที่นิ้วของหนิงอันซึ่งยังไม่ได้มีแหวนสวมจึงถามออกไป ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มราวนางฟ้า ทว่าคำพูดกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม

“ตายจริง คุณหนูเหม่ยไม่รู้หรือคะว่าคุณหนิงเพิ่งโดนถอนหมั้นไม่กี่สัปดาห์ก่อน อุ้ย ขอโทษนะคะคุณหนิง” หญิงสาวหนึ่งในนั้นพูดขึ้น และมันก็ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของเหม่ยอิงไปเสียหน่อย เพราะประโยคนั้นทำให้หนิงอันหน้าถอดสีจนเห็นได้ชัด

“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ค่อยได้ติดตามข่าว” หญิงสาวตอบไปตามความจริง ทว่าคนฟังอย่างหนิงอันนั้นไม่เชื่อ เธอคิดว่าเหม่ยอิงตั้งใจจะพูดให้เธออับอายเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นสีหน้าของหนิงอันก็ยิ่งมืดครึ้ม เธอคว้าแก้วเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างกันก่อนจะตรงปรี่มาทางเหม่ยอิงโดยทำท่าทีเป็นสะดุดชายกระโปรงตัวเอง

“คุณหนูเหม่ย!” ทว่าเพราะลี่ถิงที่จับตามองให้ผู้เป็นภรรยาเจ้านายตลอดจึงรีบเรียกเสียงดังพลางดึงให้เหม่ยอิงหลบจากแก้วเครื่องดื่มนั้นมาได้ ร่างขาวตกใจไม่น้อยกับการกระทำบุ่มบ่ามของหนิงอัน

“คุณหนิงกำลังทำอะไรอยู่คะเนี่ย” เสี่ยวหมี่ผู้เป็นเจ้าของงานออกโรงปกป้องแขกของตนเอง แม้มองไม่ค่อยชัดว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เหตุการณ์พอเหมาะพอเจาะแบบนี้ก็คงเดาได้ไม่ยาก

“อะไรกันคะ ทำไมทุกคนถึงทำสีหน้าเช่นนั้น ฉันก็แค่สะดุดกระโปรงตัวเอง ขอโทษนะคะคุณหนูเหม่ย เปียกตรงไหนหรือเปล่า” หนิงอันว่าพลางจะเดินเข้ามาตรวจตราเสื้อผ้าของเหม่ยอิงทว่ากลับโดนผู้ช่วยของเธอห้ามไว้เสียก่อน

“คุณหนิงไปจัดการปลายกระโปรงที่รุ่มร่ามนั้นก่อนเถอะค่ะ แล้วก็อย่าเดินเข้ามาอีกทั้งที่มือยังถือแก้วน้ำอยู่สิคะ” ลี่ถิงพูดแล้วยกมือห้าม

“ฉันไม่เป็นไร ลี่ถิง” เหม่ยอิงกระซิบพลางดันตัวเองออกจากแผ่นหลังของผู้ช่วยคนเก่งของเธอ

“คุณหนิงคงไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่เป็นไรค่ะ” หนิงอันแสยะยิ้มในระหว่างที่ไม่มีใครสังเกตก่อนตอบ “ขอบคุณที่ไม่โกรธฉันนะคะ”

“ค่ะ แต่คราวหน้าฉันคิดว่าคุณหนิงควรตัดชุดให้พอดีร่างกายตัวเองนะคะ เพราะครั้งหน้าอาจไม่ได้โชคดีแล้วพลาดไปรดตัวเองเอาได้” เหม่ยอิงว่าเช่นนั้น ซึ่งหนิงอันก็ค้อมศีรษะเล็กน้อยเสมือนว่าขอบคุณกัน ทว่าในดวงตายังมีความกรุ่นโกรธฉายอยู่

เมื่อความวุ่นวายผ่านไปแล้วทุกอย่างก็กลับมาสู่ความปกติอีกครั้ง ทว่าหลังจากนั้นไม่ว่าหนิงอันจะพยายามพูดอะไรก็โดนคนอื่นช่วยกันขัดแข้งขัดขาไปเสียหมด ราวกับว่าทุกคนเทใจไปอยู่ทางคนที่มีอิทธิพลกว่าอย่างช่วยไม่ได้ สุดท้ายทนไม่ไหวเธอจึงอ้างว่ามีสายโทรศัพท์เข้าแล้วขอตัวออกมา คราวนี้เสี่ยวหมี่จึงเปลี่ยนบรรยากาศเป็นคุยเรื่องของขวัญที่เธอได้รับแทน

งานเลี้ยงแรกของเหม่ยอิงผ่านไป หลังจากที่หนิงอันออกไปแล้วเธอก็ได้เปรย ๆ เรื่องธุรกิจของตัวเองไว้ในวงสนทนา และแน่นอนว่าคนพวกนั้นรีบเอ่ยปากสนับสนุนกันยกใหญ่ พร้อมบอกว่าหากเหม่ยอิงต้องการให้พวกเธอช่วยกระจายข่าวก็ยินดีทำให้

แค่จะเปิดแบรนด์จิวเวลรี่แก้เหงาแต่ดันเหนื่อยกว่าที่คิด เหม่ยอิงครั้นกลับถึงบ้านก็รีบอาบน้ำแล้วเข้านอนทันที ร่างแน่งน้อยในชุดนอนสีอ่อนหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเมื่อเข้าสู่ภวังค์ เหม่ยอิงไม่ได้รับรู้ถึงการย่างกรายของอีกคนที่ถือวิสาสะเข้ามา

“...” เหวินเจิ้งนั่งลงข้างเตียงพลางทอดมองคนที่หลับอยู่ แม้การทำแบบนี้ถ้าเหม่ยอิงรู้เข้าคงโดนโกรธเป็นแน่แต่เขาก็ยังเลือกจะเข้ามาหน้าตาเฉย มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยแก้มนวลแผ่วเบา เขาเพิ่งกลับมาจากทำงาน ความจริงควรรีบไปพักผ่อนทว่าสมองกลับสั่งการให้เดินมาทางห้องภรรยาเสียได้

ขอแค่ให้ได้เห็นหน้าแล้วจะออกไป...

นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนแต่งงานที่เป็นสัญลักษณ์ของไท่เหวินเจิ้งพาลทำให้เจ้าของมองแล้วยกยิ้ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ภายในห้องนอนของเหม่ยอิงเป็นกลิ่นที่น่าอิจฉา

ทำไมมันถึงหอมขนาดนี้? สาวใช้ไม่ได้ฉีดน้ำหอมที่เป็นกลิ่นเดียวกันนี้ในห้องเขาด้วยหรอกหรือ?

กว่าจะรู้ตัวก็เผลอลดใบหน้าจนจมูกโด่งคลอเคลียอยู่ที่เส้นผมนุ่ม เหวินเจิ้งนึกขำตัวเองที่ยามนี้เอาแต่ถวิลหาผู้เป็นภรรยา ทำอะไรก็นึกถึงแต่ใบหน้าดื้อรั้นแสนพยศนี้เสมอ ยิ่งตอนนี้พอได้มาเห็นเธอตรงหน้าก็ยิ่งละโมบมากขึ้นจนเขาต้องส่ายหน้าไล่ความคิด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเตรียมตัวกลับห้อง พลันในสมองก็คิดถึงคำพูดลูกน้องที่คุยกับเขาก่อนหน้านี้

‘คุณหนูเหม่ยอิงตอนนี้ดูจะเปลี่ยนไปมากเลยนะครับคุณเหวิน’ จงเซ่อเอ่ยขึ้นในตอนที่เขาหยุดมองเหม่ยอิงซึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจดูดอกไม้อยู่ในสวน ข้าง ๆ เธอมีสาวใช้ติดตามอยู่หลายคน

เหวินเจิ้งไม่ได้ตอบอะไร ทว่าดวงตากลับอ่อนแสงลงมากเมื่อมองตรงไปยังภรรยา เป็นโอกาสให้จงเซ่อได้พูดต่อ ‘ถ้าเป็นคุณหนูเหม่ยอิงตอนนี้ล่ะก็...ไม่คิดว่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งภรรยาคุณเหวินมากที่สุดหรอกหรือครับ?’ เขายังคงเงียบ ไม่ได้ตอบแต่ก็ไม่ได้พูดขัดอะไร

‘เมื่อเป็นแบบนั้นการจะเริ่มวางแผนมีนายน้อยตระกูลไท่มาวิ่งเล่นสักคน...’ จงเซ่อค้างประโยคไว้แค่นั้น เขาชำเลืองมองท่าทีของเจ้านายตัวเอง

‘ไร้สาระ’ ทว่าเมื่อได้รับคำตอบก็ไม่ได้ผิดไปจากที่หวัง เหวินเจิ้งพิจารณาตามที่ลูกน้องพูด เพียงแค่คิดว่าจะมีเด็กเป็นร่างย่อส่วนของเหม่ยอิงมาอีกคนแล้วในใจก็รู้สึกไม่ชอบขึ้นมาดื้อ ๆ เขาไม่รู้เหตุผลหรอก...อาจจะเป็นเพราะไม่ชอบเหม่ยอิงหรือเปล่าถึงได้รู้สึกแบบนี้?

มันจะเป็นแบบนั้นใช่ไหม...

ถกเถียงกับตัวเองในใจก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นเสยผมตัวเองลวก ๆ

ไม่อยากโดนยื้อแย่งความรัก...

ทว่าอีกฝั่งหนึ่งในหัวใจกลับคิดเช่นนั้น เหวินเจิ้งนิ่งชะงัก ที่เนื้อหน้าอกฝั่งซ้ายสั่นรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เขาไม่เคยทำตัวไร้เหตุผลขนาดนี้มาก่อนเลย...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 4 หนึ่งวันกับเจินจู

    ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 3 เหม่ยอิงกับผ้าปิดตา

    หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 2 อย่าทำให้สามีหึง

    เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 1 อดีตของผู้ชิงชังภรรยา

    หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนจบ กันและกันตลอดไป

    ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   บทที่ 29 ครอบครัวของเรา

    ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status